เข้าโตเกียวกันซักที (?) จริงๆแล้วการเข้าโตเกียวในทริปนี้จะเรียกว่าของแถมที่ชิ้นใหญ่ของทริปก็คงไม่แปลกนัก เพราะว่าพวกเราเคยมาโตเกียวกันหลายวันมากเมื่อทริปก่อนแล้ว แต่ก็ยังโอเคและรู้สึกดีที่จะได้มาอีกนั่นหละ แต่แน่นอนว่าแต่ละวาระย่อมมีแต่ละเรื่องราว โตเกียวในคราวนี้อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกก็เป็นได้
สารบัญ: ญี่ปุ่นไปดูไลฟ์
คลิกเพื่อดูสารบัญบทความ
ญี่ปุ่นไปดูไลฟ์
ตื่นสายที่โตเกียวอีกครั้งพร้อมสายฝนที่โปรยปรายที่อุเอโนะ
จากที่เมื่อวานเป็นทริปเดินทางกันยาวนานแบบถึกๆ และการย้ายที่พักแบบเหนื่อยๆ พวกเราทั้งสามคนเลยขอตื่นสายกันซักหน่อยสำหรับวันนี้ (แต่ด้วยความชินก็ได้แค่ราวๆแปดโมงเช้า ฮา) และหลังจากเข้าโตเกียวแล้ว.. ก็ได้เวลาที่จะเอาบัตรเติมเงินพาสโมเก็บไปก่อน เนื่องจากพวกเราจะใช้บัตรเหมารถไฟฟ้าใต้ดินหรือ “โตเกียวเมโทร” แบบ 72 ชม.กัน~ สนนราคาที่ 1,500 เยน ที่ซื้อมาตั้งแต่แลนดิ้งที่นาริตะนั่นหละ จริงๆบัตรนี้ซื้อจากตู้ก็ได้เช่นกัน แต่ว่าราคาจะไม่สุดคุ้มระดับนี้ เพราะเป็นราคาที่เอาไว้สำหรับสนับสนุนการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติโดยเฉพาะเลย
อ้อ ที่น่ารู้คือการใช้บัตรเหมาของรถไฟฟ้าใต้ดินนี้เปลี่ยนจากการนับเป็นวัน (1, 2 และ 3 วัน) กลายเป็นการนับจากช่วงเวลาแรกที่เริ่มใช้งานเป็นชั่วโมง (24, 48 และ 72 ชม.) แล้ว ฉะนั้นถ้าวางแผนดีๆ..อาจจะใช้ได้ถึง 4 วันก็ได้นะ?!
อา ไม่ลืมที่จะเริ่มต้นวันด้วยการกินไอศครีมกูลิโกะที่ตอนนั้นหากินในไทยย๊ากยาก เพราะกำลังฮิตในระดับโดนเหมาด้วย- แม้ว่าอากาศวันนี้จะไม่หนาวจนกินไอติมได้สบาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเดินมาโดยไม่ใส่เสื้อกันหนาวใดๆได้หละนะ กันไว้ดีกว่าแก้
จุดมุ่งหมายแรกของเราคือการไปที่ย่าน อุเอโนะ (Ueno, 上野) เพื่อไปเดินเล่นที่ ตลาดอาเมโยโกะ (Ameyokocho, アメ横丁) สถานที่ยอดฮิตของชาวไทยที่มักจะนิยมมาซื้อรองเท้า ของกิน ของจุกจิก ของฝาก และกินอาหาร แต่ในคราวนี้ที่พวกเรามาเพราะว่าอยากจะไปทำเสื้อยืดคัสตอมฯ เลียนแบบแก๊งมิลกี้โฮล์มสที่เคยทำในรายการวาไรตี้ของพวกนาง มิรุมิรุมิลกี้ (みるみるミルキィ)
การเดินทางจากแถวที่พักของพวกเรา สถานีอาวาจิโช มาที่สถานีอุเอโนะนั้น.. ดูจากแผนที่แล้วใกล้มาก แต่ว่าต้องต่อรถไฟถึง 2 ต่อ.. ขึ้นๆลงๆ ลมก็พัดแรงพอสมควร เมื่อขึ้นมาที่ตัวย่านการค้าก็ได้พบว่าต้องเดินฝ่าฝนเสียแล้ว ก็เดินตรงไปที่ตลาดอาเมโยโกะกันอย่างง่ายๆเพราะมีป้ายบอกทางที่ชัดเจนสุดๆ
การเดินฝ่าฝนในญี่ปุ่นออกจากไม่ยากมากนักถ้าเป็นฝนแค่ระดับการเปลี่ยนฤดูกาลแบบที่พวกเราเจอ แค่โปรยเบาๆ พอจะเดินฝ่าได้โดยใช้พลังใจเล็กๆ โชคดีที่เสื้อกันฝนที่ข้าพเจ้ายืมมาจากแพตตี้มีฮูดด้วย ทำให้กันฝนได้และสองมือยังว่างสำหรับถ่ายรูปได้อยู่ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าถ้าอยากเดินเล่นถ่ายรูปให้สนุกก็ควรจะมีไอเท็มพวกนี้
- เสื้อกันหนาว/กันฝน แบบผ้าพลาสติกมีฮูด
- กล้องและเลนส์ที่กันฝนได้
- กระเป๋าที่กันฝนได้เช่นกัน
ถ้าคราวหน้าได้มาเที่ยวญี่ปุ่นอีกในช่วงหนาวๆ จะไม่ลืมซื้อเสื้อกันฝนแน่นอนครับ~ อ้อ ในการที่ฝนตก เป็นวันธรรมดา และยังเช้าอยู่แบบนี้นับว่าคนในตลาดน้อยมากๆ ภาพลักษณ์ของที่ท่องเที่ยวคนแน่นที่เคยประสบมาจากสองครั้งก่อนนั้นหายไปเลยทีเดียว
และสำหรับจุดหมายของเราในเช้านี้ก็คือ ร้านทำเสื้อ มายที แฟคตอรี่ (myT factory, マイティーファクトリー) ที่อยู่ในตลาดอาเมโยโกะปลายๆตลาดแถวๆโยโดบาชิคาเมร่าสาขาอุเอโนะ หน้าร้านโดดเด่นหาไม่ยากนัก
ทีนี้ตอนแรกเกือบจะสงสัยว่าเราจะบอกเค้าอย่างไรว่าเอาลายที่พวกมิลกี้โฮล์มสซังใส่กัน แต่ว่าไม่ยากนัก ทางร้านทำเป็นป้ายประกอบพร้อมรูปภาพให้พวกเราชี้เลือกกันได้อย่างสบาย แต่ละไซส์ก็ต่างราคากันด้วยนะ ขอให้เค้าเอาหลายๆไซส์มาดูก่อนได้ว่าจะเลือกซื้อไซส์ไหนกัน
ร้านนี้นอกจากจะรับทำลายเสื้อยืดตามที่มีให้อยู่แล้ว (แบบที่เราไปเลือกลายมิลกี้นี่หละ) ก็ยังมีให้คัสตอมลายเสื้อตามใจคุณได้ด้วยนะ ใครมีแบบดีๆถูกใจก็ลองไปใช้บริการกันได้ (แต่ร้านแบบนี้ในไทยก็น่าจะมีหละมั้ง) ตรงนี้โดนกันไปคนละ 3,000 เยน
นอกจากจะไปทำเสื้อกันคนละตัวแล้ว (สีเหลืองของโซระกับสีฟ้าของคิตตะซัง) ก็เดินเล่นตลาดกันเล็กๆน้อยๆ แต่ฝนตกทำให้ร้านรวงแทบจะลดลงไปถึง 50% พวกแผงลอยก็ไม่ออกมาตั้งกันด้วยหละ แต่ทั้งนี้ก็ยังโชคดีที่ร้านอาหารตุรกีเคบับที่ตั้งใจจะมากินกันยังคงเปิดขายอยู่ ร้านนี้เองก็มาตามรอยเหมือนร้านเสื้อข้างบนนั่นหละ (หัวเราะ)
แต่ทั้งนี้ก็อดปฎิเสธไม่ได้จริงๆว่าสายฝนที่โปรยปรายทำให้การเดินเที่ยวตลาดแบบนี้ความสนุกลดลงมาก กลายเป้นความเหนอะหนะแทน (?) ประกอบกับร้านค้าต่างๆที่ทยอยกันปิด พวกเราเลยคิดว่าเดินแถวนี้แค่อีกซักแปปแล้วไปต่อที่อิเคะบุคุโระเพื่อเดินซื้อของติ่งมือสองน่าจะสบายๆกว่า
ก่อนจะไปก็แวะร้านของเล่นแถวๆนั้นซักหน่อย ดูเหมือนร้าน ยามาชิโรยะ (Yamashiroya, ヤマシロヤ) ร้านนี้จะเป็นที่นิยมสำหรับย่านอุเอโนะพอสมควรเลยทีเดียว มีกาจาปองปริมาณมากให้หมุนเล่นหน้าร้านกับข้างในขายสินค้าสารพัดทั้งเก่าใหม่ด้วย แต่ลักษณะของการจัดวางจะมิกซ์แบบผสมปนเปมากๆ ให้ความรู้สึกร้านของเล่นมากกว่าร้านสินค้าอนิเมตรงๆ
เดินเล่นต่อที่อิเคะบุคุโระแล้วไปกินมื้อเย็นหรูๆ (?)
ตามที่เกริ่นไปว่าใช้บัตรฟรี ฉะนั้นรูทการเดินทางจากอุเอโนะไปอิเคะบุคุโระ (ต่อไปขอพิมพ์ย่อแค่อิเคะฯละกัน) เลยซับซ้อนมากกว่าที่จะนั่งสายยามาโนเตะที่วนรอบเดียวถึง (..ทัวร์งบน้อยต้องทำใจ) เลยเลือกที่จะไปต่อรถใต้ดินซัก 2 สถานีเอาแทน ใช้เวลาไม่นานก็ถึงย่านอิเคะฯ ที่พวกเราเคยพักกันยาวๆจากทริปปีที่แล้ว ก็ยังได้พบกับสภาพเดิมๆคือยังมีฝนโปรยปรายบ้าง แต่ว่าด้วยลักษณะของย่านที่เป็นตึกสูงๆ ทำให้ฝนเทลงมาเบาๆลง สามารถเดินได้อย่างสบายใจ กางร่มบ้างไม่กางบ้างสลับไป
ไปไหนกันบ้างที่อิเคะฯ? อาจจะไม่น่าเชื่อแต่ถ้ามากับเหล่าเพื่อนที่ชอบอนิเมชั่นและสินค้าติ่งๆ การมาหาสินค้ามือหนึ่งและมือสองที่มีให้เลือกสรรเยอะเกินว่าที่คาด กับย่าน โอโตเมะโรด (乙女ロード) (เคยเขียนไว้ใน ลิงค์) และแน่นอนว่ามาคราวนี้ก็ไปแวะโปเกมอนเซนเตอร์ที่ตึกซันไชน์ซิตี้กันด้วย~
จริงๆพวกเรามีคิวที่จะมาย่านนี้กันอีกทีในวันเสาร์ก่อนกลับ เพื่อมาร่วมงาน สคูลเฟสคันฉะไซ (LoveLive! School idol festival the National Convention & ThanksGiving 2016) การมาย่านนี้เลยไม่ค่อยเหลืออะไรให้ถ่ายรูปเท่าไร มาแวะๆคุ้ยของ ซื้อของกันเสียมากกว่า (ฮา)
ย่านอิเคะมีร้านที่ควรแวะมาสรรหาสินค้าอนิเมมือสองก็คือร้านลาชินบังทั้งสองคูหาตรงนี้นี่หละ แล้วก็ร้าน K-Books ข้างๆเองก็มีหลายอย่างที่ราคาดี และไม่ได้มีแต่สินค้าสายยาโอยตามอย่างที่หลายท่านเข้าใจ ‘ ‘ b ตอนนี้งบประมาณที่เอาไว้ช็อปปิ้งที่ประหยัดกันมาหลายวันก็เริ่มได้เวลาใช้งานแล้วหละ
เนื้อหาของการช็อปปิ้งขอข้ามไปเพราะหากมาอ่านในอนาคตอาจจะช้ำใจก็ได้ (?)
ถ้าจำไม่ผิดพวกเราก็กินมื้อเที่ยงกันแถวๆย่านสถานีรถไฟ จริงๆควรเรียกว่าย่านดาวน์ทาวน์อิเคะบุคุโระหละมั้ง? พร้อมเดินสอดส่องร้านรองเท้าทั่วไป ร้านถ้ำเสือโทระโนะอานะ (とらのあな) ร้านอนิเมท ฯลฯ เดินกันแบบเรื่อยเปื่อยแต่ก็มีความสนุกดีตามสไตล์ช็อปในเมืองหลวง เหมือนได้สัมผัสบรรยากาศโตเกียวหลังจากไปบ้านนอกมาซะหลายวัน
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระบบรถไฟใต้ดินในโตเกียว (หละมั้ง)
คงปฎิเสธไม่ได้ว่าหากท่านๆมาลองเยี่ยมเยือนโตเกียวในช่วงปี 2016 เป็นต้นไปจะพบว่าเกือบทุกสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินจะมีการปรับปรุงครั้งใหญ่พอสมควร ซึ่งพอลองไปค้นดูก็ได้พบว่าเป็นการปรับปรุงเพื่อรองรับกีฬาโอลิมปิกในปี 2020 ที่จะจัดขึ้นที่กรุงโตเกียวนี้เอง
แต่การปิดปรับปรุงของระบบใต้ดินในโตเกียวเป็นแค่การซ่อมบำรุงในช่วงดึกๆหรือว่าบางส่วนเท่านั้น ประชาชนเองยังสามารถใช้ได้ตามปกติ แค่ว่าอาจจะต้องสอดส่องทางเดินหรือประตูขึ้นมากกว่าเดิมซักเล็กน้อยด้วยนั่นเอง
ที่จู่ๆเขียนเรื่องนี้เป็นหัวข้อแทรกเข้ามาเพราะเจอบ่อยตอนช่วงที่ไป.. เลยอยากบันทึกไว้เผื่อจะได้นึกถึงเมื่อมาย้อนอ่านในอนาคต ประมาณนั้น
สำหรับทริปในวันนี้ของพวกเรานั้นยังคงไม่จบเพราะว่าช่วงเย็นๆ พวกเรามีนัดทานข้าวกับคุณอา (ไม่แน่ใจว่าจำผิดไหม ขออภัยด้วยครับ) ของแพตตี้ ที่มาทัวร์ญี่ปุ่นในช่วงนี้พอดี และสถานที่นัดก็คือ.. อุเอโนะ ใช่แล้ว ย่านเดียวกับที่พวกเราไปตอนเช้านั่นหละ ฉะนั้นตามตารางเที่ยวเดิมของพวกเราที่กะจะไปแช่ออนเซนที่โอไดบะก็เลื่อนออกไปก่อน~ แต่การเลื่อนในครั้งนี้เหมือนจะทำให้พวกเราได้รับประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดาในวันต่อๆไป ขอให้ลองติดตามอ่านไปเรื่อยๆ
ยามดึกและมื้อดึกที่ตลาดอาเมโยโกะอีกครั้ง
แถวๆอุเอโนะยามเย็นค่อนไปทางดึกจัดว่าน่าตกใจดีทีเดียวที่มีเสน่ห์มากกว่าที่คิดมาก ตลาดที่มีการเปิดร้านมากมายกว่าช่วงเช้าที่ฝนตกหนักรู้สึกมีสีสันมากกว่า ประกอบกับช่วงเย็นแบบนี้เหล่าพนักงานออฟฟิศก็เลิกงานและมาหาอะไรกินกันทั่วไปด้วยย่อมทำให้บรรยากาศที่เงียบเหงากลายเป็นคับคั่งเลยทีเดียว
มาก่อนเวลานัด (19:00 น.) พอประมาณ เลยไปเดินเล่นยามาชิโรยะฝั่งตรงข้ามได้อีกแปปนึง เลยได้พบว่าร้านนี้ก็เดินสนุกดี สินค้าจะไม่ออกแนวอนิเมจ๋าๆแบบย่านอากิบะ แต่จะผสมๆพวกการ์ตูนมหาชนเช่นดรากอนบอล.. อะไรแบบนี้ หรือว่าสินค้าจากหนังฮอลีวูด ฮีโร่มาร์เวล สตาร์วอร์ส บลาๆ
ถึงเวลานัดก็แนะนำตัว.. แล้วก็โดนพาเดินไปหาข้าวเย็นกินกันแถวๆนั้น ร้านที่ไปกันอยู่ที่ตึกอุเอโนะ3153 (Ueno3153) ชั้น 3F ชื่อร้าน ซัทสึมะ อุโอเซน (海鮮料理 薩摩魚鮮, Seafood Izakaya Satsuma Uosen) หาไม่ยากนักเพราะอาคารนี้เองก็อยู่หน้าทางเข้าสวนอุเอโนะ (Ueno Park) อันโด่งดังเลยทีเดียว ตามป้ายไปก็เจอสวนนี้ได้เองจริงๆนะ
ตัวร้านอาหารที่ไปกินกันนี่หรูหรามากเลย (?) เป็นการมาญี่ปุ่นครั้งที่ 3 แต่เป็นครั้งแรกที่ได้กินร้านที่ดูดีขนาดนี้ ตัวร้านเป็นลักษณะร้านเหล้ากินดื่มมีห้องแยกเฉพาะ อาหารเป็นอาหารทะเลต่างๆ จริงๆควรกินกับแอลกอฮอล์สินะถ้ามาร้านนี้ แต่ไม่มีมีใครกินเท่าไรในหมู่พวกเรา (ฮา) เน้นสั่งอาหารหลายๆอย่างมาแชร์กันกิน และดูเหมือนร้านนี้จะเน้นความเป็นญี่ปุ่นแบบสุดโต่งเช่นกัน โชคดีที่คุณอาของแพตตี้ช่วยสั่งให้ ง่ายไปเยอะเลย
รสชาติจัดว่าใช้ได้ แต่ปริมาณต่อจานจัดว่าเยอะทีเดียว พวกข้าวปั้นนี่ปริมาณข้าวไม่ธรรมดา.. เล่นเอาอิ่ม (ไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าดีได้ไหม.. แต่อยากได้ปริมาณเนื้อปลามากกว่าข้าว) ความสดก็โอเคเลย ‘ ‘)/
หลังจากกินมื้อใหญ่จนจุกกันเสร็จและแยกย้ายกับคุณอาแล้ว (ขอบพระคุณมากครับ) ก็เดินเล่นตลาดอาเมโยโกะกันต่ออีกซักเล็กน้อย อย่างไรพวกเราก็ไม่น่าจะได้มาที่นี่เป็นครั้งที่ 3 สำหรับทริปนี้แล้ว บรรยากาศยามดึึกนี่เรียกได้ว่าเป็นช่วงปิดตลาดอย่างแท้จริง เงียบๆ สลับไปด้วยบรรยากาศเก็บร้านกัน แต่ก็แปลกที่ดูยังพอมีคนซื้อขายกันอยู่เลย
เดินเล่นกันซักพักก็กลับกันด้วยใต้ดินอุเอโนะมาลงที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินอากิฮาบาระ (ใช้สายฮิบิยะ) โดยที่พักของพวกเรานั้นทำเลเทพมากแบบที่แม้จะลงที่อากิบะก็เดินมาถึงได้ในเวลาประมาณ 10 นาทีแค่นั้นเอง ทำให้ดึกๆนั้นสามารถแวะร้านที่ยังไม่ปิดที่อากิบะได้มากมายไม่ต้องกังวลเรื่องเวลากลับที่พัก
แต่วันนี้ก็เดินช็อปกันที่อิเคะบุคุโระมาเยอะพอควร เลยขอเน้นมายืนถ่ายรูปยามดึกที่อากิบะซักเล็กน้อยก่อนกลับเข้าที่พักละกัน
การเขียนบล็อกสำหรับเที่ยวโตเกียวสำหรับทริปนี้อาจจะยากกว่าเขียนการไปเที่ยวต่างจังหวัดเสียอีกเนื่องจากโดยมากก็ช็อปปิ้งเดินไปมาในร้านขายของอนิเมต่างๆ แต่อย่างไรพวกเราก็อยู่โตเกียวกันอีก 2 วันเต็มๆก่อนจะไปออกเที่ยวต่างจังหวัดกันอีกรอบ แม้จะเป็นวันที่ดูสั้นๆไปนิดแต่ก็สนุกดีทีเดียวกับการเปลี่ยนรสชาติจากบ้านนอกโดยสิ้นเชิงหละนะ~!
ปิดท้ายด้วยการรีวิวของที่สอยมาแบบลวกๆใน 1 ภาพล้อเลียน อนึ่ง ปริมาณเงินที่จ่ายไปไม่ได้มีแค่ในภาพ (พิมพ์เองก็ช็อคเอง)