Skip to main content

ไปนอนที่นูมาสึละกัน เช้าค่อยกลับ

ไม่ได้เขียนบันทึกการเดินทางมานานมากๆ เลยครับ แต่จู่ๆ ก็คิดถึงญี่ปุ่นมากขึ้นมาเลยไม่รู้จะทำไงดี ก็ตัดสินใจว่าเอาภาพถ่ายที่เคยโปรเซสจนเสร็จไว้แล้วมารวบรวมเขียนไว้เป็นความทรงจำดีกว่า

ทริป “24 ชม. นูมาสึ” นี้เป็นการเที่ยว เมืองนูมาสึ (沼津) จังหวัดชิสึโอกะ ครั้งแรกของผม เกิดขึ้นในช่วงปี 2019 หลังจากการไปเที่ยวกับเมคุง (@Maykunn) ใน ฮาโกเน่ฉุกละหุก แบบพอดิบพอดี และพอนับเวลาของการอยู่แถวนูมาสึในบทความนี้ก็ 1 วัน 1 คืนเป๊ะๆ ครับ

ทำไมมาพักที่นี่ นูมาสึมีอะไร

สรุปในบรรทัดเดียวคือนูมาสึเป็นเมืองต้นแบบของอนิเม+สื่อผสม เลิฟไลฟ์!ซันไชน์!! (จะย่อว่า LL!SS!!) ที่ผมชอบมาก เลยถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะมาซักหน่อย แม้ในทริปนี้จะไม่มีติ่งเรื่องเดียวกันมาด้วยกัน แต่ว่าในเมื่อมันเป็นเมืองบ้านน๊อกบ้านนอกที่ไม่ค่อยฮิตของปุ่น.. ผมก็ค่อนข้างคิดว่ามันต้องสนุกแน่นอนแม้จะเป็นคนที่ไม่ได้อินก็เต๊อะ!

ที่สำคัญคือก่อนจะมาถึงที่นี่ก็เที่ยวฮาโกเนะแบบเต็มสูบมาแล้วด้วย ถ้าจะนั่งย้อนกลับไปพักโตเกียว ก็ดูไม่ค่อยเร้าใจ (+ เหนื่อยเดินทางโดยใช่เหตุ) เลยใช้วิธีแบกเครื่องแต่งกายเพิ่มเติมมานิดหน่อยในเป้ เพื่อเอามาพัก 1 คืนแบบสบายๆ ในโรงแรมชั้นดี เติมพลังให้เต็มที่ก่อนกลับโตเกียว ก็น่าจะสนุกมาก


มาถึงซะดึก แล้วจะมีอะไรทำน่ะ

ใช่แล้ว พวกเรามาถึงสถานีนูมาสึก็ 18:00 น. และแน่นอนว่าถ้าเป็นประเทศซีกโลกเหนือหน้าหนาว.. มันก็มืดสนิทแล้วหละ เอาจริงการมาเที่ยวเมืองไม่เคยแล้วเริ่มต้นด้วยการมาถึงยามดึกก็สนุกเสมอ ถ้าร้านรวงยังไม่ปิดนะครับ

ในฐานะของคนที่ชอบอนิเมเรื่องนี้ (เรียกว่าติ่งดีกว่า ง่ายดี) ที่นี่สุดยอดไปเลย! จะตรงไหนก็เหมือนได้มาตามรอยทุกที่ มีร่องรอยที่อยากเห็นมากมาย แล้วเนื่องจากเมืองนี้เป็นการคอลาโบเรชั่นระดับ “ทั้งเมือง” โดยได้รับความร่วมมือกับทั้งระดับเทศบาลและชาวบ้าน ทำให้ทุกอย่างในเมืองนี้แทบจะมีสินค้าทางการของเรื่องขายในแต่ละร้านได้ง่ายดายเลยทีเดียว

แถมยังมีกิจกรรมระดับที่ร่วมมือกันทั้งพื้นที่ใหญ่แบบ แสตมป์แรลลี่ ให้ได้เล่นกันทั้งเมืองอีกด้วย

ก่อนอื่นก้ต้องแบกสัมภาระไปที่โรงแรมกันก่อน โดยวันนี้พวกเราเลือกพักที่ นูมาสึ ริเวอร์ไซด์ โฮเตล (Numazu Riverside Hotel) โรงแรมระดับ 4 ดาวที่มีราคาเหมาะสมกับชาวไทยและมีห้องพักที่มักจะมีเสมอ เดินทางก็ง่ายสะดวกสบาย ระหว่างทางที่เดินมาก็เจอได้ว่ามีการตกแต่งเมืองด้วยภาพตัวละครในวง Aqours มากมาย แทบจะมีทุก 50 เมตรเลย

ก่อนจะไปต่อ ขอเกริ่นก่อนว่านูมาสึเนี่ย เหมือนเมืองที่ถูกแบ่งด้วยรางรถไฟ มีเมืองซีกเหนือที่มีตึกเยอะ ร้านรวงเยอะ และเมืองซีกใต้ ที่เป็นย่านอยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่และติดทะเล สองส่วนของเมืองนี้ไม่สามารถเดินทางหากันได้อย่างง่ายๆ ต้องอ้อมโลก หรือไม่ก็ต้องเสียตัง (อันจะกล่าวถึงต่อไป) โรงแรมที่เราจะไปพักกันนี้อยู่เมืองซีกใต้ครับ

พอมาถึงหน้าโรงแรมก็ตกใจใช่เล่น เพราะมีจุดคบไฟ.. (ห๊ะ) หน้าโรงแรม เพราะมีงานสังคมในโรงแรม ก็นับว่าได้เห็นอะไรที่แปลกตาดี และที่แปลกตากว่านั้นคือพอเข้าไปในโรงแรมแล้วตกใจในความหรูหรา มันโรงแรม 4 ดาวจริงด้วย!!! แต่แม้จะดูโก้ไฮโซขนาดไหน ก็ยังมีซุ้มเกี่ยวกับ LL!SS!! วาง ทั้งขายสินค้า ลายเซนต์ของนักพากย์ (ตั้งสองคน) และโปสเตอร์+อื่นๆ อีกมากมาย

หน้าโรงแรมในวันนี้ มีคบไฟด้วย


พอวางสัมภาระกันแล้วก็เลยคิดว่า วันนี้เดินเมื่อยมากๆ สงสัยจะต้องไปออนเซนแช่สบายตัวหรืออย่างน้อยก็ต้องเซนโตแล้วหละ เมืองแบบนี้ต้องมีแน่ๆ

แต่ผิดคาด มันไม่มีเซนโตในเขตตัวเมืองหรือแถวโรงแรมนี้เลย!!!! (จากการลองค้นหาด้วยคีย์เวิร์ด 温泉 (ออนเซน) ด้วยกูเกิลแมป) ที่ใกล้สุดก็จะเป็น นูมาสึยุงาวาระออนเซน (Numazu Yugawara Onsen, 沼津・湯河原温泉) ออรเซนขนาดใหญ่ที่ต้องนั่งรถตู้รับส่งของออนเซนไปประมาณ 20 นาทีจากป้ายรถเมล์ที่เขตเมืองซีกเหนือของนูมาสึ

ไกลขนาดนั้น……. แน่นอนว่าต้องไปครับ การไปแช่บ่อในหน้าหนาวนับว่าเป็นสิ่งที่พึงกระทำอันดับหนึ่ง (?) ดังนั้นก็เช็คตารางเวลาของรถตู้จากเว็บของออนเซนเอง (ลิงค์นี้) ก็พบว่ารถจะมาตอน 19:30 น. มีเวลาอีกราวๆ ชม. ให้เดินเล่นในเขตนูมาสึกันหละ

ตามที่เกริ่นเอาไว้แล้วว่าที่นี่มีแสตมป์แรลลี่ด้วย และการจะได้มาซึ่งแสตมป์แรลลี่ก็จะต้องไปซื้อสมุดก่อน เลยไปเดินเล่นที่ ย่านการค้า นากามิเสะ (NAKAMISE SHOPPING STREET, 仲見世商店街) ของนูมาสึกัน ซึ่งย่านนี้น่าจะเป็นย่านที่คึกครื้นสุดของเมืองซีกใต้นี้แล้วหละ แต่ก็คนไม่ค่อยเยอะเท่าไรตามสไตล์บ้านนอก

ย่านการค้า นากามิเสะ

ถามว่าสนุกมั้ย ก็ต้องบอกว่าเป็นรสของเมืองที่แปลกแล้วก็ไม่เคยสัมผัสมาก่อน มันมีกลิ่นของความทันสมัย ผสมกับความบ้านนอกปะปนกันจางไป บางร้านก็ปิด บางร้านก็ดูหรูหราจนไม่รู้ว่าขายใคร แต่ที่แน่ใจได้คือความหลากหลายของร้านที่มากจนอดคิดไมไ่ด้ว่าเขาเปิดร้านให้ใครกันนะ

ร้านแรกที่ตรงไปคือร้านหนังสือมารุซัง (BOOK STORE MARUSAN, マルサン書店) ร้านยอดฮิตที่ปรากฎในอนิเมของ LL!SS!! มาก่อน เป็นร้านหนังสือเก่า ให้ความรู้สึกเหมือนย้อนไปราวสามสิบปีก่อน (?) ที่มีความครบครัน ทันสมัยครบถ้วน ออกใหม่ก็มีครบทุกเล่มกระทั่งหนังสืออนิเมเฉพาะทาง โดยส่วนตัวแล้วชอบร้านนี้มาก บรรยากาศดูสงบดี ตัวจะมีสี่ชั้นรวมใต้ดิน มีลิฟต์ให้บริการ มีกาจาปองให้หมุน มีเข็มกลัดให้ซื้อ และมีสมุดแสตมป์แรลลี่ให้ได้จับจ่ายก่อน และจากที่รู้มา ถ้าเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับ LL!SS!! บางทีจะมีของแถมพิเศษที่มีเฉพาะร้านนี้ด้วยนะ (คือต้องถ่อมาซื้อถึงที่นี่ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน)

ร้านหนังสือมารุซัง!


จุดเด่นตอนมาเยือนอีกที่คือชั้น 3 ของร้านที่ทำเป็นมุมหนังสือ LL! แบบเต็มที่ มีทั้งโชว์สแตนดี้ของสาวๆ วง Aqours ทั้งขายสมุดแสตมป์แรลลี่ ขายเข็มกลัดลายเดียวกับตราปั๊ม แล้วยังมีลายเซนต์ของนักพากย์อย่างริเคียโกะและไอไอให้แฟนๆ ได้มาส่องด้วย

คือที่เหลือระดับวางกางได้เลย


เป็นจุดสตาร์ทที่ดีของทริปครับ และสิ่งที่ทำให้รู้สึกได้ชัดเจนคือญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมการอ่านที่ดี แม้จะเป็นในเมืองเล็กหัวเมืองบ้านนอกก็มีร้านหนังสือที่คุณภาพสูงให้ได้ซื้อกันทั่วถึงพอตัว

อีกส่วนที่ทำให้การเดินในย่านการค้านี้ของผมสนุกมากคือเพิ่งอินในอารมณ์จากการดูหนังโรงของ LL!SS!! ฉะนั้นจะจุดไหนในย่านนี้ก็ดูน่าสนุกไปหมดเลย แม้หลายร้านจะปิดตามเวลาไปเยอะแต่ว่าก็เปิดไฟสว่างจ้าเห็นแล้วรู้สึกเดินได้อย่างปลอดภัย

อย่างร้านกาแฟที่ดูมีสไตล์นี่ก็เป็นหนึ่งในโลเคชั่นที่เห็นชัดเจนในอนิเมเหมือนกันนะ แต่เสียดายที่ไม่ได้ลองดื่ม ดูเป็นร้านที่ดีเหมือนกัน

ร้านกาแฟที่ปรากฎในเรื่อง

อีกเรื่องที่เป็นมิชชั่นของผมคือการ ใน 24 ชม.นี้ จะตามล่าถ่ายรูปฝาท่อลาย Aqours ที่มีครบถ้วน 9 คน (กับมีลายพิเศษอีกนิดหน่อย) ที่กระจายกันไปทั่วเมืองนูมาสึทั้งเหนือใต้  ให้ได้! และย่านการค้านี้ก็มีลายพิเศษให้ได้ประเดิมกันก่อน

เป็นรูปรวมฯ สมาชิกแบบสีด้วย

เดี๋ยวพิกัดของฝาท่อจะรวบรวมท้ายบทความอีกทีนึง

พอเดินได้ซักพักก็ได้เวลาราวๆ ทุ่มนึง พวกเราเลยต้องเดินไปหาป้ายรถตู้ที่บริเวณเมืองซีกเหนือ แล้วตามที่บอก.. จะไปเมืองซีกเหนือมันต้องเดินผ่านสถานีรถไฟ ที่จะต้องเสียเงิน 140 เยนเพื่อผ่าน (เหมือนโดนขูดรีด) หรือไม่ก็เดินอ้อมโลกเพื่อไปลอดใต้สะพานเพื่อย้อนกลับมาหน้าสถานี..

แน่นอนว่าพวกเราเลือกแบบที่ไม่เสียเงิน แต่ก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่าประเทศญี่ปุ่นก็ถนัดทำเรื่องที่ง่ายแบบทำสะพานข้าม ให้ยากเหมือนกันนะ..

ต้องเดินผ่านลานจอดจักรยาน ลอดใต้สะพาน เพื่อไปซีกเหนือ

คือถ้าไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นอะไรเลยนี่ อาจจะงงไปแล้วว่าเมืองบ้าอะไรทำไมมันเดินไปทางซีกเหนือไม่ได้!!!!!!!!!!!!!! แล้วทำไมต้องเสียเงินนนนน แต่ว่าก็สนุกดีไปอีกแบบ


เมืองซีกเหนือและออนเซนแบบโรงอาบน้ำที่ดี

พอเดินอ้อมมานานมากก็มาโผล่เมืองซีกเหนือ บรรยากาศค่อนข้างดูแล้วพัฒนามากกว่าเยอะจริงด้วย แล้วพอมาดูแถวบ้านรถตู้ก็พบว่ารถยังไม่มา (ดูตารางผิดจาก 19:30 น. เป็น 19:00 น.) เลยเหลือเวลา 30 นาที แล้วพอเปิดแมปก็พบว่าในย่านเหนือนี้มีฝาท่ออยู่ถึงสามอัน มีอันใกล้สุดก็ฝาท่อของฮานามารุจัง ที่อยู่ตรงบริเวณป้ายรถพอดี

เจอเมมเบอร์คนแรกแล้ว ปีหนึ่ง มารุจัง!

เอ๊ะ แต่อันนี้ไม่มีสี แต่เจอก่อนนี้มีสี ดูเป็นปริศนา แต่ไว้ก่อน ตอนนี้ต้องรีบเดินไปหาฝาท่ออีกแห่งคือตรง ย่านการค้า ถนนริโกะ (リコー通り) ที่มีซุ้มประตูที่ชื่อริโกะแต่ไม่ได้เกี่ยวกับริโกะจังแต่มีฝาท่อริโกะจัง (??) ตรงนี้พอเดินมาถ่ายรูปเสร็จ ผมก็เปิดแผนที่แล้วพบว่า ในเขตเหนือนี้เหลือแค่ของคานันจังฝาเดียวเอง แต่มันเดินไกลมากกก แล้วกลัวจะไปกลับไม่ทัน เลยให้เมคุงรอที่แฟมิลี่มาร์ทแถวนี้ก่อน จากนั้นค่อยวิ่งไปอย่างไว.. เหนื่อย แต่รู้สึกว่าต้องทำ

ระหว่างทางที่วิ่งไปคือรู้สึกว่าที่หนาวๆ นี่ร้อนขึ้นมาเลย กลัวกลับมาไม่ทัน 19:30 น. แล้วจะอดไปออนเซน!! เลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปหรือแวะเดินเล่น วิ่งไปวิ่งกลับด้วยระยะทางประมาณ 700 เมตร ใช้เวลา 10 นาที.. รีบเหมือนกันนะเนี่ย

แต่ได้เจอฝาท่อทำให้ภารกิจยังคงดำเนินได้ นับว่าเป็นสุขพอตัว

อนึ่งได้รับคำบอกเล่าจากผองเพื่อนในภายหลังว่า แสตมป์ ฝาท่อ หรืออะไรใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับคานันจังในนูมาสึคือไกลปืนเที่ยงทั้งหมด เหนื่อยหมดเลย ก็พอจะเข้าใจได้เพราะว่าเจ้าตัวเป็นพวกบ้าพลังนินา

แต่เอาเป็นว่าเก็บภาพถ่ายฝาท่อมาได้ 3 คนแล้ว จากนั้นก็ไปนั่งรถตู้ที่ไปออนเซนกันเถอะ โดยรถตู้ที่จะพาพวกเราไปออนเซนแห่งนี้จะมีสกรีนโลโก้ให้เห็นกันชัดๆเรียกได้ว่าไม่มีผิดคิวแน่นอน.. แต่เหมือนว่าคุณลุงที่ขับรถตู้ก็ค่อนข้างจะแปลกใจที่มีชาวต่างชาติแบบเราไปออนเซนกัน

รถตู้พาไปออนเซน

ใช้เวลาประมาณแค่ 20 นาที รถติดแค่นิดหน่อย พวกเราก็มาถึง นูมาสึยุงาวาระออนเซน (Numazu Yugawara Onsen, 沼津・湯河原温泉) ที่แสนโดดเด่นด้วยรูปร่างภายนอก จริงๆ ที่เลือกจะมาออนเซนแห่งนี้ไม่ใช่แค่เพียงมันใกล้สุด แต่รูปร่างภายนอกยังเป็นโรงอาบน้ำแบบญี่ปุ่นสุดๆ คล้ายกับที่เคยเห็นตามพวกอนิเมหนังโรงของกิบลิแบบ Spirited Away (2001) ยังไงไม่รู้

โรงอาบน้ำที่ดูญี่ปุ่นมากๆ มีหลายชั้นอีกตะหาก

ลักษณะโรงอาบน้ำแบบนี้คือเป็นทั้งห้องพัก ออนเซน และร้านอาหารไปด้วยในตัวเองอย่างสมบูรณ์ เหมือนเป็นแหล่งผ่อนคลายสบายๆ ที่เปิดตลอด 24 ชม. (ปิดแค่ 1 ชม. ตอนตีห้าเพื่อทำความสะอาดหละมั้ง, แต่ต้องระวังเพราะรถกลับสถานีไม่ได้มี 24 ชม.นะ)

พวกเราที่เคยไปกันแต่ที่อาบน้ำสาธารณะหรือ เซ็นโต ก็ค่อนข้างตื่นเต้นมาก เพราะมันดูแตกต่าง ดูเป็นเหมือนเรียวกังมากกว่าเลยนะเนี่ย เอาว่าแค่ลองเข้าไปก็เจอบันไดเลื่อนขึ้นไปชั้นสองก็แปลกใจแล้ว

ระบบของที่นี่เป็นแบบจ่ายเหมา 1,520 เยน ซึ่งก็ไม่ได้แพงมากเมื่อเทียบกับเซนโตปกติที่ราวๆ 500 เยนต่อครั้ง เมื่อเข้าไปก็ได้พบว่าบรรยากาศมันญี่ปุ่นมาก ต้องมีการเอารองเท้าเก็บใส่ถุงแล้วหิ้วไปพร้อมๆ กันด้วยนะ แล้วดูเหมือนจะมียูกาตะให้ยืมใส่ฟรี ผ้าขนหนู ผ้าเช็ดหน้าก็ฟรี

จากนั้นก็แยกย้ายเข้าส่วนชายหญิงกันอาบน้ำตามอัธยาศัย ส่วนที่แตกต่างมากๆ กับการอาบในเซนโตคือมันกว้างงงงง ส่วนเปลี่ยนเสื้อก็มีหลายล็อกเกอร์ สะอาด ไม่ต้องแย่งกัน ส่วนอาบน้ำมีแชมพู สบู่เหลว มีดโกนหนวด ครีม ให้บริการไม่ต้องพกมาเอง ไม่ต้องซื้อเพิ่มด้วย แล้วก็เพราะว่าได้ใช้ฟรีแบบนี้ทำให้ได้รู้สึกว่าอาบน้ำสะอาดขึ้นมาก

แยกส่วนชายหญิง

ส่วนไฮไลท์สุดๆ คือการมีบ่อกลางแจ้งที่ทำด้วยไม้สนหละ พอมาในเวลาที่อากาศมันเย็นแบบนี้ การที่ได้แช่น้ำร้อน แล้วท่อนบนมีอากาศเย็น ในบรรยากาศผ่อนคลายสบาย ทั้งวันที่เที่ยวมาเหนื่อยก็เหมือนหายเป็นปลิดทิ้ง แถมต้องบอกว่าเป็นประสบการณ์ครั้งแรกเลยที่ได้แช่บ่อกลางแจ้ง ประทับใจอย่างแรง จนต้องสลับขึ้นมาอาบน้ำแล้วลงไปแช่อีกสองครั้งเลย

ที่นี่อ่างข้างในก็ใหญ่ สิ่งที่เรียกว่าออนเซนคงเหนือกว่าเซนโตก็ตรงนี้ ความรู้สึกที่ไม่ต้องเบียดเสียดหรือเร่งรีบใดๆ..

ขอยืมภาพบ่อกลางแจ้งมาจากในเว็บของทางออนเซนครับ

ไม่สิ จริงๆ ก็เร่งอยู่ครับ เพราะว่ารถที่จะกลับไปสถานีนูมาสึมีแค่ถึง 21:00 น. เท่านั้น ทำให้พวกเรา.. มีเวลาสบายอยู่ในสถานที่แห่งนี้แค่ราวชม. เดียวแค่นั้นเอง

น่าเสียดายอย่างยิ่ง

อนึ่งพอได้ออกมาแล้วก็เดินถ่ายรูปภายในเท่าที่จะถ่ายได้ (แน่นอนว่าในส่วนของบ่ออาบน้ำไม่ได้อยู่แล้ว)ก็ครบถ้วนทั้งโรงอาหาร เกมเซนเตอร์เก่าๆ ตู้คีบตุ๊กตา (ที่มีเนโซเบริคานันจังตัวใหญ่ให้คีบ) ได้บรรยากาศดีเหมือนกันนะเนี่ย อ้อ มีชาเขียวร้อนเย็นและน้ำเปล่าให้จิบฟรีด้วยนะ

สุดท้ายก็นั่งรถตู้กลับมาที่สถานีบัสนูมาสึเหนือเหมือนเดิมที่เวลาประมาณ 21:30 น. เสร็จแล้วก็เกิดหิวขึ้นมา.. และได้รับคำแนะนำจากเอสจัง (@Schanhime) ว่าไปกินหม้อไฟรูบี้ๆๆ สิ ก็งง ว่าหม้อไฟรูบี้คืออะไร แต่พอได้พิกัดก็ลองไปดู เนื่องจากเป็นร้านอาหารดีๆ ที่ปิดตีสอง แหม่ ไหนลองหน่อยซิ อยู่ย่านเหนือ เลยจากสถานีไปทางทิศตะวันออกนิดหน่อย

ดูมีห้างใหญ่ๆ ที่ยังเปิดด้วยหรอเนี่ย


ร้านหม้อไฟรูบี้

ร้านหม้อไฟรูบี้

พอมาถึงที่นี่เลยได้รู้ว่าร้านนี้ชื่อ อากะคาระ (Akakara, 赤から) เป็นร้านหม้อไฟเผ็ดแบบไม่ใช่บุฟเฟต์ มีความเป็นญี่ปุ่นสูง แต่ก็ดันมีเมนูภาษาอังกฤษทั้งที่อยู่ในเมืองที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวนะเนี่ย

โดยลักษณะการสั่งหม้อไฟจะเป็นสไตล์ว่า 1 คนราคา 990 เยน ถ้ามาสองคนหม้อเดียว ก็จะเป็น 990 x 2 เยน โดยปริมาณเพิ่มขึ้นนั่นเอง ทั้งนี้ด้วยการที่หม้อไฟเผ็ดของที่นี่เลือกความเผ็ดได้ตั้ง 10 ระดับ เลยต้องจัดไปที่ 7 (หรือ 8 นี่หละ) เพื่อให้ชดเชยความที่ชอบกินเผ็ด แต่ตั้งแต่มาญี่ปุ่นก็ไม่มีไรเผ็ดๆ เข้าปากซักหน่อย

เมนูของร้านอากะคาระ (กินเมนูซ้ายสุด)

เมื่อสั่งมาก็ไม่ผิดหวัง ปริมาณดูโอเคเลยทีเดียว กินไปซักพักก็สั่งพวกเนื้อสัตว์มาต้มเพิ่ม ยิ่งกิน ความเข้มข้นเผ็ดของน้ำซุปก็ทวี อร่อยขึ้นเรื่อยๆ เหมาะกับเหล่าผู้คนที่ชื่นชอบรสชาติเผ็ดอย่างยิ่ง

หม้อไฟเผ็ดเต็มอิ่ม

อิ่มอร่อยเสร็จก็ต้องเดินอ้อมโลกข้ามกลับมาเมืองซีกใต้ (กลับโรงแรม) แต่บรรยากาศของเมืองไกลๆ ของญี่ปุ่นนี่รู้สึกปลอดภัยน่าเดินแม้ดึกดื่นมาก จนตอนนี้กินเสร็จก็ 22:50 น. แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าดึกมากอะไรเท่าไรเลย…


ภารกิจตามหาฝาท่อ ภาคไม่หลับไม่นอน

หลังจากกินอิ่มหนำ แวะส่งเมคุงขึ้นห้องพัก แต่ผมยังมีภารกิจอยู่.. นั่นคือตอนนี้ราวๆ 5 ทุ่มแล้ว แต่สด อยากไปถ่ายรูปฝาท่อเลิฟไลฟ์ที่คิดว่าวันรุ่งขึ้นจะไม่เจอแน่นอนอีก 3 ฝาก่อน แต่การจะทำภารกิจนี้มันจำเป็นต้องเดิน เลยพกแค่กล้อง + มือถือ + แบตสำรอง + ไฟส่อง แล้ว.. ลองออกไปเดินตะลุยนูมาสึตอนกำลังจะเที่ยงคืนกัน

โดยตามที่วางแปลนไว้จากแมป เหมือนว่าจะเดินราวๆ 2 กิโลเมตรกว่า ด้วยสปีดของมนุษย์ยังไงไม่น่าจะกลับมาเกินตี 1 ซึ่งสบายมาก

เส้นทางเดินในคืนนี้ ไนท์มาราธอน

ระหว่างทางที่เดินไปดูฝาท่อโยจังก็รู้สึกว่านานจัง แล้วก็หนาวน่าดู แต่ไถมือถือไป เดินริมถนนไปอย่างมืดๆ (พอออกนอกส่วนย่านการค้าก็รู้สึกชัดเจนว่าคนน้อยมาก ไฟข้างถนนก็ไม่ได้เปิดสว่างทั้งหมด) ซักพักก็มาถึงหน้าฝาท่อ ถ่ายรูปอย่างบรรจงแล้วก็ไปสู่จุดหมายต่อไป

อ้อ ไม่แปลกใจเลยที่ฝาท่อโยจังอันนี้จะเคยโดนดราม่าที่ฝาท่อโดนพ่นสีสเปรย์ทับ เพราะมันมืดมากแล้วดึกๆ ก็ปลอดคน เลยทำให้พวกเฮตเตอร์บางกลุ่มที่หัวรุนแรง รู้สึกว่าสามารถมาทำลายทรัพย์สินของเมืองได้

อ้อ ตรงเข้าไปจากฝาท่อก็มีต้นแบบบ้านของโยจัง ที่รูปร่างภายนอกไม่เหมือนกันเท่าไร ต้องบอกว่าเป็นตำแหน่งเดียวกันจะเข้าใจง่ายกว่า ในโลกจริงบ้านของโยจังเป็นร้านแฮมเบิร์ก โอรันดะคัง (Orandakan, 欧蘭陀館)ที่ได้รับการกล่าวขานมาว่าอร่อยมาก เสียดายที่ไม่ได้เปิด 24 ชม. จะได้แวะทานซักหน่อย

ทีนี้ก็ค่อยๆ เดินไปที่ สวนเซมบงฮามะ (増誉上人の像) ที่เป็น..สวนสาธารณะ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหายากไหม แต่ก็ลองเชื่อในกูเกิ้ลแมปแล้วเดินตามดู ระหว่างทางก็พบว่าแหงนหน้าแล้วเห็นทางช้างเผือกจางๆ ได้เลย (ตกใจหน่อยๆ) และก็พบว่าเดินไม่นานนักก็ไปถึงได้ในที่สุด แต่มันแบบมืดมากเลยครับ น่ากลัวนิดๆ ดูตามภาพได้

ไม่ธรรมดา มืดตื๋อ

ก็ลองเดินเข้าไปหาฝาท่อ หาอยู่นานมาก คือในที่จริงมันมืดใช้ได้เลยต้องเอาไฟส่องหาอยู่นานจนเกือบถอดใจ….จริงๆ ถ้าชาวบ้านแถวนั้นเห็นคนต่างชาติมาโบกไฟส่องก็อาจจะโดนแจ้งตำรวจก็ได้นะ

แต่ไม่นานเกินรอ ในที่สุดก็พบกับฝาท่อไดยะจังที่แฝงตัวอยู่กับธรรมชาติอย่างดี

ไดยะจัง!

เดินมาจนจุดไกลสุดแบบนี้ขากลับก็เป็นเรื่องง่ายแล้วครับ ระหว่างทางก็เหนื่อยเล็กน้อย เหงื่อออกนิดหน่อย แต่พอกลับมาถึงใกล้ที่พักก็สบายใจละ แต่โอ๊ะ เกือบลืมไปว่าแถวโรงแรมที่พักมีฝาท่อโยชิโกะ+อพาร์ทเมนต์ที่เป็นต้นแบบบ้านของโยชิโกะจัง ให้ได้แวะถ่ายรูปกันเป็นอันจบมิชชั่นในคืนนี้

จริงๆ เดินยามดึกที่ญี่ปุ่นนี้รู้สึกปลอดภัยใช้ได้ แต่ถ้ามีเวลาเที่ยวมากกว่าผม มาตอนปกติจะดีกว่าครับจะได้ไม่เป็นที่น่าสงสัยของชาวเมือง

ว่าแต่ทำไมคอมบินิในนูมาสึนี่มันน้อยขนาดนี้.. นึกว่าจะมีเยอะ ขากลับต้องเดินไกลกว่าจะเจอ


เช้าที่ฝนตก แต่ก็สดใส กับการเดินเล่นในเขตท่าเรือ

หลังจากผ่านคืนแรกอันดึกดื่น ก็มาเช้าอีกวันที่ฝนตกอย่างสดชื่นครับ (?) แต่ไม่ได้เตรียมตัวพกร่มมา เลยต้องเดินไปซื้อร่งซื้อร่มกันที่เซเว่นที่ไม่ได้ใกล้ๆ กันก่อน แล้วก็พบว่ามีร้านที่มีตราปั๊มบางร้านเปิดบ้างแล้ว เช่น ร้านเครื่องเขียนที่อยู่ตรงข้ามโรงแรม ก็เลยแวะปั๊มตรากันเป็นพิธีพอสนุกสนาน

อ้อ ที่โรงแรมไม่ได้มีข้าวเช้าให้ด้วย เลยต้องออกไปหาอะไรกินกันที่แถวเขตท่าเรือกัน


มีศาลเจ้าแถวโรงแรมด้วย

จริงๆ มีคำบอกเล่าว่าจะไปท่าเรือเดินไปก็ได้ แต่ว่าฝนมันตกก็ใช่ที่ เลยกดกูเกิ้ลเพื่อดูว่าจะไปท่าเรืออย่างไร พบว่ารอแถวป้ายรถเมล์หน้าโรงแรมเอาก็ได้ เสียดายก็แค่ไม่ได้ขึ้นรถเมล์ลาย Aqours ที่วิ่งไปวิ่งมาในเขตเมืองนูมาสึแค่นั้นเอง (ขำ)

นั่งรถไปแค่ราวๆ 15 นาทีก็ถึงท่าเรือแล้วอย่างรวดเร็ว พบว่าร้านยังไม่ค่อยเปิดเท่าไรเลย แต่ว่าก็ค่อนข้างสนุกได้เพราะว่าเพิ่งเคยมาเมืองที่มีบรรยากาศท่าเรือ..  (ไม่สิ ท่าเรือเลยนี่หว่า) แบบนี้ในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก เลยเดินเล่นสำรวจโน่นนี่เล็กน้อยพอสนุก แต่ยังไม่เดินมากเพราะว่าหิว

สมเป็นท่าเรือ มีทางให้เตรียมหนีคลื่นสึนามิด้วย


เดินเล่นเข้าไปย่านตลาดข้างๆ

และก็มาถึงจุดมุ่งหมายแรก ร้านอาหาร แฮมเบอร์เกอร์แอนด์คาเฟนูมาสึเบอร์เกอร์ (HAMBURGER & CAFE 沼津バーガー) ที่เคยโผล่ในอนิเมของ LL!SS!! และขึ้นชื่อในบริเวณนี้เพราะมีเมนูที่ออริจินอลประจำร้านมากมาย จึงเข้าไปอย่างไม่ลังเลพร้อมสั่งเซตเบอร์เกอร์ปลาน้ำลึก.. ใช่ ทำจากปลาน้ำลึกครับ เหตุเพราะท่าเรือแห่งนี้อยู่ติดกับอ่าวสุรุกะ (Suruga Bay) ที่มีความลึกมากถึง 2,500 เมตร จะจับปลาน้ำลึกได้ก็ไม่แปลกอะไร และนั่นคือที่มาของเมนูนี้

เบอร์เกอร์ปลาน้ำลึก!

สำหรับรสชาติ ก็จัดได้ว่าแปลกๆ แต่อร่อยครับ อีกอย่างคือพอมาค้นทีหลัง ปลาน้ำลึกนี่ก็ไม่ได้หน้าตาน่ากลัวอะไรมาก ทานได้อย่างสบายใจ

นอกจากเบอร์เกอร์ปลาน้ำลึกก็ยังมีของแปลกๆ แบบเบอร์เกอร์ปลาฉลาม ให้ได้ลอง และยังมีเมนูที่คอลาโบกับ LL!SS!! อย่างหมึกทอดรสเผ็ดของโยฮาเนะ (ชื่อแบบนี้ไหมไม่รู้ จำไม่ได้) ให้ได้กินกัน ที่สำคัญที่สุดคือร้านนี้ สาวๆ เซย์ยู จาก Aqours ก็แวะเวียนมาทานแล้วด้วย มีรูปแปะโชว์กันจะจะเลย แถมยังมีการประดับตกแต่งร้านแบบติ่งให้เยอะพรึบพรึ่บ

โต๊ะนี้เลยๆ


หลังจากอิ่มท้องยามเช้า แต่ฝนยังพรำๆ เลยขอแยกกับเมคุงซักแปป แล้วไปเที่ยว พิพิธภัณฑ์ทะเลลึกนูมาสึ (Numazu Deep Sea Aquarium, 沼津港深海水族館) ที่อยู่ติดกับร้านเบอร์เกอร์ซักหน่อย ที่แห่งนี้เป็นหนึ่งใน 3 แห่งของอควาเรียมในนูมาสึเลยนะ (ใช่แล้ว เป็นเมืองที่มีอควาเรียมถึง 3 แห่งในที่เดียว) โดยที่นี้จะมีจุดเด่นตรงมีซากปลาซีลาแคนท์ (Coelacanth) ให้ดูด้วยนะ ตื่นเต้นเลยทีเดียว เสียค่าเข้ากันที่ 1,600 เยนก็จะสามารถไปสนุกกับปลาได้แล้ว

พิพิธภัณฑ์ทะเลลึกนูมาสึ

ในอควาเรียมนี้จัดว่าเป็นอควาเรียมที่เน้นแสดงสิ่งมีชีวิตที่จับได้จากอ่าวสุรุกะนี่หละ แต่เน้นไปที่สิ่งมีชีวิตจากห้วงทะเลลึกมากกว่า (เขาเคลมว่าเป็นแห่งแรกในโลกที่เป็นพิพิธภัณฑ์ทะเลลึกเลยด้วยครับ โดยระดมทุนกันจากในท้องถิ่นเพื่อให้เป็นความภาคภูมิใจของพื้นที่แถบนี้)

ในชั้นแรกจะเน้นเกี่ยวกับพวกปลาและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อาศัยอยู่แถวจุดลึกสุดของอ่าวสุรุกะ (หาดูยากระดับโลก) และยังรวมไปถึงมีตัวแปลกๆ ที่น่าสนใจแบบ เห็บทะเลยักษ์ (Giant Isopod…) ปูแมงมุมยักษ์ หรือปลาหมึกที่น่ารักที่สุดในโลก ไอดอลแห่งท้องทะเล! Flapjack octopus ที่จะเจอในความลึก 200m เป็นต้นไปด้วยนะ (น่ารักจริงๆ เสียดายที่ถ่ายรูปไม่ได้)


ปูก็มี

สำหรับชั้นสองจะเป็นเรื่องราวของเจ้าปลาซีลาแคนท์ ปลาที่จัดว่าเป็นฟอสซิลมีชีวิตชนิดหนึ่งของโลกโดยสายพันธ์ของมันมีมาตั้งแต่ 66 ล้านปีก่อนเลยทีเดียว ให้ดูกันเต็มๆ ทั้งชั้น ตั้งแต่เรื่องราวของเจ้าปลา ภูมิศาสตร์โลก ฯลฯ และที่เด็ดที่สุดคือมีปลาซีลาแคนท์สตัฟให้ดู 3 ตัว และมีแบบที่แช่แข็งให้ดูกันถึง 2 ตัวเลยทีเดียว (ในเชิงเทคนิค ตัวที่แช่แข็งก็คือยังมีอวัยวะภายในครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่เหมือนตัวสตัฟ) และตามที่แจ้งจากป้ายให้ข้อมูลก็คือเจ้าซีลาแคนท์พวกนี้น่าจะเคยจับได้ที่แถบนี้นี่หละครับ

ซีลาแคนท์แช่แข็ง พระเอกของที่นี่


นอกจากนั้นยังมีโซนแสดงสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลขนาดลึกในแผ่นใสให้ความรู้และอื่นๆ อย่างโซนดูแพลงตอนเรืองแสง อะไรแบบนี้ด้วย ค่อนข้างจัดว่าเป็นอควาเรียมที่สนุกมากเลยทีเดียว ชอบมากๆ

และอย่าลืมที่จะซื้อของที่ระลึกที่หาได้แค่ที่นี่แบบตุ๊กตาปลาและหมึกทะเลลึกติดกลับบ้านกันไปด้วยหละ

น่ารักมั่กๆ

ที่สำคัญกว่าตุ๊กตาก็คือแถวนั้นมีร้านพุดดิ้งอร่อยๆ แบบ นูมาสึพุดดิ้งสตูดิโอ (Numazu Pudding Studio) ที่มีเมนูแบบพุดดิ้งทะเลลึก ที่มีความหวานนุ่มของเนื้อพุดดิ้งกับความสดชื่นของเจลสีฟ้าที่ไม่รู้ว่าคืออะไร ให้ได้ลองกินกัน

ใช้เวลาช่วงเช้ากันแล้วแบบสบายๆ ก็ได้เวลาเดินไปที่ปากน้ำนูมาสึเพื่อไปขึ้นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่เด่นสุดๆ ของเมืองนี้แบบ ประตูน้ำ วิวโอ (VIEW-O, びゅうお) กันด้วย ระหว่างทางเดินเองก็ได้พบว่าร้านรวงก็เริ่มเปิดกันละ โดยมากก็ขายของทะเลทั้งสดแห้ง ดูเหมือนปลาแห้งจะฮิตแบบสุดๆ ขายกันหลายร้านมาก แต่อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคนน้อยขนาดนี้ แล้วที่นี่จะอยู่รอดได้จริงๆ หรอครับเนี่ย ทั้งที่มีร้านเค้กกับร้านอาหารเม็กซิโกที่ดูไม่เข้ากับบรรยากาศแถวนี้มาเปิดตัวอย่างหน้าตาเฉยแบบงงๆ (ให้ได้เดินไปปั๊มสแตมป์กัน)

เดินเลียบชายฝั่งปากน้ำไปซักพักแบบตั้งใจเดินอ้อม ซักพักก็ถึงประตูน้ำวิวโอ ได้เจอกับคุณลุงพนักงานที่อัธยาศัยดีแถมพูดเหมือนรู้ว่าเรามาตามรอยเลิฟไลฟ์ด้วย (ก็จริง คงเพราะจากสมุดปั๊มตรา) ก็ได้ใบประวัติศาสตร์วิวโอมาแผ่นนึงถึงได้รู้ว่า ถูกสร้างมาเพราะเหตุการณ์ที่แถวนี้เคยโดนคลื่นทสึนามิถล่มนั่นเอง

วิวโอ จากทางด้านซ้าย

ขึ้นลิฟต์มาถึงข้างบน ถ่ายภาพบรรยากาศแบบตามรอยอนิเมเสร็จก็ได้พบว่าที่นี่นั้นเห็นภูเขาไฟฟูจิค่อนข้างชัดและสวยงามมากเลยทีเดียว วันนี้ฟ้าหม่น แต่ว่าก็พอจะตั้งขาตั้งกล้องเพื่อรอถ่ายรูปฟูจิสวยได้ซักรูป แม้จะไม่เห็นปลายยอดเขาเต็มนักก็จัดว่าคุ้มค่าแล้วที่รอ วิวบนนี้สวย คนน้อย สงบมีความสุขมาก

ฟูจิกับเหยี่ยวทะเล


เสียดายที่มีเมฆปกคลุมยอดเขาที่รอเท่าไรก็ไม่ไป


มุมนี้ต้องมีมาริด้วยนะ


หลังจากรอจนได้รูปสวยประจำทริปมาถึงสองรูป ก็หิวข้าวเที่ยงจนไส้กิ่วเพราะบ่ายสองซะแล้ว และดีที่แถวนั้นมีมอลล์เล็กๆ รวมร้านอาหารจากชุมชนในชื่อ นูมาสึมินาโตะชินเซนคัง (Numazu Minato Shinsenkan, 沼津みなと新鮮館内) ให้ได้แวะกินข้าวกัน ข้างในนี้หลายร้านก็มีประดับตกแต่งด้วยของจาก LL!SS!! เต็มไปหมด สแตมป์แรลลี่เองก็หลายร้านด้วย แต่ที่สำคัญก็คืออาหารก็อร่อยทั้งนั้น จะข้าวปลาดิบ ชาเขียว หรือน้ำส้ม ก็จัดว่าเป็นของอร่อยชั้นหนึ่งที่มีคุณค่ามีราคาทั้งนั้นเลย มาแวะกินข้าวที่นี่กันก่อนจะกลับเข้าตัวเมืองก่อนจะเย็น ก็นับได้ว่าสนุกใช้ได้เลย

เป็นศูนย์รวมร้านที่น่าเดินพอตัวเลย


ร้านข้าวอย่างติ่งเลย


ชาเขียว ของขึ้นชื่อในชิสึโอกะ

จุดที่นับว่าท้องถิ่นบ้านนอกแบบนี้ทำได้ดี และไม่รู้ว่าทำได้ยังไง ก็คือการรวมตัวของชุมชนที่มาทำร้านกันเป็นปึกแผ่น และไม่ได้ทำแบบขอไปที มีคุณภาพ การนำเสนอ การคิดแบรนด์ต่างๆ ครบถ้วน ตั้งเป้าหมายที่ส่งออกนอกเขตกันได้ทั้งนั้น ที่เขาแซวกันว่าหลักการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์มีต้นแบบจากญี่ปุ่นนี่สามารถมาดูต้นแบบจากเมืองนี้ได้เลย

แล้วก็ได้เวลาเดินตามหาฝาท่อของเหล่า Aqours กันก่อนจะรอรถบัสกลับโดยแถววิวโอนี้มีฝาท่อของรูบี้จังแบบไม่มีสี ซ่อนอยู่หละ (แถวป้ายรถบัสที่นั่งไป-กลับนี่เอง)

ฝนเพิ่งตกก็จะเปียกๆ หน่อย

สุดท้ายก็กลับมาถึงตัวเมืองนูมาสึซีกใต้ในเวลาบ่ายราวๆ 15:30 น. เอง เลยได้ไล่เก็บร้านที่ยังไม่ได้เดินไปชมตอนฝนตกช่วงเช้า แบบร้าน ดอลล์เฮาส์KIMURA (ドールハウスKIMURA) ร้านของจำลองชั้นสูงที่เคยปรากฎใน PV หลายอันของ Aqours และมีสินค้าแบบฟิกเกอร์ของทั้ง 9 สาวใน HAPPY PARTY TRAIN วางขายด้วย

ร้านดอลล์เฮาส์


สินค้าดังกล่าว


จากนั้นก็ไล่เก็บฝาท่อในเขตเมืองซีกใต้ที่เหลือ ก็เลยได้พบว่าฝาท่อบางคนเช่นของเด็กๆ ปี 1 เป็นสีด้วย เพราะว่ามีแคมเปญทำฝาท่อแบบสีสลับกันมาวางทีละ 3 ท่อในเขตที่สามารถสอดส่องดูแลกันได้ง่ายด้วย


สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดคือต้องไม่ลืมแวะที่ร้านเกมเมอร์ส (GAMERS) สาขานูมาสึที่มี ทสึชิมะ โยชิโกะ เป็นอิมเมจเกิร์ลประจำร้าน ก็ค่อนข้างแปลกใจที่ร้านเล็กนิดเดียว แต่ก็มีไรครบเครื่องอยู่นะ (ฮา) ป้ายร้านเองก็พิเศษกว่าสาขาอื่นที่เคยไปเที่ยว แต่ต้องนับได้ว่าเมืองเล็กแบบนี้ก็มีอะไรที่ครบเครื่องไปหมดซะจริงๆ ร้านขายสินค้าอนิเมก็มี! แถมไม่ได้มีแค่เกมเมอร์ส แต่ว่าอนิเมท (Animate) ด้วยนา

ป้ายที่แตกต่างกับสาขาอื่นมาก


และเวลาประมาณ 16:30 น. พวกเราก็ได้เวลานั่งรถไฟเพื่อกลับสู่โตเกียวกันครับ จัดได้ว่าเป็นเวลาเกือบหนึ่งวันในนูมาสึที่สนุกมากเลยทีเดียว ขอบคุณสำหรับเมืองเล็กๆ ที่มีอะไรให้เที่ยวได้สนุกกันขนาดนี้ด้วย

กลับแบบฝนตกนิดหน่อย สนุกมาก


แวะมาตามรอยที่จุดต่อของความทรงจำกันหน่อย

อันนี้จริงๆ ไม่ได้เรียกแวะแต่เรียกวางแผนไว้ด้วยด้วยครับ คือเส้นทางรถไฟระหว่างนูมาสึ กลับโตเกียว จะผ่าน สถานีเนบุคาว่า (Nebukawa Ststion) ที่เป็นหนึ่งในจุดตามรอยที่แฟนซีรีส์ LL! ต้องอยากมาซักครั้ง เพราะว่าเป็นทั้งจุดที่วง μ’s ตัดสินใจมาแยกวงไม่ไปต่อกันที่ริมทะเลแถวสถานีแห่งนี้ และเป็นจุดที่วง Aqours แวะมาดูทะเลหลังจากค้นพบว่าแนวทางของวงควรเป็นอย่างไรกันแน่

เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่สำคัญจริงๆ เต็มไปด้วยความรู้สึก

สถานีเนบุคาว่า


มุมนี้ต้องออกไปนอกสถานี


แถวนี้จะมีจุดที่ขนนกร่วงลงมาด้วยนะ (?)


ตัวสถานีแห่งนี้เก่าและเล็กมาก แวะเดินออกมาถ่ายรูปก็ไม่มีเครื่องตื๊ดบัตรก่อนเข้าด้วย.. เลยได้ลองถ่ายรูปไปมาระหว่างรอรถไฟขบวนต่อไป ก็ ครับ ถ่ายรูปไปก็เต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ถาโถม ทั้งดีใจและเหงาหน่อยๆ ในเวลาเดียวกันเลยนะ

แต่ก็อยากให้มีโอกาสได้มากันนะ

ตรงนี้เหมือนในอนิเมะเลย คิดถึงจัง

หมายเหตุ : แม้จะมาตามรอยกันในที่นี้ แต่ฉากชายหาดที่มักจะมาคู่กับการมานั่งรถไฟในสถานีนี้ ถูกอ้างอิงมาจาก สถานีโคซุ (Kozu Station, 国府津駅) ที่อยู่ห่างไป 1 สถานีครับ (ดูแผนที่อ้างอิงประกอบได้ในลิงค์นี้)


ปิดท้ายเรื่องราวกับ 24 ชม.ที่ผ่านมา

มีหลายอย่างที่สนุกมากในการมาเที่ยวนูมาสึ 1 คืนสั้นๆ มากครับ พอถามเมคุงที่ไม่ได้ติ่ง LL!SS!! ว่าเป็นอย่างไรบ้างก็เห็นว่าสนุกดี ฉะนั้นแม้จะไม่ได้เป็นแฟนของเรื่องนี้ก็มาเที่ยวนูมาสึกันเถอะ!!? มีอาหารอร่อยประจำถิ่น วิวสวย วัฒนธรรมแบบชาวบ้านให้ได้ดูกัน และถ้ายิ่งมีเวลาดับเบิ้ลไปอีกแบบซัก 2 คืน 3 คืน ความสนุกก็จะทวีคูณได้อีกนะ

คราวหน้าก็อยากจะลองเขียนเกี่ยวกับการไปเที่ยวในเขตที่ไกลกว่านี้ของนูมาสึอย่างอุจิอุระและอาวาชิมะด้วย ถ้ามีโอกาสมาตามอ่านกันต่อนะ ขอบคุณครับ

นปโปะปังรสทีรามิสุ

ปิดท้ายด้วยขนมปังที่อร่อยแบบเบสิคๆ แบบนปโปะปัง ของดีนูมาสึกัน อ้อ สุดท้ายของท้ายสุดต้องเป็นแมปแผนที่สำหรับตามรอยฝาท่อที่เป็นเมนคอร์สของบทความนี้


คอมเมนต์กัน!