แม้ซีรีส์จะชื่อว่าญี่ปุ่นไปดูไลฟ์ แต่พวกเราไม่ได้ดูไลฟ์แล้วกลับประเทศไทยกันซักหน่อย นี่ยังแค่ 1 ใน 3 ของทริปเท่านั้นเอง! วันนี้เป็นคิวของการไปเยือนสถานที่แปลกระดับอันซีน สำหรับตอนอื่นๆติดตามอ่านได้ในสารบัญเลยเน้อ
สารบัญ: ญี่ปุ่นไปดูไลฟ์
คลิกเพื่อดูสารบัญบทความ
ญี่ปุ่นไปดูไลฟ์
ไปเที่ยวมินามิโบโซ! – 15 พฤษภาคม 2016
ถ้ายังไม่ลืมกันวันนี้พวกเราจะไม่ได้พักที่จิบะแล้วแต่จะเข้าโตเกียวกัน แต่ทว่าในเมื่อพักที่จิบะแล้วก็อยากจะ.. เที่ยว “ความเป็นจิบะ” บ้าง แต่ว่าเมื่อลองอ่านไกด์แล้วพบว่าจังหวัดจิบะนี้ใหญ่โตใช้ได้เลยทีเดียว ฉะนั้นเลยใช้วิธีเลือกด้วยความติ่ง ง่ายใช่ไหมหละ ฉะนั้นเราจะไปเที่ยวเมืองบ้านเกิดของคุณ โซระ โทคุอิ (徳井 青空) หรือโซระมารุ ที่พวกเราไปดูไลฟ์กันมาเมื่อสองวันที่แล้วนั่นหละ และเมืองบ้านเกิดที่ว่านี้ก็คือเมือง มินามิโบโซ (南房総市) นั่นเอง
มินามิโบโซ เป็นเมืองที่มีลักษณะเป็นแหลมยื่นไปในทะเล (คาบสมุทร) อยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดจิบะ เป็นบ้านนอกที่มีผู้คนแค่ประมาณ 38,000 คน เป็นเมืองที่ยังไม่ได้เน้นการท่องเที่ยวมากนักทำให้อาจได้รับการสัมผัสถึงวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นในต่างจังหวัด (ที่ไม่ไกลโตเกียวนัก) ได้ง่ายในระดับหนึ่ง การเดินทางไปถึงได้ด้วยรถไฟ แต่ในการเดินทางไปจุดที่เป็นคาบสมุทรนั้นจำเป็นต้องนั่งรถบัสแทนอย่างเดียว
ของขึ้นชื่อของมินามิโบโซคือ ดอกไม้, พัด, ผลบิวะ, เนื้อปลาวาฬ และการเล่นเซิร์ฟบอร์ด
อ่านจากข้อมูลก็ดูเป็นเมืองที่เรียบง่ายดี ฟังดูเหมือนจะไปเที่ยวแบบปกติๆใช่ไหมหละ ก็จริงอยู่ แต่ในการเดินทางไปในครั้งนี้นั้นมีจุดประสงค์เพิ่มเติมคือตามรอยแฟนบุ๊ค “โซระมารุโนะฮิกิดาชิ (そらまるのひきだし)” หนังสือรวมภาพและอื่นๆที่เพิ่งออกมาในช่วงนี้ และในนั้นเองก็มีหลายภาพที่ตัวโซระมารุได้มาถ่ายกับสถานที่ต่างๆในเมืองมินามิโบโซ
แค่นี้ก็น่าจะทำให้พวกเรามีแรงบันดาลใจแปลกๆที่จะมาเที่ยวเมืองบ้านนอกแล้วหละ จัดว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยนั่นเอง
การเดินทางที่เริ่มด้วยการหาล็อคเกอร์
พวกเราเช็คเอาท์จากที่พัก (คงเรียกเช็คเอาท์ไม่ได้ ลักษณะของแอร์บีเอ็นบีก็แค่วางกุญแจไว้แล้วเดินออกมานั่นเอง) ตอนเช้าตรู่ตั้งแต่ราวๆ 06:30 น. เลยทีเดียว แต่ว่าถ้ายังไม่ลืมคือพวกเราเป็นนักท่องเที่ยวจากต่างชาติ แน่นอนว่ามาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ มีตั้งแต่ 24 นิ้ว 26 นิ้ว และ 28 นิ้ว (ใหญ่เกือบสุด) ฉะนั้นภารกิจแรกของพวกเราคือต้องเอากระเป๋าไปฝากที่สถานีรถไฟนั่นเอง
โดยเส้นทางในการเดินทางคือจะต้องมาฝากกระเป๋าที่สถานีไฟ JR ซึดานุมะ (Tsudanuma Station) โดยตอนที่มานี่ก็เริ่มรู้สึกว่าชาวซาลารี่แมนทั้งหลายก็เริ่มเดินทางกันแล้วเช่นกัน สถานีจึงมีผู้คนเป็นจำนวนมากเดินไปเดินมาจริงๆ.. และเมื่อลากกระเป๋าขึ้นลงสะพาน ขึ้นลงลิฟท์ ขึ้นลงทางลาดนานๆ ก็มาถึงหน้าสถานี และเจอล็อคเกอร์ แต่ว่า
.
.
ขนาดไม่พอจะใส่กระเป๋าเดินทางไซส์ใหญ่ได้!!
ฉะนั้นจึงต้องทำการเดินกลับไปกลับมาในบริเวณนั้นนั่นหละ ตอนแรกก็ใจหายว่าจะหาที่ฝากกระเป๋าไม่ได้ แต่ว่าจู่ๆก็รู้สึกได้ว่าโชคดี เพราะเจอล็อคเกอร์ที่มีตู้ว่างขนาดใหญ่ให้พวกเราได้ฝากของกันพอดีเลย (แม้ว่าตัวผู้เขียนจะแจ๊คพอตเจอล็อคเกอร์เสียไป 1 ตู้ เสียเงินไป 300 เยนเปล่าๆ)
ฉะนั้นจึงเป็นบทเรียนให้กับพวกเราว่าการเดินทางที่มีลักษณะของการเดินทางเปลี่ยนที่บ่่อยๆนั้น การพกพากระเป๋าเดินทางใบใหญ่อาจจะต้องวางแผนหาสถานที่ฝากกระเป๋าที่แน่นอนกว่านี้ (ไม่ควรใช้ดวงในการหา) หรือจริงๆอาจจะต้องศึกษาวิธีใช้บริการขนส่งของแบบแมวดำขนส่ง (Kuroneko Yamato) อาจจะดีกว่า ไม่ก็เปลี่ยนตัวเองเป็นแบคแพ็คเกอร์ สะพายกระเป๋าใหญ่ใบเดียวไปไหนมาไหนแทน
หลังจากฝากกระเป๋ากันสบายใจก็ซื้อเสบียงกัน เพราะจากที่เช็คตารางเวลาแล้วเราจะต้องเดินทางนานถึง 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว โดยจะเดินทางจากสถานีนี้ด้วยสายอุชิโบะ (Uchibo Line) แวะเปลี่ยนขบวนรถที่สถานีทาเทยามะ (Tateyama Station) จนถึงปลายทางที่สถานีจิคุระ (Chikura Station) กัน
เนื่องด้วยเป็นการเดินทางที่ใช้ระยะเวลานาน (นานระดับที่บนรถไฟมีห้องน้ำให้เข้าเลยทีเดียว) เลยทำให้ต้องนั่งดูวิวสลับกับนอนหลับ ผ่านไปซักพักทิวทัศน์ข้างทางก็แลดูมีความเป็นต่างจังหวัดสูงมาก ทั้งมีไร่นา ป่า เขา และในที่สุดก็ถึงทะเล
แวะเดินผ่านเมืองเล็กไปศาลเจ้าทาคาเบะ
ในที่สุดผ่านการเดินทางที่ยาวนานพวกเราก็มาถึงสถานีจิคุระ (Chikura Station) ถือว่าเป็นการเริ่มต้นในมินามิโบโซตั้งแต่ตรงนี้เนี่ยแหละ จากแปลนของพวกเราจะต้องทำการรอรถบัสของบริษัททาเทยามะนิตโตบัส (館山日東バス) ปลายทางอาวะ-ชิราฮามะ (安房白浜) โดยจะแวะลงที่ระหว่างทางที่ศาลเจ้าทาคาเบะ ที่พวกเราตั้งใจจะไปเยี่ยมเยือนกัน
แต่พอเช็คตารางเดินรถแล้ว พวกเรามาถึงตอนราวๆ 11 โมงเช้า แต่ว่ารถคันต่อไปกว่าจะออกก็ 11:30 น. อีกทั้งระยะทางก็ไม่น่าจะไกลมากจากสถานีนี้ไปยังศาลเจ้าทาคาเบะ พวกเราเลยเปิดไอแพดช่วยนำทาง (อ้อ ตอนนี้ซิมมือถือสำหรับเล่นเน็ตใช้ได้แล้ว มีอิสระมากๆในการเดินทาง) แล้วออกเดินไปพร้อมกับชมเมืองแถวๆนี้ไปด้วยเพื่อซึมซับบรรยากาศ
แถวนี้ดูเต็มไปด้วยร้านค้าที่ดูย้อนยุค (โดยไม่ได้ตั้งใจย้อน) ร้านค้าต่างๆเหมือนจะยังไม่เปิดมากเท่าไร ถ้าตัวเมืองแถวจิบะเมื่อ 3 วันก่อนเรียกว่าคนน้อยแล้วแถวนี้น่าจะเรียกได้ว่าร้างคนเลยด้วยซ้ำ!! ดูมีปริมาณประชากรน้อย ร้านค้าต่างๆก็เลยคนน้อยและดูโล่งๆตามไปด้วย การเดินเล่นแถวนี้ให้ความรู้สึกแปลกๆมาก สนุกดีเหมือนกัน
พอเดินมาก็ได้เจอกับศูนย์ยาคูลท์ (?) เหมือนจะเป็นสำนักงานประจำของสาวยาคูลท์ในบริเวณนั้นนั่นหละ ตอนแรกเจอตู้ขายของอัตโนมัติข้างหน้าด้วยเลยกะจะไปกดยาคูลท์มากิน.. แต่ว่าไม่มียาคูลท์ขายทั้งๆที่เป็นศูนย์ยาคูลท์นี่คืออะไรกัน..
ลืมไปพวกเรายังแทบไม่ได้กินข้าวเช้าเลย ตอนนี้ก็เกิดอาการหิวเลยหามินิมาร์ทแถวๆนั้นและก็พบกับร้าน+โลโก้ที่คุ้นตา ร้านยามาซากิ เหมือนร้านขนมปังที่มักมีตามห้างสรรพสินค้าในไทยเลยนั่นเอง แต่ที่พลิกกว่าคือข้างในมันมีสารพัดตั้งแต่ขนม ผักสด เครื่องเขียน สินค้าไอดอล และขนมปัง
เลยได้ซื้อขนมปัง น้ำ ขนม ต่างๆติดกันมา ผู้เขียนเห็นว่าผลบิวะ (枇杷, ผลไม้คล้ายมะปราง ชื่อภาษาอังกฤษคือผล Loguat ฤดูที่ออกผลคือช่วงเดือน 5) นั้นขึ้นชื่อในจังหวัดจิบะ เลยซื้อเยลลี่มาลองกินซักหน่อย มีความแปลกๆอร่อยดีหววานสดชื่นอยู่เหมือนกัน
ทีนี้หลังจากหาอะไรกินได้แล้วก็ต้องพบว่า.. ไม่สามารถหาถังขยะได้เลยในแถบนี้ เลยต้องถือถุงขยะอาหารทั้งหมดนั้นเดินไปเรื่อยๆ ผ่านชานเมืองชานไร่ ทุ่งนา สุสาน บ้านบน ดงไผ่ ดงโซลาร์เซลล์ เดินเล่นๆผ่านไปตามแต่กูเกิ้ลแมปจะนำทางไปเรื่อยๆ
บางทีตอนที่เดินอยู่นี่ก็สงสัยขึ้นมาว่านี่กำลังทำอะไรกันอยู่ มาเที่ยวที่ไหนกัน แต่ว่าก็สนุกไปอีกแบบ และได้พบว่าแม้จะเป็นต่างจังหวัดยังไงก็ตาม ความสะอาดของที่ทาง ถนน ของชาวญี่ปุ่นนั้นอยู่ในระดับสูงจริงๆ แทบจะไม่เห็นขยะเลย (ไม่เห็นถังขยะด้วย)
เดินไปใช้เวลาซักพัก (จากสถานีรถไฟ รวมการแวะซื้อของต่างๆก็ราวๆ 1 ชม.พอดี) พวกเราก็มาถึงจุดมุ่งหมายของการตามรอยที่แรก ศาลเจ้าทาคาเบะ (Takabe Shrine, 高家神社)
ศาลเจ้าทาคาเบะ เป็นศาลเจ้าชินโตแห่งเดียวในญี่ปุ่นที่บูชาเทพเจ้าแห่งการทำอาหาร จึงมักเป็นจุดสำคัญที่เหล่าพ่อครัวแม่ครัวจะมาขอพรในการทำอาหารต่างๆ เช่น ขอให้ทำอาหารได้เก่งกาจยิ่งขึ้น ขอให้ซอสโชยุที่ปรุงในแต่ละปีอร่อยมากขึ้น ขอให้เหล้าที่หมักรสชาติดีขึ้น รวมถึงพวกชาวประมงก็มาขอให้จับปลาอร่อยๆได้เยอะขึ้นด้วย ในศาลนี้เองมักจะเป็นที่ๆชาวครัวจะเอามีดเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้วมาถวายคืนให้กับเทพเจ้าเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่อุปกรณ์ทำมาหากินด้วย
ปกติแล้วที่ศาลแห่งนี้จะมีงานบูชาเทพเจ้าอยู่ประจำปี ปีละ 2 ครั้ง (มีแล่ปลาทูน่าใหญ่ถวายเทพเจ้าด้วย) และในวันที่พวกเรามานี้ก็เฉียดไป 1 วัน งานจะมีในวันที่ 17/5/2016 นั่นเอง (แต่ก็อาจจะดีไปอย่างหนึ่งคือถ้ามีงานเทศกาลคนคงจะเยอะมากแน่ๆ) ด้วยเหตุนี้ทำให้บริเวณศาลเจ้าเต็มไปด้วยเตนท์เทศกาลและการจัดเตรียมสถานที่ต่างๆ รวมถึงมีสถานีโทรทัศน์อย่าง NHK คอยมาเตรียมถ่ายรายการพิเศษ
ก็แวะเดินเล่นถ่ายรูปตามจุดต่างๆพอสมควร (แต่อยู่ได้ไม่นานนักเพราะที่นี่ดูวุ่นๆกันเพราะมีการถ่ายรายการนั่นหละ) และแน่นอนก็แวะซื้อเครื่องรางมาตามระเบียบ ด้วยการที่ไม่ว่าจะศาลเจ้าที่ไหนของญี่ปุ่นก็มักจะมีสินค้าที่ระลึกแบบที่หาได้เฉพาะที่ให้ได้ซื้อกันเพื่อเป็นศิริมงคล
เครื่องรางที่นี่น่าจะอำนวยพรให้ทำอาหารเก่งขึ้นนะ ทั้งนี้คงต้องฝึกทำอาหารด้วยหละไม่งั้นจู่ๆไม่น่าจะเก่งขึ้นได้! อีกอย่างที่ไม่ลืมถ่ายรูปมาก็เป็นแผ่นป้ายไม้ขอพร (เอมะ) ที่โซระมารุมาเขียนไว้ด้วย~
อีกอย่างที่ควรสะกิดใจกันขึ้นมาตั้งแต่แรกคือศาลเจ้านี้เป็นจุดที่ชาวมินามิโบโซเขาทำแคมเปญ “Minamiboso Lovers’ Spot” ที่เป็นจุดไว้ให้คู่รักเดินทางมาเดทกันในเขตเมืองนี้หละ (มีอยู่ 11 หรือ 14 จุดนี่หละ) สำหรับจุดนี้เป็นหมายเลข 7 ด้วยนะ คงเหมาะกับคู่แต่งงานใหม่มาแล้วก็ขอให้ทำอาหารอร่อยๆให้สามีทานตอนเช้าตอนเย็น อะไรแบบนั้น (ฮา)
หลังจากเดินเล่นถ่ายรูปชมบรรยากาศซักพักก็เดินย้อนกลับมาทางเดิมเพื่อหาป้ายรถบัสไปจุดหมายต่อไป เปิดๆกูเกิ้ลแมปเพื่อหาตำแหน่ง(ยังคงพึ่งพาได้จริงๆ แม้จะอยู่ในต่างจังหวัดขนาดนี้) ที่น่ากลัวคือจำนวนรถบัสนั้นตกอยู่ ชม.ละ 2 คันเท่านั้นเอง ตอนรอไปก็วังเวงไปว่ารอถูกรึเปล่า รถมันยังเดินแน่นะ (ฮา)
โดยจุดมุ่งหมายต่อไปที่เราจะไปคือปลายทางของรถบัสสายเดิมที่เคยคิดจะรอกันที่สถานีรถไฟ นั่นคือ ปลายทางอาวะ-ชิราฮามะ (安房白浜) นั่นเอง
ริมทะเลกับประภาคารโนจิมาซากิ
นั่งรถมาอีกราวๆ 30 นาที โดนค่าโดยสารไปกันคนละ 520 เยน ก็มาถึงจุดที่เรียกกันว่าใต้สุดของจังหวัดจิบะกันแล้ว โดยจุดมุ่งหมายที่จะเดินไปกันก็คือริมทะเลเพื่อไปดูประภาคารที่เป็นสถานที่ตามรอยต่อไป ระหว่างเดินก็ได้พบว่าบริเวณนี้แทบจะไม่มีการพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเท่าไรเลย (เห็นโรงแรมอยู่แค่ 1 แห่ง) เป็นบ้านริมทะเลสไตล์ญี่ปุ่นกันจริงๆนั่นหละ อากาศก็สดชื่นมากด้วย
พอเดินมาจนได้ที่ (ซัก 15 นาที) เดินชมทะเลชมบรรยากาศลมเย็นแดดจ้าแบบสบายๆซักพัก ก็ได้พบว่าบริเวณนี้มีความเป็นหมู่บ้านชาวประมงแบบแปลกๆ.. เช่นว่าจู่ๆก็เจอคุณลุงพายเรือมาจากทะเล (มาจากไหนไม่รู้) แล้วก็เอาเรือมาจอดไว้ชายฝั่งเดินขึ้นไป อะไรแบบนี้ หรือจะเป็นร้านขายอาหารทะเลแบบเล็กๆที่ไปจับวัตถุดิบกันมาจากแถวๆนั้น เป็นต้น
จริงๆที่เดินมาถึงบริเวณร้านอาหารนี้แล้วก็ย่อมหมายถึงพวกเรามาถึงทางเข้า ประภาคารโนจิมาซากิ (Nojimazaki Lighthouse, 野島埼灯台) กันแล้วนั่นเอง
ประภาคารโนจิมาซากิ ตั้งอยู่ใต้สุดของจังหวัดจิบะ เป็นหนึ่งในแปดประภาคารที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยเมจิด้วยเหตุผลของการเปิดประเทศในช่วงปี 1858 (ข้อบังคับจากสนธิสัญญามิตรภาพอังกฤษ-ญี่ปุ่น) ประภาคารแห่งนี้ถูกออกแบบและสร้างโดย ฟร็องซัว เลองส์ แวร์นี (Francois Leonce Verny) วิศวกรชาวฝรั่งเศส เคยพังไปรอบหนึ่งเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่
ปัจจุบันประภาคารนี้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมในฐานะพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ และยังเป็น “1 ใน 100 ประภาคารที่สำคัญที่สุดของโลก” อีกด้วย
หมดช่วงขายตรงประวัติศาสตร์ พวกเราก็เดินขึ้นเนินกันดุ่มๆไปดูประภาคาร ระหว่างทางก็มีศาลเจ้าเล็กๆที่ไม่ได้ค้นหาชื่อด้วยว่าเป็นศาลเจ้าอะไร ก็แวะดูแวะไหว้กันซักนิด ศาลนี้มีเทพสมบัติทั้ง 7 เป็นรูปปั้นหินด้วยนะ ปลัดขิกก็มี ช่างมีความหลากหลายยิ่งนัก
พอเดินเข้าไปบริเวณประภาคารก็ได้พบว่าในส่วนนี้จะต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่ง (200 เยน) ถ้าอยากขึ้นไปดูวิวด้านบน (และจุดสำหรับการตามรอยโซระมารุก็อยู่ด้านบนประภาคาร) ไหนๆแล้วเพื่อซึมซับประวัติศาสตร์ก็เลยต้องจ่ายเงินขึ้นไปเดินเล่นกันเสียหน่อย
อนึ่งในบรเิวณนี้ก็เห็นว่าเป็น Minamiboso Lovers’ Spot อีกที่หนึ่งด้วยนะทั้งบนประภาคารและในบริเวณรอบข้างที่เป็นริมทะเลที่มีชายหาดและโขดหินสวยๆ ที่เดี๋ยวเราจะไปเดินดูต่อเนื่องต่อจากขึ้นประภาคารกันนี่หละ
ประภาคารนี้มีความสูง 30 เมตรและต้องขั้นบันไดประมาณ 120 ขั้น เพื่อไปถึงจุดบนสุด (ก่อนขะขึ้นบนสุดบันไดจะชันมาก ต้องระวังกันด้วยหละ) เมื่อขึ้นถึงชั้นบนสุดก็ได้พบกับวิวสวยงามของแหลมสมุทรแห่งมินามิโบโซแห่งนี้!! มีความเย็นจากลมที่พัดมาและวิวจากความสูงทำให้รู้สึกหายเหนื่อยที่เดินขึ้นมาทีเดียว
ในบริเวณนี้เป็นอีกที่ๆในแฟนบุคของโซระมารุมาถ่ายกัน ฉะนั้นถ้าอยากจะมาถ่ายรูปเลียนแบบ (?) ก็ต้องแวะกันมาหละนะ
หลังจากชมบรรยากาศด้านบนก็แวะมาในส่วนของมิวเซียมข้างล่างซักแปป โดยจะเป็นส่วนจัดแสดงโคมฉายแสง (มั้ง) ของประภาคารว่าสมัยก่อนใช้เชื้อเพลิงเป็นน้ำมันก๊าด และใช้เลนส์ขยายแสงแบบเฟรชเนล ก็ได้รับความรู้กันไปบ้างอย่างละนิดอย่างละหน่อยเนื่องจากไม่มีภาษาอังกฤษประกอบ
และจุดที่ทำให้แถวนี้กลายเป็นจุดที่ดีสำหรับคู่เดทคงจะเป็นบริเวณริมทะเลที่มีโขดหินขนาดใหญ่จนดูเป็นเอกลักษณ์จำนวนมาก และยังมีการเอาเก้าอี้ไปตั้งไว้ในจุดที่น่าจะสามารถชมทะเลได้สวยที่สุดของบริเวณนี้ (นั่งได้ 3 คน..) ไหนๆแล้วเลยเดินขึ้นไปนั่งกัน และพบว่าวิวจากบริเวณนี้ก็ดีสุดจริงๆตามที่คุยไว้เลย
ได้เวลาบ่ายแก่ๆแบบนี้ + กับพวกเราที่่ไม่ได้กินข้าวเช้ากันเต็มที่มา + การเดินที่ยาวไกล ทำให้ความหิวมาจนถึงจุดที่ไม่ไหวแล้ว จึงต้องหาร้านข้าวแถวๆนั้นหละ และไหนๆก็เป็นการตามรอยแล้ว.. จะกินร้านข้าวเดียวกับที่โซระมารุไปลองกินก็คงไม่แปลก (!) จึงเดินย้อนกลับมาจากส่วนประภาคารแล้วแวะกินข้าวที่ร้าน มิซุรุเมะ (みずるめ) ที่เป็นร้านอาหารชุดกัน
ในร้านนี้เป็นร้านอาหารชุดและอาหารทะเล เน้นอาหารทะเลนั่นหละ แถวๆนี้ก็อยู่ริมทะเลฉะนั้นความสดของวัตถุดิบน่าจะรับประกันได้แน่นอน เลยสั่งข้าวหน้าปลาดิบกับข้าวชุดปลาทอดมากินกัน สนนราคากันคนละประมาณ 1,800 เยนเท่านั้น (แต่มันเป็นมื้อที่เกือบจะแพงสุดในทริปแล้ว)
รสชาติอร่อยและสด รู้สึกดีที่ได้กินเลยทีเดียวหละ (หัวเราะ) นอกจากนั้นยังได้รับการบริการที่ดีจากคุณน้าเจ้าของร้านด้วยแม้พวกเราจะพูดคุยกันไม่รู้เรื่องแต่ก็รู้สึกว่าเขาพยายามที่จะรับแขกอยู่นะ และโชคดีที่เมนูมีภาพประกอบเกือบหมด
จริงๆถ้ากินพวกอาหารทะเลย่างน่าจะอร่อยเด็ดกว่านี้ แต่ว่าด้วยงบประมาณจึงไม่น่าจะทำเช่นนั้นได้
จริงๆออกจะไม่สงสัยในความสดเท่าไร เนื่องจากเมคุงเล่าให้ฟังว่า ตอนที่เดินเล่นริมทะเล เจอคุณลุงคนนึงขี่มอไซค์ฯมาจอดริมทะเล ถือถุงตาข่ายมา แล้วก็เดินลงทะเลไปดุ่มๆเลย.. คงไปจับอะไรแถวๆนี้มากินมาขายหละมั้ง นับว่าใกล้เคียงธรรมชาติดีจัง
การเดินทางกลับโตเกียวที่ยาวนานกับป้ายรถเมล์แปลกๆ
ดูจากเวลาที่ล่วงเลยมาเป็นบ่าย 3 โมงเย็น กำหนดการที่จะไปขึ้นเขาอีกที่หนึ่งคง (โนโกกิริยามะ, 鋸山) ต้องเอาไว้ก่อนเพราะปิดตั้งแต่ 5 โมงเย็นแล้วหละไม่น่าจะขึ้น+ลงทัน เลยเดินไปหาป้ายรถบัสเพื่อต่อไปยังสถานีรถไฟกันแบบสบายๆ แต่ว่าไม่ใช้วิธีย้อนกลับทางเดิมแล้วหละเพราะจะเป็นการอ้อมเปล่าๆ
พอมาถึงป้ายรถบัสก็ได้พบว่า.. รถบัสเพิ่งออกไปซักแปปเดียวก่อนพวกเรามา เลยต้องรอกันยาวๆเลยหละ แต่ว่าป้ายตรงนี้มีความน่ากลัวสูงมาก น่าจะเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นที่ได้เห็นสิ่งของสาธารณะมีความสกปรกจากฝุ่นและหยากไย่แมงมุม..คงเน้นเอาไว้ยืนหลบแดดหลบฝนจริงๆ แต่ว่าข้างในมีที่นั่งด้วยหละนะ แค่ฝุ่นจับจนนั่งไม่ลง เอ๊ะ..ไม่ใช่แค่หยากไย่แมงมุมแต่มีกระทั่งไส้เดือนดินที่ออกมาเดินเผ่นผ่านม้วนตัวกระโดดไปมาให้สาวๆในปาร์ตี้ตกใจกันด้วยแหละ (นานๆทีจะเห็นร้องวี๊ดว้ายกัน~!) หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรทำ นั่งๆ ยืนๆ รอๆ ซื้อน้ำจากตู้กดน้ำอัตโนมัติ
.
.
.
ใช่แล้ว ในกระทั่งที่แบบนี้ก็มีตู้กดน้ำจริงๆ.. แม้จะเป็นที่ๆรถบัสผ่านมา ชม.ละ 1 คันขนาดนี้คุณก็ยังหาที่กดน้ำได้ เลยไปนั่งกดน้ำดื่มนั่งกินข้างลำธารเล็กๆ สบายๆ รอกัน แม้ว่าสถานที่ๆมานั่งกินน้ำจะไม่อำนวยเท่าไรเพราะไปนั่งกันริมขอบแคบๆที่หงายเงิบไปก็หามส่งโรงพยาบาลกลับไทยได้ทันที (ไม่แนะนำให้เลียนแบบ) อ้อ ลืมไปเลย.. พวกเราที่แบกขยะกันมาตั้งแต่เช้าจนบัดนี้ก็ยังไม่สามารถพบเจอถังขยะได้แม้แต่แห่งเดียวในมินามิโบโซ.. พวกเขาไปทิ้งที่ไหนกันน่ะ
จนรถบัสมาก็เลยได้นั่งยาวไปจนกว่าจะถึงปลายทางที่สถานีรถไฟทาเทยามะ (Tateyama Station, 館山駅) ซึ่งเป็นจุดที่ดูๆแล้วมีอะไรให้ท่องเที่ยวเยอะเหมือนกันนะดูจากปริมาณร้านขายของฝากในบริเวณสถานีรถไฟนี้ (มีพวกบิวะ, เนื้อปลาวาฬ, ถั่วลิสง ที่ขึ้นชื่อ) อ้อ แน่นอนว่ามีถังขยะแล้ว
และหลังจากนั่งรถไฟสายอุชิโบะกลับไปที่สถานีซึดานุมะที่พวกเราฝากกระเป๋าเดินทางเอาไว้ในล็อกเกอร์เมื่อตอนเช้า ก็เป็นอันครบถ้วนการเดินทางในมินามิโบโซของพวกเราแล้วหละ แถวสถานีซึดานุมะในยามหัวค่ำนี้ดูแตกต่างกับตอนเช้าเหลือเกิน ทุกคนไม่ดูเร่งรีบมาก และเป็นเมืองเล็กๆที่ดูมีสีสันชีวิตชีวาพอสมควรเลยทีเดียวหละ
หรือไม่ก็เพราะพวกเราไปบ้านนอกกันมาเต็มๆทั้งวันเลยดูอะไรมีแสงสีก็เจริญไปหมดก็ไม่รู้
หลังจากเอากระเป๋ากลับมาเสร็จทุกคน ก็เดินทางเข้าโตเกียวด้วยสายชูโอ/โชบุ (Chuo/Sobu Line) ต่อรถที่สถานีรถไฟ JR โอจาโนะมิซุ (Ochanomizu Station) และเดินทางอีกนิดหน่อยจนถึงสถานีอาวาจิโช (Awajicho Station) ที่อยู่ใกล้ที่พักใหม่มากที่สุด อนึ่ง จากสถานีนี้เดินแค่อีก 5 นาทีก็ถึงที่พักของพวกเราแล้วหละ แต่ว่า
มีการเดินขึ้นลงบันไดที่ซับซ้อนหลายต่อมาก.. การแบกกระเป๋าเดินทางขึ้นลงบันไดไม่ใช่เรื่องสนุกจริงๆ แม้จะพยายามเดินหาลิฟต์แล้ว แต่บางสถานีก็ไม่มีจริงๆฉะนั้นต้องระวังด้วย + เผื่อแรงไว้สำหรับแบกกระเป๋า
ที่พักใหม่ของพวกเราในวันนี้คือ นากาโอกะบิลด์ (長岡ビル) ชั้น1 ที่อยู่ในเขตคันดะ.. หรือถ้าจะให้เจาะจงไปมากกว่านี้คือ เดินแค่ 10 นาทีจากย่านของติ่ง อากิฮาบาระ (Akihabara) นั่นเอง! จองผ่านแอร์บีเอ็นบีเช่นเคย
สำหรับพวกเราที่เหนื่อยล้าจากการแบกกระเป๋าและเดินทางอาจจะล้มตัวลงนอนเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่ไม่ใช่..!!! เพราะว่ายังประมาณสองทุ่มนิดๆเท่านั้นเลยวางกระเป๋าแล้วเข้าไปหาอะไรเดินเล่นกันที่อากิบะ วันนี้ตัวผู้เขียนอยากจะซื้ออุปกรณ์กล้องซักหน่อยเลยขอเลือกเข้า โยโดบาชิอากิบะ (Yodobashi Akiba, ヨドバシAkiba) ที่เป็นห้างใหญ่ขายสารพัดอุปกรณ์ไฟฟ้าและของเล่นก่อน (ยังไงก็ปิดสี่ทุ่มแน่นอน ต่างจากร้านอนิเมอื่นๆที่ราวๆสามทุ่มก็ปิดแล้ว)
ประสบการณ์แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่่น (?)
ตอนที่ได้เดินซื้อของในโยโดบาชิอากิบะนี้ ขณะที่กำลังเพลิดเพลินเดินเล่นกันสามคน จู่ๆก็ สั่น ขึ้นมา ไม่ใช่เพราะของแพงแต่อย่างใด แต่ว่าอาคารทั้งอาคารสั่นไหวเล็กๆ แค่พอรู้สึกได้ เป็นเวลาประมาณ 5 – 10 วินาทีเท่านั้นเองมั้ง ก็เลยได้เก็ตแล้วว่านี่หละประสบการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุ่นที่่เป็นที่กล่าวขวัญว่าต้องหาโต๊ะแล้วก้มลงไปหลบหรือรีบไปทุ่งกว้างข้างล่าง
แต่พวกเราใจเย็นกว่านั้นมาก สมเป็นคณะทัวร์สโลว์ไลฟ์ ใช้วิธีดูพฤติกรรมของพนักงานก่อน.. พนักงานนิ่ง ทุกคนนิ่ง ก็เลยเดินดูของแบบนิ่งๆต่อไปแบบสบายใจสุดๆ แต่พอเปิดเช็คทวิตเตอร์และห้องแชทติดแอร์ก็ได้พบว่่าเพื่อนๆเป็นห่วงเพราะว่ามีการออกข่าวว่าแผ่นดินไหวที่่ญี่ปุ่นหนักนิดหน่อย ประมาณ 4.0 ตามมาตราริกเตอร์ เลยต้องบอกว่าพวกเราสบายดี อย่าได้ตกใจไป
ประเด็นคือมันไหว.. โดยมีจุดศูนย์กลางแถวๆจิบะ
.
.
.
นี่ถ้าตอนขึ้นประภาคารแล้วไหวขึ้นมาอาจจะได้ใช้วิธีหลบแผ่นดินไหวตามที่ป้ายประกาศที่อ่านเจอบอกไว้ก็ได้นะ (ลองย้อนขึ้นไปอ่านดู ฮา) ไม่ก็โดนน้ำพัดตกทะเล..
สุดท้ายหลังจากมีประสบการณ์ตื่นเต้นเล็กๆ ซื้อของจนพอใจอีกหน่อย ก็เดินทางกลับที่พักกัน จากอากิบะนี่กลับที่พักได้แบบสบายๆจริงๆไม่เมื่อยด้วย นับว่าดีงามสำหรับคนที่ต้องการเดินอากิบะเยอะๆหละนะ
รีวิวที่พักนากาโอกะบิลด์ชั้น 1
ปิดท้ายด้วยการรีวิวที่พัก แน่นอนว่าคราวนี้มีดี
- ใหญ่มาก ในราคา 800 บาทโดยประมาณต่อคืนต่อคนนับว่าดีมากๆ สบาย มีความสะอาด เตียงนุ่มไม่เก่า แต่ใครไม่ชอบปีนอาจจะลำบากเล็กๆ
- ทำเลดีมาก ใกล้อากิบะ ใกล้สถานีรถไฟมาก ตอนดึกไม่ได้ยินเสียงรถไฟ แม้จะอยู่ชั้น 1 แต่ว่าไร้เสียงรบกวนจากภายนอกแม้จะเป็นใจกลางเมืองใหญ่
- ห้องน้ำมีแยกส่วนของส้วมและส่วนอาบน้ำ แต่ว่าไม่มีผ้ากั้นสำหรับเปลี่ยนเสื้อ จึงต้อง DIY กันเอาเอง
- ไดร์เป่าผม สบู่ แชมพู พร้อม แต่ว่า..ผ้าขนหนูต้องไปเช่าที่ชั้น 2 ราคา 100 เยน ซึ่งไม่ได้เขียนบอกเอาไว้ในรายละเอียดตอนที่จอง และผู้เขียนไม่รู้!!! เลยต้องออกเดินทางไปตอนเที่ยงคืนกว่าๆฝ่าลมหนาวไปซื้อผ้าขนหนูมาถึงราคา 1,600 เยนจาก ดอง กิโฮเต้ สาขาอากิบะ (เปลือง!!!)
- มีเครื่องซักผ้าให้บริการที่ชั้น 2 เช่นเดียวกัน ฟรี แต่ว่าไม่มีที่ปั่นแห้ง
- ตู้เย็น ไมโครเวฟ มีหมด
- ใกล้มินิมาร์ท ใกล้ร้านอาหาร ใกล้ร้านราเม็งและอื่นๆ
- ใช้ระบบเข้าออกด้วยรหัสและกุญแจ มีความปลอดภัย 2 ชั้น
สรุปได้คำเดียวว่าดีมาก ประทับใจสุดๆ ถ้าใครมาเที่ยวโตเกียวแล้วหละก็แนะนำที่พักแห่งนี้เลย คุ้มราคาจริงๆ ขอให้ตอนได้มาญี่ปุ่นครั้งต่อไป ยังคงใช้บริการแอร์บีเอ็นบีได้ด้วยเถิด