ซีรีส์บันทึกเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นกลับมาอีกครั้ง– คราวนี้เป็นบันทึกการเดินทางกับสมาชิกห้องแชทติดแอร์ แพตตี้ (@Pattieez) และเมคุง (@Maykunn) เจ้าเก่ารวมเป็น 3 คน เท้าความก่อนว่าพวกเราเคยไปเที่ยวด้วยกันมาแล้วในทริป ญี่ปุ่นไปรอบๆ และเคมีเข้ากันได้ เลยไปกันอีกทีโดยในคราวนี้มีจุดมุ่งหมายหลักคือการไปดูไลฟ์ของกลุ่มยูนิตเซย์ยู มิลกี้โฮล์มส ที่จู่ๆช่วงหลังก็ติดขึ้นมาเพราะเกิดอาการลากยาวไหลมาจากการดูเซย์ยูของเลิฟไลฟ์! ทั้งมิโมรินและโซระมารุ (ทั้งสองคนอยู่ในยูนิตนี้ด้วยเช่นกัน-)
สารบัญ: ญี่ปุ่นไปดูไลฟ์
คลิกเพื่อดูสารบัญบทความ
ญี่ปุ่นไปดูไลฟ์
อนึ่งขอแนะนำเกี่ยวกับ “ยูนิตมิลกี้โฮล์มส” กันก่อน
ทันเทย์โอเปร่ามิลกี้โฮล์มส (探偵オペラ ミルキィホームズ) เป็นมีเดียมิกซ์แฟรนไชส์ของบริษัทจำหน่ายเทรดดิ้งการ์ดเกมบูชิโรด (Bushiroad, ブシロード) ประกอบไปด้วยทั้งเรดิโอดราม่า, อนิเมชั่นทั้งทีวีซีรีส์และมูวี่, มังงะ, วิชชวลโนเวลเกม และรายการวาไรตี้ทีวี เนื้อเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มนักสืบสาวๆวัยเรียนต๊องๆทั้ง 4 คนที่คอยใช้ “ทอยส์ (トイズ)” พลังพิเศษเหนือมนุษย์ คอยรับมือกับอาชญากรต่างๆในเมืองโยโกฮาม่าของประเทศญี่ปุ่น โดยทั้ง 4 คนประกอบด้วย
- เชอร์ล็อค เชริงค์ฟอร์ด, ชาโระ (シャーロック・シェリンフォード)
ลีดเดอร์ของกลุ่ม บุคลิกสดใสร่าเริง (CV: มิโมริ ซุสุโกะ (三森 すずこ) หรือมิโมริน) - ยูซุริซากิ เนโร่ (譲崎 ネロ)
ตัวละครปากเสียที่มักจะกินอุไมโบตลอดเวลา ใส่กางเกงอยู่คนเดียวในกลุ่ม (CV: โซระ โทคุอิ (徳井 青空) หรือโซระมารุ) - เอลล์คิว บาร์ตัน, เอลี่ (エルキュール・バートン)
สาวน้อยขี้อายแต่จอมพลังประจำกลุ่ม ชอบคิดลึกมากกว่าปกติ (CV: ซาซากิ มิโคอิ (佐々木 未来) หรือมิโครอน) - คอร์เดเลีย เกลอคา (コーデリア・グラウカ)
ไทป์พี่สาว ผมทอง ชอบพูดจาเสียงแปลกๆเหมือนโอเปร่า มักจิ้นกันเองระหว่างคนในกลุ่ม (CV: คิตตะ อิซุมิ (橘田いずみ) หรืออิซุซามะ)
โดยเนื่องจากเป็นมีเดียมิกซ์ ฉะนั้นเพลงประกอบในมีเดียทั้งหมดที่กล่าวมา (รวมถึงไปแจมในอนิเมอื่นๆของบูชิโรด) จึงทำการร้องโดยเซย์ยูทั้ง 4 เองนั่นหละ รวมได้ทั้งหมดปัจจุบันนี้ 13 ซิงเกิ้ล 2 อัลบั้ม 2 มินิอัลบั้ม และมีไลฟ์คอนเสิร์ต (แบบเต็ม) ออกมาทั้งหมด 6 ครั้งทั้งแต่ปี 2011
ฉะนั้นจะนับว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มไอดอลก็ไม่แปลกนัก แม้จะบอกว่าเป็นกลุ่มเซย์ยูก็เถอะ..! รูปแบบการขายคล้ายๆเลิฟไลฟ์นั่นหละแต่เข้มข้นทางการตลาดกว่าเยอะ
สำหรับไลฟ์ในปี 2016 ที่พวกเราไปดูนี้คือ ไลฟ์มิลกี้โฮล์มสฟูลคัลเลอร์มัตซึริ (ライブ ミルキィホームズ 総天然色祭) ซึ่งเป็นไลฟ์ที่เน้นเพลงจากอัลบั้มเต็มที่สอง “ฟูลคัลเลอร์ (総天然色)” นั่นเอง โดยบัตรไลฟ์ในครั้งนี้เป็นที่พวกเราได้ เป็นรอบเปิดขายของออฟฟิเชียลแฟนคลับ (http://milky-holmes-ofc.com/) ที่ต้องเสียสมัครค่าสมาชิกรายปี ทำให้สามารถได้สิทธิซื้อบัตรที่นั่งบัตรกันได้ง่ายครบ 3 คน ..จริงๆแล้วรอบที่ไม่ต้องเป็นแฟนคลับก็หาบัตรได้ แต่ว่าต้องไปลุ้นไปอะไรมากมายอีกทีละมั้ง ซึ่งไม่ค่อยอยากเสี่ยงกันมากนัก
ต้องขอบคุณแพตตี้ที่ดำเนินการตรงนี้ให้ด้วย สำหรับราคาก็อยู่ที่ 2 วันรวมแล้ว 14,000 เยน
เอาหละเรื่องว่าพวกเราได้บัตรคอนมาอย่างไรก็คร่าวๆไว้แค่นั้นก่อน ก่อนเดินทางก็เตรียมของไปให้พวกสาวๆกันตามเรื่องตามราว เนื่องจากเป็นชาวไทย ของที่ฝากก็ควรจะไปหาในแหล่งไทยๆ เลยไปซื้อที่จตุจักรกันมาแพคใส่ตามสะดวก
อ๊ะ ถ้าอยากอ่านในส่วนของรีพอร์ทไลฟ์โดยเฉพาะสามารถย้อนขึ้นไปบนด้านบนแล้วกดสารบัญไปอ่าน ตอนที่ 2 และ ตอนที่ 3 ได้เลยเน้อ จะเป็นเกี่ยวกับการรีพอร์ทไลฟ์แบบเน้นๆ
การเตรียมตัวก่อนการเดินทาง
เนื่องจากชินแล้วพอสมควรกับการไปญี่ปุ่น (เป็นครั้งที่ 3 สำหรับทุกคนในทริปนี้) การวางแปลนเที่ยวสำหรับพวกเราจึงออกแนวหลวมๆหน่อยและไม่เร่งรีบอะไรมาก ที่พักในคราวนี้เป็นการพักแบบเกสเฮาส์โดยจองผ่านแอร์บีเอ็นบี (https://th.airbnb.com) ทำให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในด้านที่พักเป็นเหลือ 7,458 บาทต่อ 9 คืนส่วนค่าเครื่องบินไปกลับในคราวนี้ใช้บริการของแอร์มาเก๊า (Air Macau) ราคาคนละ 11,595 บาท
แค่ค่าใช้จ่ายก่อนเดินทางก็ทำให้หน้าซีดไปนิดๆ เพราะพวกเราเองเพิ่งไปกันมาเมื่อปีที่แล้วแบบเต็มอิ่ม การไปญี่ปุ่นแบบฟูลทริปติดกันในสองปีนับว่าลำบากเล็กๆสำหรับเหล่าทาสการตลาดที่ปกติก็ต้องจ่ายกันเป็นประจำอยู่แล้ว~ อ้อ สำหรับทริปนี้ใช้อินเตอร์เน็ตของสุโก้ยซิมที่จัดโปร 299 บาทต่อ 7 วัน แต่เราไปกัน 10 วัน ก็จะชดเชยด้วยไวไฟฟรีของที่พักกันหละ
วันเดินทาง – 13 พฤษภาคม 2016
ตามกำหนดการพวกเราจะเดินทางกันตอน 02:55 น. เลยไปแกร่วแถวๆสุวรรณภูมิตั้งแต่ช่วง 5 ทุ่มกว่าๆแล้วหละ มีแลกเงินเพิ่มเติมนิดหน่อยสำหรับพลพรรคที่ฝากซื้อของ (แลกเงินที่สนามบินนี่ค่าเงินก็ไม่ได้ต่างจากไปแลกที่ร้านส้มร้านเขียวเท่าไร สบายกว่าที่คิดด้วย) โดยก่อนเครื่องออกประมาณ 3 ชม.ก็มารอเช็คอินกันตามปกติ
หลังจากเช็คอินและดรอปกระเป๋าเสร็จก็มาเดิน ในส่วนดิวตี้ฟรีในสุวรรณภูมิ ของก็เยอะดีใช้ได้แม้พวกเราจะไม่ได้คิดซื้ออะไรก็เถอะ อนึ่งแล้วในคราวนี้ออกจะไฮโซซักเล็กน้อยเพราะไปนั่งที่เลาจน์ของคิงพาวเวอร์ (King Power Lounge) แต่ต้องมีบัตรสมาชิกมาแสดงกันก่อนแค่นั้นเอง ใครที่อยากได้ที่นั่งฟรีก็ลองไปสมัครบัตรสมาชิกกันเผื่อๆไว้ในช่วงที่สมัครฟรีได้นะ โดยเลาจน์ของคิงพาวเวอร์นี่จะอยู่บริเวณโซน A
ในเลาจน์ก็จะเป็นที่นั่งชิลๆ มีน้ำ ขนม อาหาร ไวน์ ให้กินแบบไม่อั้น ทำให้ไม่ต้องเสียเงินในการซื้ออาหารที่แพงมากในสุวรรณภูมิได้ ที่สำคัญคือมีปลั๊กไฟสำหรับไว้ชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปกินไปด้วย แหม มีไวไฟฟรีประกอบกันอีกเล็กน้อยก็เพลินแล้วหละ
แน่หละพอคนว่างก็มักจะหาอะไรทำ ถ่ายรูปด๋อยใส่หน้าโซระมารุแล้วถ่ายรูปหมู่เป็นศิริมงคล (จริงๆแล้วต้องสปอยว่าจะถ่ายรูปด๋อยแค่ตอนนี้นั่นหละ หลังจากนี้ก็เรื่อยเปื่อย) แล้วก็วนเวียน นั่งเล่นมือถือ คุย นอนเล่น กิน จนถึงเวลาประมาณ 01:30 น. ถึงจะเริ่มออกเดินไปเกทกัน (เครื่องออก 02:55 น.) ซึ่งก็คิดว่าเผื่อเวลาไว้เยอะแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ไปนั่งรอนั่งหลับในเครื่องเอา
ตอนเดินไปเกทก็เห็นสายการบินอื่นๆถือป้าย FINAL CALL มาตามหาผู้โดยสาร ยังพูดกันอยู่เลยว่าถ้าพวกเราเลทแบบนี้เขาจะมาตามรึเปล่า (ฮ่า) ก็ค่อยๆเดินกันไปแบบชิลๆ เนื่องเลาจน์อยู่โซน A แต่เกทอยู่ F คนละทางกันเลยใช้เวลาซักนิด และ
.
.
.
พวกเราเจอกับคำว่า FINAL CALL เมื่อตอนเดินไปถึงหน้าเกท.. ทำไมหละ!!! ทำอะไรผิดเนี่ย เวลาก็ไม่ได้ใกล้ขนาดนั้นนี่นา แต่กลับขึ้นเครื่องเป็นกลุ่มสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ กลายเป็นจู่ๆก็สโลว์ไลฟ์กันจนเกือบเป็นเรื่อง!!
รีวิวแอร์มาเก๊า เส้นทางสุวรรณภูมิ ⇒ มาเก๊า ⇒ นาริตะ
แม้จะช้าแต่ก็ไม่เป็นไร ยังไงก็ยังได้ขึ้นเครื่อง รีวิวแอร์มาเก๊ากันซักเล็กน้อย
- อันดับแรกคือความสะอาดของเครื่องอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือไม่ได้รู้สึกเนี๊ยบมาก บางอย่างก็พังๆเล็กๆ เช่นบานพับเก้าอี้
- การขึ้นลงเครื่องก็ดูปลอดภัยดีแม้จะโคลงๆบ้างตอนขึ้นลงซึ่งเป็นเรื่องปกติของเครื่องบินขนาดเล็ก
- ไม่มีจอทีวีส่วนตัวให้ดู มีแต่จอรวมเป็นส่วนๆ ประมาณ 3 แถวต่อ 1 จอ
- ไม่มีแมกกาซีน มีแต่หนังสือพิมพ์ให้ (ต้องขอ จำนวนจำกัด)
- ผ้าห่มและหมอนต้องขอและแย่งชิงกันเอง
- แม้จะบ่นๆแบบนั้นแต่ว่ายังไงก็เป็นฟูลเซอร์วิส (แบบมาเก๊าสไตล์) โหลดน้ำหนักได้คนละ 20kg ไม่ต้องซื้อเพิ่ม มีอาหารให้ 2 มื้อ..!
ตรงอาหารนี่หละเด็ดจนต้องเขียน
มื้อแรกเป็นมื้อตอนตี 4 ครึ่ง ระหว่างเส้นทางเปลี่ยนเครื่องที่มาเก๊า อาหารมื้อแรกของทริปนี้ “ขนมปังชีสในตำนาน” ก็มาเสริมในห่อฟอยล์ แน่นอนว่าความร้อนของชีสและห่อฟอยล์เป็นอะไรที่พวกเราคาดเดาเอาไว้แล้วหละ และทีนี้เหล่าโฮสเตสสาวก็ยื่นแก้วกระดาษมาให้ พวกเราก็ถือไว้ จากนั้นพวกนางก็บรรจงรินน้ำเปล่ามาเสิร์ฟ
.
.
ซึ่งมัน ร้อนมาก ร้อนแบบตกใจ แต่ก็ต้องอดทนไว้เอามาวางเหมือนเดิม.. คือจะเล่นเกมตกใจกันก็ไม่บอก แล้วไม่รู้ว่าเป็นวัฒนธรรมฮ่องกง-มาเก๊าหรืออย่างไรที่จะต้องกินอาหารร้อนพร้อมกับน้ำร้อน..
เดินทางอีกซักแปปก็มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติมาเก๊า (MFM) พวกเราไม่รีบก็ค่อยๆออกตามสไตล์ พบเจอสิ่งแปลกคือรถขนส่งผู้โดยสารที่ลอยๆเหมือนไม่มีล้อ..
MFM เป็นสนามบินขนาดเล็กที่มีความเท่อยู่ คือก่อสร้างอยู่บนทะเลทั้งหมด ช่วงแลนดิ้งและเทคออฟจะรู้สึกอเมซิ่งเล็กๆ + ทึ่งในเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ทำให้รากฐานมันแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ทั้งๆที่อยู่บนทะเล แต่ถ้านับส่วนของอาคารผู้โดยสารนั้นเล็กกว่าสนามบินของฮ่องกงที่เคยต่อเครื่องเมื่อปีที่แล้วเยอะ ร้านรวงต่างๆก็น้อยตามไปด้วย เนื่องจากยังเช้าตรู่เลยได้แต่เอาเงินฮ่องกง (ของเมคุง) หยอดตู้น้ำหาน้ำดื่มมาดื่มไปก่อนเพราะขี้เกียจไปกดตู้น้ำฟรีกินเอา
ที่นี้ใช้เงินฮ่องกงหรือเงินมาเก๊าก้ได้นะ อัตราแลกเปลี่ยนของเงินมาเก๊าจะอ่อนกว่าฮ่องกงเล็กน้อย แต่ว่าสามารถใช้กันได้ในอัตราเท่ากัน 1:1 เลย
พอไม่มีอะไรทำเท่าไรนอกจากเดินโต๋เต๋ในอาคารไปมา เลยเลือกที่จะไปนอนมันหน้าเกทเลยเพื่อป้องกันอาการไฟนอลคอลอีกรอบ นอนยาวนอนหลับสนิทกันทั้งสามคนมาก จนเวลาใกล้ๆซักแปดโมงเช้าก็มีกลุ่มคนมาเยอะส่งเสียงจ้อกแจ้กจนตื่นแล้วหละ ก็พอดีกับการไปต่อคิวขึ้นเครื่องไปนาริตะพอดี
รอบที่ไปญี่ปุ่นนี้ไม่เจอขนมปังชีสแล้ว สบายใจได้ และเจอน้ำเย็นตามปกติด้วย ซึ่งจริงๆมันก็เป็นเรื่องปกติหละ.. ถ้าจำไม่ผิดมื้อนี้จะกลายเป็นสุกียากี้เนื้อตามสไตล์ญี่ปุ่นแล้ว
ถึงนาริตะอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้ไปโตเกียว
มาถึงนาริตะกันอีกรอบแล้ว คราวนี้เป็นการมาถึงในยามบ่ายๆเย็นๆเป็นรอบแรก อากาศก็กำลังดี พวกเราที่ไม่ได้มีความเร่งรีบอะไรเนื่องจากกำหนดการในวันแรกมีแค่หาแฟมิลี่มาร์ทสำหรับแลกตั๋วไลฟ์คอนเสิร์ตแค่นั้นเองจึงเดินกันแบบเปื่อยสุดๆ เปื่อยจนคุณลุงเจ้าหน้าที่ประจำสนามบินต้องขับรถมารับเลยทีเดียว แต่ก็เป็นความทรงจำที่ดี ได้สนทนากันด้วยภาษาอังกฤษเล็กๆน้อยๆ
ลุงบอกว่าวันนี้อากาศร้อน.. (ราวๆ 20 องศา) ถ้าอากาศประมาณนี้แล้วคุณลุงยังบอกว่าร้อนนี่ไปเมืองไทยไม่ได้เลยนะ อาจจะสิ้นชีวิตได้เหมือนติดพิษเลยทีเดียว
ที่แปลกกว่าที่เคยมาคือคราวนี้เราจะตรงเข้าไปในตัวเมืองของจังหวัดจิบะ (Chiba) โดยตรง เพราะว่าสถานที่ดูไลฟ์ของพวกเราจะอยู่ในจังหวัดจิบะนี่หละ แล้วก็คงไม่เหมาะที่จะเดินทางไปๆมาๆจากโตเกียวด้วยเพราะคงเหนื่อยกัน แต่ว่าการเดินทางตรงจากนาริตะไปตัวเมืองจิบะก็ไม่ได้ยากอะไร เพราะรถไฟสายเคย์เซย์ที่คุ้นเคยก็มีวิ่งตรงไปได้เช่นกัน
โดยจากนาริตะเราจะไปลงที่สถานีเคย์เซย์-ซึดานุมะ (Keisei-Tsudanuma) แล้วต่อรถด้วยสายชิน เคย์เซย์ ไปลงสถานี ยาคุเอ็นได (Yakuendai) เดินอีกแค่ราวๆไม่กี่นาที (น่าจะ 5 นาที) ก็ถึงที่พักของพวกเราใน 3 คืนแรกนี้จากการหาที่พักจากแอร์บีเอ็นบี ฟุนาบาชิโคซี่อพาร์ทเมนต์ ห้อง 208 (Funabashi Cosy Apartment (208)) ในแผนที่ๆแนบมาจะไม่ตรงเล็กน้อยเพราะเป็นบ้านคนปกติเลยไม่ได้บันทึกไว้หละนะ
ปกติแล้วเห็นว่าการพักกับแอร์บีเอ็นบีนี้จะมีทั้งแบบพักร่วมกับโฮส พักบางส่วนของบ้านโฮส หรือโฮสอาจจะแค่พาไปบ้านพัก ส่วนของพวกเราเป็นอีกกรณีคือไม่เจอโฮสเลย (ฮา) ก็ใช้วิธีกดรหัสเอากุญแจเข้าห้องแถวๆนั้นแล้วก็ใช้ห้องกันได้อย่างสงบ
มีปัญหาเล็กๆคือเพียงแต่ว่าตอนแรกต้องได้พักที่ห้อง 208 แต่คุณพอลที่เป็นเจ้าของเมสเซจมาบอกให้ไปพักที่ห้อง 209 แทนเนื่องจากปัญหาด้านน้ำ? ก็ไม่เป็นไรไม่ได้เป็นจุดหลักสำคัญอะไรขนาดนั้นเพราะห้องก็มีขนาดที่เท่าๆกันนั่นหละ ติดแค่ว่าตอนแรกตามในรายละเอียดจะต้องมีเครื่องซักผ้า แต่ห้องนี้ไม่มี ก็ไม่เป็นไรหยวนๆเล็กน้อย
แต่เนื่องจากเวลาก็ยังไม่เย็น และพวกเรามีภารกิจที่ต้องกระทำอยู่ ฉะนั้นจึงได้แต่วางกระเป๋า ทำตัวให้เบาๆ แล้วออกไปเดินเล่นกันในแถวๆที่พักนี่หละ
ภารกิจแรกของพวกเรา หาแฟมิลี่มาร์ทแลกตั๋วไลฟ์
เมื่อเอากระเป๋าวางแล้วก็ได้เวลาสำรวจเมืองเพื่อทำภารกิจแรก นั่นคือการหาแฟมิลี่มาร์ทเพื่อเอารหัสจองตั๋วที่จ่ายตังไปแล้วไปแลกเป็นบัตรไลฟ์ไว้เข้าคอน เปิดไวไฟที่ได้รับจากโดยแฟมิลี่มาร์ทอยู่ห่างจากสถานีเราราวๆ 1 สถานีพอดี ซึ่งก็เป็นระยะทางที่ยังพอเดินไปได้แบบสบายๆเลยเลือกเดินไปกันดีกว่า
เขตฟุนาบาชินี่เงียบสงบมาก เป็นเมืองที่เหมาะกับการอยู่อาศัยจริงๆ บ้านแต่ละหลังก็ดูเล็กๆจุ๋มจิ๋มมีความเป็นระเบียบ เรียกได้ว่าถ้าเคยอ่านมังงะญี่ปุ่นมาแล้วจะเจอเด็กๆวิ่งคาบขนมปัง หรือทักทายเพื่อนสาวข้างบ้าน ก็น่าจะเกิดในเมืองที่เป็นชานเมืองราวๆนี้หละ
ถึงจะดูเงียบแต่ว่ารถราก็มีพอสมควร ทางเดินแคบๆก็พอจะนำเราไปไหนมาไหนได้โดยปลอดภัย แค่อย่าทะลึ่งเดินปาดซ้ายปาดขวาก็พอ พอได้เดินในเมืองที่ไม่ใช่โตเกียวนี้ทีไรก็ได้รู้สึกว่ามีบรรยากาศสบายๆแบบสโลว์ไลฟ์จริงๆ อ้อ เมืองนี้มักจะมีอะไรแปลกๆแบบเดินไปก็เจอประติมากรรมศิลปะที่ตีความได้ยากวางอยู่ในดูกันด้วย (?)
เดินได้ราวๆ 20 นาทีก็มาถึง แต่นแต๊น ร้านที่พวกเรารอคอย แฟมิลี่มาร์ทที่ต้องดั้นด้นกันมา พบเจอแล้วก็ตรงดิ่งเข้าไปตู้ฟามิพอร์ท (FamiPort) เพื่อกดเอาบัตรคอนกันเลยจากรายละเอียดที่พิมพ์มา ใช่แล้ว ต้องปรับเป็นภาษาอังกฤษก่อน!
.
.
แม้ว่าจะปรับไปแล้ว UI ของเครื่องก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลยก็ตาม (..)
กดไม่ได้.. กดลองวนอยู่ 2–3 รอบ ก็ไม่เป็นผล.. ต้องทำไงหละ!! คำตอบคือเปลี่ยนมันกลับไปเป็นภาษาญี่ปุ่นก็จะเอาโค้ดจอง+พาส แลกใบออกมาได้แล้ว.. จากนั้นก็เอาไปยื่นกับคุณพนักงานเพื่อเปลี่ยนเป็นตั๋วแบบใบๆ (ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มแล้ว)
และก็ซื้อขนมซื้อเครื่องดื่มมากินกันตามระเบียบ
ขาเดินกลับก็เดินไปอีกทางเพื่อความสนุกสนาน ได้พบเจอกับห้างขายของกินแบบเดี่ยวๆที่ดูดี (ชอบห้างแบบนี้ มีอาหารที่ดูดี ราคาดี และมีการลดราคาที่ดี)
ช่วงขากลับก็จะเป็นราวๆทุ่มนึง คนก็กลับมาจากการไปเรียนไปทำงานในตัวเมือง ก็รู้สึกมีผู้คนพลุกพล่านขึ้นมาบริเวณสถานีรถไฟเลยทีเดียว อนึ่งรถไฟในแถบชานเมืองนี้ไม่ได้มาชม.ละ 20 ขบวนแบบในโตเกียว แต่จะเหลือเพียง 2-3 ขบวนต่อชม.เอง ฉะนั้นถ้าจะเดินทางก็ดูตารางเวลากันให้ดีๆด้วยหละ
สำหรับมื้อเย็นในวันนี้ ตอนแรกคิดว่าจะซื้อมาจากซุปเปอร์ขายของกินที่เจอแถวแฟมิลี่มาร์ทแต่ว่าขี้เกียจแบก กะจะมาหาแถวๆบ้านพัก จนสุดท้ายก็ไม่เจอ แต่ว่าหน้าบ้านพักก็มีร้านข้าวที่ดูดีอยู่ในชื่อ คิชเชน ออริจิน (Kitchen ORIGIN)
ขายกับข้าวแบบตักเอง เลือกตามใจชอบแล้วคิดราคา หรือจะสั่งกับข้าวสดก็ได้ รสชาติใช้ได้อยู่ เทียบกับราคาก็ไม่แพง ผสมกับไปซื้อของจากแฟมิลี่มาร์ทอีกเล็กน้อยก็เป็นอันใช้ได้สำหรับวันแรกนี้
นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว อาบน้ำนอนตามปกติ ที่พักเหมือนจะแคบ แต่ว่าก็โอเคสำหรับพวกเราที่เคยพักที่ๆแคบกว่านี้กันมาแล้ว (หึ..) สำหรับวันนี้นอนกันตั้งแต่ 3 ทุ่มอย่างไม่น่าเชื่อเพราะต้องไปต่อคิวซื้อของหน้าไลฟ์กันอีกในวันพรุ่งนี้ไงหละ~!
รีวิวที่พักฟุนาบาชิโคซี่อพาร์ทเมนต์ห้อง 209
ปิดท้ายด้วยการรีวิวที่พักตามสไตล์
- สะอาดดี แต่ตอนแรกบอกมีเครื่องซักผ้าแต่ไม่มี กลายเป็นตู้โล่ง
- ประตูที่มีปัญหาปิดไม่ลง ต้องใช้ทริคในการปรับความหนืดลมเล็กน้อย
- ถ้าไม่เก็บที่นอนพวกเราจะไม่มีที่ดำรงชีวิต ถ้าทุกคนใช้กระเป๋าเดินทางไซส์ใหญ่จะมีปัญหาแน่นอน
- มีระเบียงที่ลมเข้าถึงใช้ได้ ไว้ตากเสื้อ แดดดีแม้อากาศเย็น
- ห้องน้ำไม่แยกส่วนเปียกแห้ง ลำบากเล็กๆ
- ใกล้คอมบินิมาก ใกล้สถานีมาก ถ้าจะมาดูคอนที่มาคุฮาริ ไม่ผิดหวัง
- มีไวไฟที่เร็วให้ใช้ฟรี
เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับแอร์บีเอ็นบีคือเมื่อเร็วๆนี้ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้มีการออกกฎใหม่บังคับว่าผู้ที่จะให้บริการที่พักสไตล์นี้จะต้องพักเกิน 7 วันขึ้นไป และตอนนี้ (6/2016) กฎหมายยังไม่นิ่งและไม่แน่ชัดในแต่ละพื้นที่ ใครสนใจบริการพักเกสท์เฮาส์แบบนี้ต้องเช็คให้ดีก่อนด้วย