สำหรับสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับทริปของแก๊งติ่งแบบพวกเราคือการที่จะต้องออกไปต่างจังหวัดกันบ้าง (?) แต่ว่าตามที่เคยบอกกันว่าพวกเรานั้นมีเงินทุนน้อยมากสำหรับทริปนี้ ฉะนั้นทางเลือกที่ลงตัวคือเราจะไปเมืองใกล้ๆ โตเกียวกันแบบเช้าไปกลับ และนั่นคือที่มาของตอนนี้! ที่พวกเราจะไป เมืองคามาคุระ (Kamakura, 鎌倉市) และเกาะเอโนชิมะ (Enoshima, 江の島) คอมบิเนชั่นยอดฮิตที่มักเคยเห็นในมังงะญี่ปุ่นกัน
สารบัญ: ญี่ปุ่นไปดูไลฟ์
คลิกเพื่อดูสารบัญบทความ
ญี่ปุ่นไปดูไลฟ์
ตื่นเช้าตรู่และพาตัวเองไปสตาร์ทที่คามาคุระ
การเดินทางในวันนี้ทั้งวันเราจะใช้บริการพาสรถไฟที่ชื่อ เอโนชิมะ-คามาคุระ ฟรีพาส (Enoshima-Kamakura Freepass) ของบริษัทรถไฟเอกชนโอดะคิว (Odakyu) (รายละเอียดตามลิงค์) ความเทพของพาสนี้คือมันจะครอบคลุมการเดินทาง ไป-กลับ ชินจูกุไปยังคามาคุระ-เอโนชิมะ ได้ในราคาเพียงแค่ 1,470 เยนเท่านั้นเอง โดยเมื่อรวมกับค่ารถไฟจากที่พักพวกเราคือสถานีอาวาจิโช (Awajicho Station) จะทำให้ในวันนี้พวกเราเดินทางได้ทั้งทริปโดยจ่ายแค่ 1,870 เยนเท่านั้น (ราวๆ 600 บาท..เอาจริงๆคือถูกกว่าค่าเดินทางในไทยอีกเมื่อเทียบกับระยะ..)
วิธีการซื้อพาสนี้ก็ง่ายดายเพียงซื้อกับตู้ของบริษัทโอดะคิวที่บริเวณฝั่งตะวันตกของสถานีชินจูกุ ซึ่งต้องสังเกตป้ายให้ดีทีเดียวว่าเจอคำว่าโอดะคิวที่ไหน ก็เดินๆตามไปแล้วจะพบกับพวกตู้ขายตั๋วของบริษัทนี้ และสามารถซื้อพาสได้ด้วยตัวเองกันเลย
หลังจากนั้นก็ขึ้นรถไฟไปที่สถานีฟูจิซาว่า (Fujisawa Station) อันเป็นเหมือนจุดเชื่อมต่อระหว่างรถไฟเข้าเมืองกับรถไฟท้องถิ่น โดยพวกเราจะไปขึ้นรถไฟสายที่จัดว่าเป็นเมนคอร์สสำหรับการท่องเที่ยวในวันนี้ นั่นคือ รถไฟฟ้าสายเอโนชิมะอิเล็กทริค หรือชื่อเล่นว่า เอโนเดน (江ノ電)
เจ้าเอโนเดนนี้มีจุดเด่นคือมันเป็นทั้งรถไฟและรถรางในเวลาเดียวกัน บางส่วนมันก็จะวิ่งในราง บางส่วนมันก็จะวิ่งบนถนน จุดขายของมันคือเป็นสายท่องเที่ยวไปมาระหว่างคามาคุระและเอโนชิมะนี่หละ โดยวันนี้เราจะเข้าไปที่สถานีคามาคุระ (Kamakura Station) กันก่อน เพื่อเที่ยวชมวัด
ศาลเจ้าสึรุงะโอะกะ ฮะจิมังกุ, วัดโคโตกุอิน และวัดฮาเสะเดระ
ถ้าจะให้พูดถึงการมาเที่ยวที่เมืองคามาคุระแล้วจะพ้นการนึกถึงการไปเที่ยววัด (หรือศาลเจ้า) ไปเสียไม่ได้ แต่บรรยากาศตั้งแต่ก้าวเท้าลงแถวนี้ก็ช่างดูครึกครื้น เต็มไปด้วยของที่ระลึกและอาหารจนทำให้เผลอลืมนึกไปว่านี่เป็นทางเดินยาวสำหรับไปสถานที่ศักดิ์สิทธิ์กันเลยทีเดียว
เมื่อเดินไปจนสุดทาง ก็จะถึง ศาลเจ้าสึรุงะโอะกะ ฮะจิมังกุ (Tsurugaoka Hachimangu, 鶴岡八幡宮) อันเป็นศาลเจ้าที่ขึ้นชื่อที่สุดของคามาคุระ โดยประวัติแล้วเป็นศาลเจ้าที่สักการะ ฮาจิมัง เทพเจ้าแห่งสงคราม และศาลเจ้าแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ฝึกสอน “ยาบุซาเมะ” หรือการยิงธนูจากบนหลังม้า ทำให้ถ้าลองสังเกตดีๆในตัวเมืองแห่งนี้ จะมีโรงเรียนสอนขี่ม้าพร้อมยิงธนูอยู่เป็นพักๆ รวมถึงถ้ามาตามหน้าเทศกาลที่ถูกต้อง จะเจอการแข่ง / โชว์การขี่ม้ายิงธนูให้ดูด้วยนะ
จากสายตาของชาวต่างชาติอย่างเราๆ อาจจะดูไม่ออกว่าศาลเจ้าแต่ละที่ต่างกันอย่างไรด้วยตาเปล่า แต่ถ้าได้ลองค้นหาผ่านกูเกิ้ลดูซักเล็กน้อยก็จะทำให้สนุกกับการเดินเที่ยวไปได้ด้วยนะ
และตามปกติแล้ว แผ่นไม้เอมะในแต่ละศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงก็มักจะมีลวดลายหรือเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน สำหรับที่นี่ก็เช่นกัน แต่พิเศามากไปกว่าอีกขั้นด้วยการทำเป็นแผ่นไม้รูปใบแปะก๊วย ซึ่งตามตำนานแล้ว บุตรชายในตระกูลมินาโมโตะได้ถูกลอบสังหารใกล้ต้นแปะก๊วยนี้ และที่อัศจรรย์คือไม่มีใครเห็นคนที่ลอบสังหารนี่หละ เลยทำให้ต้นแปะก๊วยนี้ถูกเรียกว่า แปะก๊วยหลบซ่อน (Kakure Ginkgo)
ปัจจุบันแปะก๊วยดังกล่าวถุกทำลายโดยพายุไต้ฝุ่นไปเสียแล้ว แต่ว่าถ้าลองดูในภาพบนจะเห็นเขตสายสิญจน์กั้นบริเวณอยู่ข้างบันไดหิน นั่นคือตอไม้ของต้นแปะก๊วยดังกล่าวนั่นเอง
เรียกได้ว่าแม้ตัวตายจาก แต่ตำนานยังคงอยู่ อย่างน้อยก็ในรูปของแผ่นไม้เอมะนั่นเอง
นอกจากศาลเจ้าหลัก ในที่นี้ก็ยังมีศาลเจ้ารองแบบ ศาลเจ้ามารุยาม่า อินาริ (Maruyama Inari Shrine, 丸山稲荷社) ซึ่งเมื่อมีคำว่าอินารีในศาลเจ้าแล้วก็จะมีพวกรูปปั้นจิ้งจอกอยู่ปริมาณมาก (คล้ายๆ กับที่ดังในเกียวโตเลยนะ) ฉะนั้นก็ทำให้เดินได้เพลินๆอีกนิดเช่นกัน ความเก่าแก่ของศาลรองนี้ก็ดูขลังไม่ใช่น้อยเหมือนกันนะ
หลังจากเดินในบริเวณอย่างพึงพอใจก็ออกเดินทางต่อ ทีนี้จุดมุ่งหมายต่อไปจะเด่นยิ่งกว่าและเป็นที่รู้จักมากกว่าศาลเจ้าที่เพิ่งพาไปเสียอีก โดยเราจะเดินทางไปขึ้นรถไฟฟ้าเอโนเดนเหมือนเดิม และเลือกลงที่สถานีฮาเสะ (Hase Station) ในบริเวณนี้จะเป็นอีกย่านที่ได้รับความนิยมสูงสุดๆเหมือนกัน โดยเมื่อสอดส่องสายตามอง หนึ่ง สอง สาม ก็จะเห็นแต่ป้ายหลวงพ่อโตนี่หละ
ระยะทางไม่ห่างจากสถานีฮาเสะมากนัก ในไม่ช้าพวกเราก็มาหยุดอยู่หน้า วัดโคโตกุอิน (Kotoku-in Temple, 高徳院) เป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อโตองค์ใหญ่ สุดยอดแลนด์มาร์คของคามาคุระที่ใครๆก็ต้องมา และแน่นอนว่าผู้คนพลุกพล่านมากๆ หาโอกาสถ่ายรูปแบบไม่มีคนยากสุดๆไปเลย
ลืมไป ค่าเข้าชมวัด 200 เยนนะครับ จัดว่าราคาไม่ค่อยสูงเมื่อเทียบกับแลนด์มาร์คดังๆ ที่เคยไปมา
แต่จุดที่ทำให้ที่นี่ออกจะโดดเด่นคงจะไม่พ้นการที่หลวงพ่อโต (ไดบุทสึ, 大仏) ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง คอยรับลม ฝน แดด อย่างโดดเดี่ยวองค์เดียว จากการที่ลองศึกษาข้อมูลก็พบว่าเมื่อก่อนตัวองค์ท่านไม่ได้อยู่กลางแจ้งแบบนี้ แต่ว่าโถงอาคารโดนทำลายทิ้ง (และคงไม่คิดจะสร้างใหม่แล้ว น่าจะเกิดจากอัคคีภัยและแผ่นดินไหว) ซึ่งถ้าพิจารณาแบบนี้อาจจะไม่ต่างจากการที่พระพุทธรูปตามเมืองหลวงเก่าอย่างสุโขทัยตั้งอยู่โดดๆ กลางแจ้งเหมือนกันก็ได้สินะ
สำหรับสีเขียวๆ ขององค์พระพุทธรูป ก็เห็นว่าเป็นสนิมทองแดง, สำริด ที่เกิดจากกาลเวลา ทำให้กลายเป็นสีธรรมชาติดังนี้ และที่ชัดคือเห็นรอยเชื่อมโลหะระหว่างแผ่นที่ชัดเจนมากๆ บริเวณหัวของหลวงพ่อโตเองก็เปิดให้เห็นโครงสร้างข้างในด้วย เป็นการเปิดหูเปิดตา ไม่สิ เปิดตัว (ฮ่า)
หลังจากเดินถ่ายรูป ส่งภาพพระพุทธรูปให้ครอบครัวดูให้ชื่นใจสมเป็นชาวพุทธ พวกเราก็เดินออกมาเพื่อตรงไปยังอีกวัด และตรงนี้เองที่พวกเราได้เจอกับซอฟต์ครีมมะม่วงแอปเปิ้ลและวนิลาในตำนาน (ของทริปนี้) ที่ดูน่ากินมาก
แต่ทริปนี้เป็นสุดยอดทริปยาจก (อ่านว่าจน) เลยต้องข้ามการกินขนมจุกจิกไปอย่างน่าเสียดาย ถ้าย้อนเวลากลับไปก็คงจะกินให้หายข้องใจเสียตรงนั้นเลยหละครับ และสำหรับในบริเวณสถานีฮาเสะนี้ก็ยังมีอีกวัดที่ได้รับความนิยม โดยขึ้นชื่อในเรื่องที่มีพระพุทธรูปหินจิโซจำนวนมากและเจ้าแม่กวนอิม 11 เศียร นั่นคือ วัดฮาเสะเดระ (Hasedera, 長谷寺) และจุดเด่นคือตั้งอยู่บนเขา พวกเราน่าจะพอคาดหวังกับวิวที่สวยงามได้เลยทีเดียว
และแน่นอนว่าต้องเสียเงิน 300 เยนค่าบำรุงรักษาวัด แต่เพื่อนๆ ร่วมทริปขอนั่งรอเล่นอยู่ข้างนอก ตัวผู้เขียนเลยขอสดซัก 30 – 40 นาทีในการเดินชมวัดเสียหน่อยครับ
ลักษณะเด่นชัดของวัดนี้เลยคือมีบันไดมากมาย (อย่างที่บอกว่าตั้งบนเข้านั่นหละครับ) โดยอารามหลักจะอยู่บนๆ หน่อย ระหว่างทางก็จะมีมีรูปปั้นจิโซจำนวนมาก เยอะแบบเรียกได้ว่าถ้าใครเห็นสิ่งของซ้ำๆ กันปริมาณมากแล้วขนลุกนี่ต้องเดินผ่านแบบเกร็งๆ เลยทีเดียว
ทั้งนี้จุดเด่นที่ทำให้อยากมาจริงๆ ตามที่อ่านไกด์มาก็จะเป็นจุดชมวิวจากเขาของเมืองคามาคุระนี่หละ สวยงามและสดชื่น แลกกับที่ปีนบันไดมาก็คุ้มหละนะ ที่แน่ๆคือด้วยธรรมเนียมตามปกติของวัดญี่ปุ่น ในส่วนของอารามหลักจะถ่ายรูปมาให้ดูไม่ได้ เลยทำให้ได้ถ่ายแต่ด้านนอกของอาราม (เลยอดได้ถ่ายรูปเจ้าแม่กวนอิมภายในมาให้ชมกัน) ซึ่งสำหรับวัดนี้ออกจะดูธรรมดาคล้ายวัดพุทธในญี่ปุ่นทั่วๆ ไปเสียหน่อย
แต่วัดนี้ยังมีจุดที่สูงขึ้นไปอีกขั้น เรียกว่า “เส้นทางไฮเดรนเยีย (Hydrangea path)” ซึ่งจะเป็นทางขึ้นเนินเข้าสูงๆ มีดอกไฮเดรนเยียมากกว่า 40 ชนิด เรียกได้ว่าใครมาช่วงหน้านี้ก็เริ่มจะได้เห็นวิวสวยๆ ของดอกไม้นานาพันธุ์ และวิวทิวทศน์ของทั้งตัวเมืองคามาคุระและหาดยุอิกาฮามะที่พวกเรากำลังจะไปในช่วงเย็น
สุดท้ายที่นี่ยังมีโถงไดโคคุโด (Daikoku-do Hall) สร้างขึ้นมาเพื่ออุทิศให้แก่ไดโคคุเท็น (Daikokuten) หนึ่งใน 7 เทพเจ้าแห่งโชคลาภของพระพุทธศาสนา ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าการไปเยือนยังเทพเจ้าแห่งโชคลาภทั้งเจ็ดจะมีแต่ความสุข ดังนั้นพวกเราสามารถพบรูปปั้นของเทพทั้งเจ็ดได้ทุกแห่งในญี่ปุ่น โดยถือว่าไดโคคุเท็นเป็น “เทพแห่งโลคลาภของเมืองคามาคุระ”
หลังจากเดินครบจุใจ (ราวๆ 30 – 40 นาทีโดยประมาณ) ก็แวะลากับท่านจิโซที่มีความน่ารักโดดเด่นสไตล์ญี่ปุ่น ดังมากๆ เลยทีเดียว มีทั้งสาวน้อยสาวใหญ่มาต่อคิวเซลฟี่กันพอตัวเลย สำหรับการจ่ายเงินค่าเข้าเล็กน้อยและเวลาซักพักสำหรับวัดฮาเสะเดระนี้จัดว่าคุ้มมากเลยทีเดียว
หลังจากกลับมาหาเพื่อนๆที่นั่ง รอ + เดินชมของที่ระลึกในร้านแถวนั้น ก็เป็นอันจบการเที่ยวเมืองคามาคุระในวันนี้ โดยถ้าให้จัดแรงกิ้งส่วนตัวของการเที่ยวคามาคุระ คงต้องจัดดังนี้
- วัดโคโตคุอิน ห้ามพลาดเด็ดขาด แค่มาดูหลวงพ่อโตก็คุ้มแล้ว
- วัดฮาเสะเดระ ตามที่เพิ่งเขียนไป
- ศาลเจ้าสึรุงะโอะกะ ฮะจิมังกุ ถึงจะดังสุดในย่านนี้แต่ว่าไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไร อาจจะไม่เหมาะกับชาวต่างชาติครับ (ทำนองว่าต้องรู้ประวัติศาสตร์มาก่อนถึงจะสนุก)
งบประมาณในการเที่ยวช่วงเช้าในทริปนี้ไม่เกิน 2,000 เยน นับว่านอกจากจะราคาประหยัดแบบสุดๆแล้วยังได้รับประสบการณ์ในการเที่ยวแบบชาวญี่ปุ่นแบบเต็มๆด้วย เดี๋ยวช่วงบ่ายจะไปต่อกับสถานที่นัดเดทที่ฮิตสุดๆของหนุ่มสาวในแถบโตเกียวกันเลย~
เอโนชิมะกับทริปโรแมนติคของพวกเรา
ในช่วงบ่ายพวกเราก็ยังอาศัยพาสฯ อันเดิมเพื่อไปลงที่สถานีเอโนชิมะ (Enoshima Station) และแวะหาข้าวกินกันเสียก่อนระหว่างทางเดิน ซึ่งจากที่เกริ่นไปในช่วงเช้าว่าพวกเราแทบจะไม่เหลือตังแล้ว (ฮา) ฉะนั้นช่วยไม่ได้จริงๆที่จะต้องพึ่งพา 7-11 เจ้าเก่า
จริงๆก็เหมือนกับที่ไทย ที่เวลาสิ้นเดือนทีไร เซเว่นก็จะกลายเป็นตัวเลือกแรกๆไปซะงั้น การได้กินข้าวในราคา 300 – 400 เยนนับว่าเป็นเรื่องราวดีๆ อา จะว่าไปได้เจอกับสินค้าที่พีคๆ แบบเบียร์ที่พิมพ์รูปขวดเป็นเศียรหลวงพ่อโตด้วยหละ ยอมไม่ได้แล้ว
เดินไปซักพักพวกเราก็จะเจอป้ายบอกทางว่าให้มุดใต้อุโมงค์ไปจะเจอสะพานเดินข้ามไปเกาะ ด้วยระยะทางราวๆ 680 เมตร เดินไม่ยาก มาถึงในบริเวณนี้ก็แทบจะไม่ต้องใช้กูเกิ้ลแมปนำทางแล้ว
โดยสะพานที่ทอดยาวไปยังเกาะเบื้องหน้านี้จะชื่อว่า สะพานเอโนชิมะเบนเทน (Enoshima Benten Bridge, 江の島弁天橋) ซึ่งสามารถเดินได้สบายๆ วิวสวย มองเห็นภูเขาไฟฟูจิทางด้านขวาด้วย ซึ่งถ้าจำไม่ผิดจุดนี้จะถึอเป็น 1 ใน 100 จุดที่ชาวญี่ปุ่นบอกว่าสามารถชมฟูจิได้สวย แต่คงต้องขึ้นกับสภาพอากาศ หมอก ต่างๆ นานาด้วย ในช่วงที่เดินข้ามมายังมองไม่ค่อยเห็น เลยคิดไปว่าน่าจะพลาดซะแล้ว
จากเกร็ดความรู้ที่อ่านมา ในสมัยก่อนผู้คนในญี่ปุ่นเดินทางไปยังเกาะต้องรอให้น้ำลดก่อน แล้วทางเดินข้ามเกาะจะปรากฎ ซึ่งก็ไม่แปลกเลยที่ในเกาะจะสามารถสร้างสถานที่สักการะบูชาได้เยอะพอสมควรมาตั้งแต่สมัยก่อน คงเพราะขนสิ่งก่อสร้างมาตั้งกันได้ง่ายด้วยนี่เอง
ก่อนจะเข้าสู่ตัวเกาะที่พบเสามังกร ก่อนอื่นแวะแปะตำนานของเกาะนี้ที่ทำให้มันกลายเป็นเกาะที่ดูโรแมนติคกันดีกว่า เรื่องมีอยู่ว่า
ราวๆนี้ จึงทำให้ในเกาะนี้จะมีรูปปั้นมังกรอยู่ในหลายๆที่ นั่นเอง
ครั้งนี้เป็นประสบการณ์ในการได้เห็นภูเขาฟูจิเป็นครั้งแรกของผู้เขียนเลยครับ (ไม่นับจากบนเครื่องบินนะ) คือพอได้เห็นลักษณะที่ภูเขาใหญ่และสมมาตรขนาดนี้ตั้งตระหง่านอยู่ ก็อดคิดว่าประทับใจสุดๆ ไม่ได้เลยทีเดียว มันสวยงาม และดูได้อย่างเพลิดเพลินกว่าในรูปเยอะนัก ถ้ามีโอกาสอยากจะไปดูใกล้ๆ กว่านี้อีกนิด
พอมาถึงอีกฝั่งหนึ่งของเกาะ พวกเราจะได้เห็นว่าเกาะนี้ไม่ได้เป็นเกาะแบบเล็กๆ เลยทีเดียว ร้านรวง อาคาร ตึกรามต่างๆ เยอะมากและสร้างได้อย่างสวยงามมีสเน่ห์ และสิ่งที่ทำให้รู้เลยว่าเกาะนี้น่าจะมีวัดและศาลเจ้าเยอะ เพราะมาถึงปุปก็เจอโทริอิสีเขียวอ่อนตั้งอยู่ราวกับมาทักทาย
นอกจากประตูโทริอิ สิ่งที่เจอเป็นอย่างที่สองก็คืออาหาร!! สินค้าขึ้นชื่อระดับสุดยอดของเกาะนี้ ปลาชิราสุ (しらす) หรือในไทยที่เรียกว่าปลาข้าวสารหละมั้ง โดยความแปลกใหม่คือ ที่นี่มันไม่ได้แค่เอามาทำอาหารง่ายๆแบบ ข้าวหน้าปลาชิราสุ หรือทอดกินกรอบๆ แต่ไปไกลแบบเป็นพวกขนมปังไส้ปลาชิราสุก็มี ซึ่งก็ลองสอยมาในราคา 3 ลูก 250 เยนเพียงเท่านั้น
รสชาติของปลาชิราสุจะหอมมาก ผิวสัมผัสรู้สึกเหมือนกินซอสขาวข้นๆ นับว่าอร่อยเพลิดเพลินเลยทีเดียว แต่ที่แน่ๆคือตอนนี้ได้เวลาของเดินเดินชมศาลเจ้าในเกาะกันแล้ว โดยเมื่อเดินผ่านไปจนสุดถนนค้าขายที่เต็มไปด้วยปลา ของทะเล ของที่ระลึก จะพบกับโทริอิสีแดงสด เป็นสิ่งที่บอกว่าเรามาถึง ศาลเจ้าเอโนชิมะ (Enoshima Shrine, 江島神社) ที่โด่งดังมาจากตำนานฯ ที่ได้เล่าไว้เบื้องต้นกันแล้ว
ก่อนอื่นต้องขออธิบายก่อนว่า สิ่งที่เรียกรวมว่า ศาลเจ้าเอโนชิมะนั้นประกอบด้วย 3 ศาลด้วยกัน นั่นคือ
- ศาลหลัก เฮทสึโนะมิยะ (Hetsu no Miya, 辺津宮)
- ศาลที่สอง นากะทสึโนะมิยะ (Nakatsu no Miya, 中津宮)
- ศาลที่สาม โอคุสึโนะมิยะ (Okutsu no Miya, 奥津宮)
ซึ่งหลังจากที่เดินผ่านโทริอิแดงมาแล้วก็จะพบกับ ประตูซุยชินมง (Zuishinmon) อันว่ากันว่าเป็นต้นแบบของวังมังกรในนิทานเรื่องอุราชิม่าทาโร่ โดยบันไดที่ลอดผ่านประตูนี้จะถูกเรียกว่า ทางลาดบุรุษ (Otokozaka) เหตุเพราะมีขั้นบันไดที่สูง และถ้าหันไปข้างๆ ก็จะเจอกับสะพานสีแดงเล็กๆ ที่ดูสวยงามแต่ไม่มีชื่อบอก สะพานดังกล่าวจะชื่อ ทางลาดสตรี (Onnazaka) ซึ่งเรียกได้ว่าเหมือนสร้างมาให้คู่กัน เพราะสะพานสีแดงนี้เล็กและแทบจะไม่ชันเลยจริงๆด้วย
คาดว่าสมัยก่อนก็คงอาจจะสร้างให้เข้าศาลเจ้าแยกเพศกัน ก็เป็นได้ (?)
โดยทั้งสามศาลจะเชื่อมต่อกันด้วยบันไดสูงขึ้นไปบนเขา แต่ถ้าใครที่ไม่อยากเดินขึ้นก็มีบริการบันไดเลื่อนขาขึ้น (เท่านั้น) จากทางเกาะในชื่อ เอสคา (ESCAR, エスカー) คอยให้บริการนักท่องเที่ยวทุกคนในราคาไม่แพงมาก โดยพวกเราที่ซื้อตั๋วพาสมาตั้งแต่เช้าจะได้ลดราคาอีกหน่อยด้วย
การใช้บันไดเลื่อนนี้จะมี 3 ส่วน โดยส่วนแรกก็จะพาไปขึ้นศาลหลัก เฮทสึโนะมิยะ กัน อ้อ ในส่วนของการเที่ยวชมศาลเจ้าในเอโนชิมะนี้โดยมาจะไม่ต้องจ่ายค่าเข้าเพิ่มแล้วหละ
และแน่นอนว่าจากการที่มีกล่องบริจาคอันเป็นเอกลักษณ์ระดับนี้.. เป็นจุดที่บอกมาแต่เนิ่นๆ ว่าศาลเจ้านี้ขึ้นเชื่อเรื่องการขอพรให้ร่ำรวย มั่งมี นั่นเอง
สำหรับในส่วนของศาลหลักนี้ (หมายถึงขึ้นบันไดเลื่อนมา 1 ที) ก็ยังมีอาคารรูปทรงแปดเหลี่ยมที่มีธงแดงๆประดับอันดูโดดเด่นเชื่อ โฮอันเด็น (Hoanden, 奉安殿) ซึ่งแม้จะไม่ได้เด่นเท่าศาลหลัก แต่ว่าภายในอาคารนี้หละที่มีรูปปั้นของท่านเบนไซเทนที่ได้เล่าก่อนนี้ ประดิษฐานอยู่ (แม้พวกเราจะไม่ได้เข้าเพราะต้องจ่ายเพิ่มอีก 150 เยน ) ซึ่งตามที่เล่าว่าเป็นเรื่องราวที่โรแมนซ์ระหว่างท่านเทพและมังกรห้าหัว ศาลนี้ก็เลยมีแผ่นไม้เอมะรูปหัวใจ สีชมพู ให้ดูสวยๆงามๆกันด้วย
อนึ่งบ่อน้ำตรงนี้เขาบอกว่า เอาเงินมาล้างแล้วจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าด้วย ใครผ่านก็ลองเอาแบงค์หมื่นมาล้างๆกันหละ แต่ถ้าขาดไปก็ตัวใครตัวมัน— ทั้งนี้พอพวกเรามาเยือนในสภาวะที่หมดตัวขนาดนี้ก็อยากจะเอากระเป๋าตังจุ่มให้รู้แล้วรู้รอดเลยหละครับ
เมื่อเดินส่วนศาลหลักและอื่นๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาของการขึ้นบันไดเลื่อนเอสคาไปอีกขึ้นหนึ่ง (ครั้งที่ 2 แล้ว) โดยระหว่างทางขึ้นก็จะมีสวนดอกไม้สวยๆ ที่ดูแล้วสดชื่น จากในข้อมูลถ้าเรามาในช่วงฤดูที่งดงามแบบใบไม้ผลิหรือใบไม้ร่วง ก็จะมีวิวที่น่าประทับใจไปอีกขั้น แต่จริงๆ ช่วงที่ไปนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ยังพอสวยงามอยู่
พ้นสวนดอกไม้ก็จะพบกับจุดชมวิวแรก ที่จะทำให้เรามองย้อนกลับไปยังฝั่งคามาคุระได้ด้วย
ในที่สุดเราพบกับ นากะทสึโนะมิยะ ศาลที่สอง อันเป็นศาลที่ขึ้นชื่อเรื่องของการอวยพรให้ประสบความสำเร็จด้านการแสดง (เช่นดารา นักร้อง นักพาย์ นักแสดงละครคาบุกิ เป็นต้น)
ร่ำลือกันว่าดารานักร้องของประเทศญี่ปุ่นก็มักจะมาไหว้ศาลนี้กันด้วย จะมีใครที่รู้จักเคยมาบ้างไหมนะ.. ไหนๆก็ไหนๆเลยแวะชมบรรยากาศกันซักเล็กน้อย แต่ถ้าไม่สังเกตหรือศึกษาประวัติสามศาลเจ้าของเอโนชิมะมาก่อน อาจจะเผลอเดินข้ามไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้นะ
และสุดท้ายเมื่อขึ้นบันไดเลื่อนเอสคาครั้งที่ 3 พวกเราจะมาถึงโซนบนสุดของเกาะเอโนชิมะแล้ว (เยี่ยม ไม่ต้องเหนื่อยเลยเป็นทริปที่ดีจริงๆ ด้วย~~) ซึ่งบนนี้ก็วิวดี อากาศดี มีของกินบ้างประปราย มีโซนให้นั่งเล่นพักผ่อนกันด้วย ซึ่งแน่นอนพวกเราก็นั่งชิลๆ พักผ่อนแบบสบายใจ ดั่งไม่สนเวลา
ถามว่าสบายใจระดับไหน? ระดับที่ว่าเดินๆเล่น เจอทุ่งใบโคลเวอร์ก็ไปนั่งตะกุยๆ หาใบโคลเวอร์สี่แฉกเผื่อจะบันดาลโชดดีกันเลยหละครับ แถมตอนที่ไปคุ้ยๆนี่ก็เห็นน้องๆ ชาวญี่ปุ่นคุ้ยหากันสนุกสนานด้วย
พอพวกเราขึ้นมาบนสุดแล้ว จุดมุ่งหมายต่อไปคือไปยังศาลแห่งที่ 3 อันเป็นศาลที่เก่าแก่ที่สุดของเกาะ และเป็นที่ๆ จะได้พบกับศาลของท่านมังกรแบบเต็มๆ ไม่ใช่แค่รูปปั้นน้ำพุอีกต่อไป ระหว่างทางเดินไปยังศาลเองก็สนุกดี มีวิวเป็นเมืองเล็กๆ ที่ดูสงบ ร้านขายของก็มีเยอะมากด้วย หนทางก็เป็นบันไดขึ้น สลับลงมากมาย โดยในระหว่างทางเดินนี้ก็จะพาพวกเราไปยังทิศตะวันตกของเกาะ ริมทะเล เพื่อไปดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้ากัน
ระหว่างทางเดินนี้ในสมัยก่อนถือว่าเป็นเส้นทางสักการะไปยังศาลเจ้าดั้งเดิมของเอโนชิมะเลยหละ เป็นการดีที่หนทางสะดวกแล้ว อนึ่งช่วงเดินผ่านนี้ก็จะเจอกับวิวที่สวยงามมากๆ ที่หนึ่งของเกาะ เป็นวิวทะเลระหว่างเขาสองลูก (ภาษาญี่ปุ่นแถวนั้นก็เรียกตรงตัวว่าเขาสองลูกด้วยเช่นกันครับ (山二つ))
การได้เดินในวิวแบบนี้ ลมทะเลพัดเย็นสบายแบบไม่เหนอะหนะมาก มีแสงสีส้มเรืองๆ คอยสาดส่อง ก็เริ่มไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมที่นี่ถึงดังในฐานะที่สำหรับมาเดท
มาจนเกือบๆ จะสุดเกาะ พวกเราก็มาถึง โอคุสึโนะมิยะ ศาลที่สามอันเป็นศาลดั้งเดิม แต่ด้วยความดั้งเดิมก็ทำให้ดูไม่ค่อยอลังการแบบสองศาลแรกเท่าไร แต่ว่าจริงๆ แล้วที่นี่น่าจะศักดิสิทธิ์สุดเนื่องจากร้านมาตั้งแต่ ค.ศ. 1185 และเป็นที่สำหรับย้ายรูปปั้นสักการะจากถ้ำอิวายะที่ติดทะเลมาที่นี่ด้วย
และต้องกล่าวถึงแน่นอนกับศาลที่อยู่ติดๆกัน อันเป็นศาลสำหรับสักการะเทพเจ้ามังกรที่เรียกว่า ศาลวาดะทสึมิโนะมิยะ (Wadatsumi-no-miya, 龍宮) แต่แม้จะดูเก่าแก่แบบแปลกๆ แต่เพิ่งสร้างเมื่อปี 1994 นี้เองนะ ก็เลยคาดเดาว่าเพราะตำนานเกาะนี้ผูกพันกับมังกรมาก เลยอยากให้มีศาลซักศาลที่เหมาะสำหรับคนมารับชมและสักการะกันหละมั้ง
แต่จุดเด่นสุดของศาลนี้สำหรับวัยรุ่นน่าจะเป็นการเป็นแลนด์มาร์คเพื่อบอกว่า ให้เลี้ยวเข้าไปในทางแยกแถวๆ นั้น เพื่อไปเจอกับสิ่งดีๆที่อยู่ในสุด ที่ถูกเรียกกันว่า ระฆังริวเร็น (Ryuren-no-Kane, 龍恋の鐘) จุดเที่ยวชมแห่งใหม่ที่เปิดให้คู่รักมาคล้องกุญแจ สั่นระฆัง คล้ายๆกับสะพานในฝรั่งเศส (แบบที่รู้กันว่าญี่ปุ่นจะคลั่งฝรั่งเศสในฐานะประเทศโรแมนติคนั่นเอง ก็เลยต้องมีทำเลียนแบบกันบ้าง)
แน่นอนว่าเรามากันสามคน เลยถ่ายรูปที่เหมือนจะล้อเลียนสถานที่ไปซักเซ็ตหนึ่ง (ขอโทษจริงๆ ฮา) หลังจากนั้นก็ออกเดินทางไปสุดขอบตะวันตกของเกาะเพื่อไปชมถ้ำอิวายะ ถ้ำธรรมชาติที่สวยงามและเป็นจุดขายสุดยอดของเกาะนี้อีกที่กัน
แต่ว่าเมื่อลงมาจนสุด.. และบันไดชันหลากหลายขั้น โดยพวกเราที่ตั้งใจว่าจะได้เจอกับ ถ้ำเอโนชิมะอิวายะ (Enoshima Iwaya Cave, 江の島岩屋) แต่ต้องพบกับสิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ
เวลาทำการถ้ำอิวายะ คือ 09:00 น. - 17:00 น. ในช่วงมีนาคมถึงตุลาคม
หรือปิดแล้วนั่นเองงง (ยิ่งถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวจะปิดไวกว่านี้อีก แต่ถ้าวันหยุดจะปิดช้ากว่านี้นิดหน่อย) การที่พวกเราเดินเล่นทอดน่องหาโคลเวอร์สี่แฉกไม่คิดเลยว่าจะทำให้วืดที่สำคัญไปได้!!! แต่ถามว่าเสียใจมากไหมก็คง ไม่นัก เพราะว่าวิวริมทะเลที่นี่เป็นโขดหินริมทะเลสุดสวย ที่เรียกว่า ห้วงจิโกะกะฟุจิ (Chigogafuchi Abyss, 稚児ヶ淵) ซึ่งเป็นวิวที่สวยงามมาก และเห็นภูเขาไฟฟูจิอยู่ไกลๆด้วย ประกอบกับการที่มาในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน ทำให้วิวทิวทัศน์ตรงนี้อาจจะลืมจากสมองได้ยากเลยทีเดียว
เมื่อชมกับวิวที่สวยงามเสร็จแล้ว แน่นอนว่าพวกเราก็ต้องย้อนกลับขึ้นไปทางเดิม (ใช่แล้วครับ บันไดชันๆ ปริมาณมากที่ลงมาไกลตอนแรกนั่นหละ) ทีนี้ตอนขึ้นมันไม่ได้ง่ายแบบตอนลง เรียกได้ว่าต้องเดินกันนานและเหนื่อยเลยทีเดียว จริงๆก็คงไม่เหนื่อยขนาดนี้ถ้าพวกเราไม่ได้เดินมาทั้งวันขนาดนี้
อย่างไรก็แล้วแต่ การลงมาดูวิวก็มีค่าและคุ้มความเหนื่อยอยู่นะครับ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปหรืออย่างใด แต่การได้เห็นวิวดีๆ ก็เพิ่มค่าประสบการณ์ให้ชีวิตได้ทีละนิดหละ
พอกลับย้อนทางขึ้นไปยังส่วนบนสุดของเกาะ (บริเวณสวนทีพวกเราหาโคลเวอร์กันน่ะหละ) ก็ต้องเดินบันไดลงกันมายาวๆ เพราะว่าบันไดเลื่อนเอสคา มีเฉพาะขาขึ้นด้วย
เอโนชิมะ เกาะแมว จริงหรือไม่ (?!)
ก่อนจะกลับไปยังสถานีรถไฟเพื่อกลับสู่โตเกียวเมืองหลวงแสนรัก ก่อนหน้านี้พวกเราได้รับข้อมูลมาว่า ที่เอโนชิมะนี้ถูกเรียกว่าเกาะแมว เพราะมีแมวเดินเล่นไปมาเป็นปริมาณมาก (แมวเกาะนี่เหมือนทุกคนจะช่วยๆ กันเลี้ยง ให้อาหาร) ซึ่งตอนที่พวกเราไปนี้ก็เจอแมว! แมว!! และ แมว!!! แต่ไม่ได้มีเป็นปริมาณมหาศาลแบบเจอทีเดียว 20 – 30 ตัวแบบที่คิดไว้ ก็เจอเป็นพักๆ ให้รู้สึกน่ารักน่าลูบ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังแต่อย่างใดเพราะพวกเหมียวในเกาะทั้งอ้วนและเชื่องคนพอสมควรเลยทีเดียว
มาหาข้อมูลทีหลัง เขาว่าอากาศมันยังเย็น พวกเหมียวเลยหนีไปนอนกัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงไม่จริงด้วยสิ
กลับโตเกียวด้วยหนทางเดิม บรรยากาศใหม่
แน่นอนว่ามาทางไหนก็ต้องกลับทางนั้น (แหงหละ) โดยอากาศในช่วงพระอาทิตย์ตกดินแบบนี้ก็เย็นนิดๆ หนาวหน่อยๆ จนเดินสบายแล้วหละ ผู้คนที่มาเที่ยวกันก็ทยอยเดินกลับเหมือนพวกเรา
แต่ว่า ตอนช่วงเดินกลับนี้ หมอกเยอะๆที่บังภูเขาไฟฟูจิไว้ตอนเที่ยงๆ ก็หายไปหมด กลายเป็นบรรยากาศวิวที่สวยงามสุดๆ จนตัวผู้เขียนถือว่าเป็นหนึ่งในวิวที่ประทับใจสุดในทริปนี้เลย
โดยการกลับโตเกียวของพวกเราจะไปด้วย ถานีคาตาเสะ-เอโนชิมะ (Katase-Enoshima Station) ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคล้ายๆวัดจีน ซึ่งขากลับเราก็จะกลับไปลงที่สถานีฟูจิซาว่า และกลับโตเกียวด้วย JR โทไคโดไลน์ เพื่อจบทริปในวันนี้อย่างสมบูรณ์แบบ
แถมท้ายสุดๆกับประสบการณ์เข้าโรงอาบน้ำสาธารณะครั้งแรก
จากที่เคยเกริ่นไว้ตอนที่แล้วว่าพวกเราจะไปลองเข้า ที่อาบน้ำสาธารณะ หรือ เซ็นโต (銭湯) กัน ซึ่งจากความคิดไปเองของพวกเรานั้นการที่อากาศหนาวๆ แล้วไปแช่น้ำร้อนมันต้องฟินแน่เลย ซึ่งระหว่างทางกลับจากเอโนชิมะก็จัดแจงใช้กูเกิ้ลแมปหาโรงอาบน้ำที่ไหนก็ได้ที่สามารถเดินไปถึง.. ก็อุตสาห์เจอเข้ากับโรงอาบน้ำ อินาริ-ยุ (Inari-yu, 稲荷湯) ที่อยู่ใกล้ๆสถานีอาวาจิโช ที่พักของพวกเรา
เอาหละ ทีนี้จะทำไงดี ไม่เคยมีประสบการณ์ซะด้วย รู้แค่เท่าที่เคยอ่านจากในมังงะ เลยลองพกไปแค่ กระเป๋าตัง แล้วก็ผ้าขนหนูส่วนตัว (มือถือก็ไม่เอาไป เพราะไม่รู้ว่าจะเก็บยังไง อะไรแบบไหน) ทีนี้ก็ดูแมปให้แม่น ตั้งทิศทางให้ดีจากบ้าน แล้วก็เดินดุ่มๆ ไปลอง
พอไปถึงหน้าโรงอาบน้ำนี่ยิ่งตื่นเต้นเลยครับ (มากับเมคุงที่เป็นไม่เคยเข้าโรงอาบน้ำเหมือนกันด้วย) ก็ไม่รู้จริงๆว่าต้องทำอะไร อย่างไร เลยลองเดินเข้าไปก็พบว่า ต้องถอดรองเท้าใส่ตู้เก็บเสียก่อน แล้วก็หยิบป้ายล็อกตู้เก็บรองเท้า เดินเข้าร้านไปทีนี้ไปถึงหน้าเคาท์เตอร์ อันนี้เดาไม่ยากว่าผู้ใหญ่ 1 คนคิดค่าบริการ 460 เยนเท่านั้น แล้วก็พวกค่า สบู่ แชมพู ผ้าขนหนูนี่คิดแยก ฉะนั้นใครเตรียมมาจากบ้านก็ไม่ต้องซื้อเพิ่มละ (แต่ไม่แพงนัก ปกติก็รายการละ 20 – 40 เยนเท่านั้นเองนะ) หลังจากจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาแยกฝั่ง ชาย – หญิง
.
.
.
เข้าแยกส่วนปุปจะเจอตู้ล็อกเกอร์แยกคน ก็เจอแต่ผู้ชายเปลือย โอ้ มันเป็นวัฒนธรรมของพวกเขาจริงๆ นะคือไม่มีความรู้สึกว่าผิดแปลกแต่อย่างใด ทางผมก็ไหนๆ ก็มาละ ก็ต้องทำตามมารยาท เอาป้ายล็อกตู้เก็บรองเท้า ใส่ในล็อกเกอร์ พร้อมกับถอดเครื่องแต่งตัวและสิ่งของที่ติดตัวมาทั้งหมดใส่ในล็อกเกอร์ แล้วก็แว่นตา.. สายตาสั้นก็จริงแต่จะใส่แว่นเข้าห้องอาบน้ำ ก็ใช่ที เลยต้องถอดไว้ตรงนั้นแหละแล้วเดินเข้าไปแบบโป๊ๆ พร้อมผ้าขนหนูผืนใหญ่นิดนึงที่เตรียมมา
อ้อ ไม่ต้องคาดผ้าขนหนูที่เอวอะไรด้วย พาดไหล่เดินเข้าไปทั้งแบบนั้นเลยครับ จะอายน้อยกว่าทำตัวแตกต่างเยอะ ทุกคนมีพื้นเพที่แตกต่างกันก็จริง แต่ในโรงอาบน้ำจะยากดีมีจนก็เท่าเทียม หลักนี้เห็นว่าเกิดมาพร้อมกับโรงอาบน้ำเลยทีเดียว
พอเข้าไปในส่วนของที่อาบน้ำ เราก็จะเอาผ้าขนหนูของพวกเราพาดไว้ที่แถวๆ ฝักบัว แล้วก็ไปหยิบกาละมังอาบน้ำกับเก้าอี้มานั่งหน้าฝักบัว ตรงด้านล่างจะมีก๊อกน้ำเย็น กับก๊อกน้ำร้อน ให้ผสมใส่กาละมังแล้วก็ราดตัว ถูสบู่ สระผมทำความสะอาดให้ทั่วอย่างสะอาดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะยังไงเราต้องไปแช่บ่อรวมกันกับคนแปลกหน้า ถ้าทุกคนรักษามารยาทและทำตัวให้สะอาดมากเท่าใดก่อนแช่ ก็จะดีต่อผู้อื่นมากขึ้นเท่านั้น แล้วก็เอาผ้าเช็ดตัววางๆไว้แถวฝักบัวนั่นหละ (หรือจะมีที่พาดผ้าเช็ดตัวก็ไม่อาจทราบ แต่ตอนที่ไปนี้ไม่เห็น) แล้วก็หย่อนตัว แช่น้ำร้อน ความรู้สึกแรกที่นิ้วโป้งเท้าแตะบ่อน้ำร้อนนั้น
.
.
ร้อนมาก ร้อนนรก ไม่คิดว่าจะร้อนขนาดนั้น ต้องยืนทำใจเล็กน้อยก่อนค่อยๆ จุ่มตัวลงไปแช่ มันร้อนจริงๆ นะคือร้อนระดับไม่สบายตัวในแว้บยแรกที่ลงเลย แต่เห็นชาวญี่ปุ่นทุกคนลงได้แบบชิลๆ ช่างน่ามหัศจรรย์มาก โดยเมื่อเราแช่น้ำไปทีละนิด ทีละนิด ร่างกายจะปรับสภาพ และค่อยๆกลายเป็นความสบายอย่างไม่น่าเชื่อ โดยตามหลักการ เมื่อแช่จนพอใจแล้วก็ให้มาล้างน้ำเย็น แล้วกลับมาแช่อีกซักรอบก่อนออก โดยรวมแช่ซัก 15 – 20 นาทีก็เพียงพอครับ แต่ประเด็นคืออะไรรู้มั้ย
ประเด็นคือ ในโรงอาบน้ำไม่มีนาฬิกาใดๆ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าผ่านไปกี่นาทีแล้ว อนึ่ง ทางผมไปกับเมคุงที่เป็นสาวน้อยอยู่อีกฝาก จึงไม่รู้ว่าจะอาบเสร็จกันตอนไหน จะได้ไม่ต้องออกไปรอกันมาก สุดท้ายก็เลยต้องใช้วิธีตะโกนข้ามฝากถามกัน ซึ่งก็ทำให้ได้ความรู้สึกแบบการ์ตูนญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก น่าประทับใจสุดๆครับ (ฮา) อีกเรื่องคือในส่วนของกำแพงที่กั้นระหว่างฝั่งชาย-หญิง นั้นไม่สูงมาก น่าจะราวๆ 2 เมตรเท่านั้นเอง ซึ่งตอบคำถามจากที่เคยอ่านการ์ตูนกันได้เลยว่า การข้ามไปมาระหว่างสองฝั่งนั้นอาจจะทำได้จริงๆ กำแพงมันเตี้ย และเรียกได้ว่ากั้นไว้ด้วยศีลธรรมของชาวประเทศญี่ปุ่นเองนั่นหละ
สุดท้ายก็ออกมาหลังแช่เสร็จครับ เช็ดตัวหมาดก่อนออกห้องอาบน้ำ และมาเช็ดให้แห้งหน้าล็อกเกอร์นั่นหละ สุดท้ายถ้าอยากเป่าผมด้วยไดร์ ก็มีบริการในราคา 30 เยน หยอดๆ กันเข้าไป เก้าอี้นวดอะไรแบบนี้ก็มีให้บริการด้วย เสียดายที่ถ่ายรูปมาฝากไม่ได้จริงๆครับ ไม่งั้นน่าจะเป็นบทความที่สนุกมากขึ้นจริงๆ
สุดท้ายของท้ายสุดประจำบทความนี้ การแช่น้ำร้อนทำให้สามารถเดินฝ่าอากาศหนาว กลับที่พักได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเสื้อกันหนาวแล้วครับ มันมีผลที่ดีมากจริงๆ ใครไปญี่ปุ่นช่วงหน้าหนาว หรือช่วงที่ยังมีอากาศหนาว 5 องศา ถ้าได้แช่น้ำซักครั้ง ลองสลัดทิ้งความอายแบบชาวไทยดูซักรอบ คุณจะได้ประสบการณ์ที่ลืมได้ยากจริงๆครับ