คราวปีที่แล้ว (2015) ได้ไปเก็บเลิฟไลฟ์คอลาโบเรชั่นมา 2 ร้านคือร้านขายของที่ฮาราจูกุ และคาเฟ่เคลื่อนที่ในศาลเจ้าคันดะ ก็ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลกลใดมาญี่ปุ่นทีไรต้องมีโอกาสไปคาเฟ่ทุกที วันนี้ก็จะเป็นคิวของการเดินเล่นซื้อของแบบชิลๆในเขตโตเกียวเช่นเดิมและปิดท้ายวันด้วยคาเฟ่กันนะ
สารบัญ: ญี่ปุ่นไปดูไลฟ์
คลิกเพื่อดูสารบัญบทความ
ญี่ปุ่นไปดูไลฟ์
ยามเช้ากับการตามหาร้านซักรีดหยอดเหรียญ
เช้าวันนี้ที่โตเกียว พวกเราตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวที่เขตนาคาโนะ แหล่งของติ่งสไตล์คลองถมกันอีกซักครั้ง เพราะการตามล่าของดีของถูกในโตเกียวก็ต้องไปร้านมือสอง และร้านมือสองเกี่ยวกับสินค้าอนิเมจะมีที่ไหนเยอะเท่าที่นี่ (?) แต่ว่าด้วยประสบการณ์อันโชกโชนจากทริปเมื่อปีก่อน ทำให้คิดว่า ถ้ารีบไปตั้งแต่เช้าเนี่ย ร้านมันจะไม่เปิดดด อย่าว่ากระนั้นเลย นอนให้เต็มที่ก่อน แล้วใช้เวลาช่วงเช้าแบบช้าๆ กันบ้าง
ประกอบกับวันนี้ตื่นมาฟ้าฝนก็ไม่ตกแล้ว แดดแรงดีเชียวหละ ผู้เขียนจึงคิดจะไปหา “ร้านซักผ้าหยอดเหรียญ” เพื่อซักเสื้อที่ซื้อมาเมื่อวานไว้ใส่กัน เมื่อคืนช่วงที่โต๋เต๋อยู่แถวที่พักยามดึกก็ได้ลองเดินตามหาร้านซักผ้าหยอดเหรียญในกูเกิ้ลแมป… ผลปรากฎว่าแถวที่พักนี่ไม่มีเลย หาในเว็บต่างๆ ก็ไม่มี อยากได้เครื่องสไตล์ที่มีปั่นแห้งในตัวเพราะชอบกลิ่นหอมนุ่มของการปั่นแห้งซะด้วยสิ.. แต่โชคดีที่จู่ๆก็เจอโรงแรมระดับสามดาว (?) ห่างจากบ้านพักของพวกเราแค่ 15 เมตร ชื่อ เดอะ บี โอจาโนะมิซึ โฮเต็ล (The B Ochanomizu Hotel, ザ・ビー お茶の水)
เลยคิดขึ้นมาว่ามันต้องมีห้องซักรีดบริการ พอบากหน้าเข้าไปถามคุณรีเซปชั่น (ตอนราวๆสี่ทุ่มกว่า) เขาก็ตอบมาว่าใช้ได้ครับ แต่เปิดให้บริการ 7 โมงเช้านะ แขกนอกโรงแรมก็ใช้ได้ เตรียมตังมาหยอดเองนะครับ ยิ้มเลย สบายละเราแบบนี้ ตื่นมาตั้งแต่เช้าตรู่เลยแบกเอาซากเสื้อใส่เป๋าผ้าขึ้นไปซักที่ชั้น 9 ของโรงแรมที่เราไม่ได้พักอย่างกระฉับกระเฉง ในใจพลางคิดว่ามันต้องหรูหราราวๆเดียวกับร้านซักรีดที่จิบะที่ใช้บริการแน่ๆ!! แต่พอไปถึงมันเป็น
เครื่องซักผ้าขนาดเล็ก.. ขนาดแบบใช้ในครัวเรือนน่ะหละ!!! เล็กกว่าที่บ้านที่ไทยอีกครับ.. เครื่องปั่นก็พอกัน ขนาดจิ๋ว และแน่นอน เป็นระบบแมนนวล (หยอดตังให้ไฟติดแค่นั้น..) ก็งมวิธีใช้ซักพัก แล้วก็นั่งอืด นั่งกับพื้นแถวๆนั้นหละ… เก้าอี้ไม่มีด้วยนะ ซักไปราวๆ 35 นาทีก็เอาไปปั่นต่อ (ปั่นฟรี) ประเด็นคือกดปั่นอบไปราว 60 นาทีก็หวังว่าจะแห้ง แต่เอาออกมาก็เปียกหมาดอยู่ดี 😂 เครื่องปั่นอบแบบขนาดเล็กนี่ไม่สะใจเลย
สุดท้ายก็เสียเวลาไปราวๆ 2 ชม.กับการนั่งหน้าเครื่องซักผ้า จะไม่ไว้ใจเครื่องจิ๋วๆที่ไม่ได้มีที่นั่งให้รอปั่นอีกแล้ว หนักกว่านั้นคือห้องพักพวกเราช่างไม่มีหน้าต่างระบายอากาศ ฉะนั้นเสื้อที่ซักวันนี้ก็โน่น แห้งในวันศุกร์เลย!!!!
เป็นรสชาติของการสำรวจครับ เจ็บนิดๆ..แต่ก็สนุกดี
อีกครั้งที่นาคาโนะ
ตัดฉากจากช่วงเช้าแสนเรื่อยเปื่อย ก็เดินทางมาถึงสถานีนาคาโนะ (Nakano Station) อีกครั้งหนึ่งอย่างคุ้นชิน ที่นี่พวกเรารู้อยู่ละว่าโซนของติ่งอยู่ตรงไหน โซนของกินอยู่ตรงไหน ฉะนั้นทางเลือกที่เหมาะที่สุดสำหรับการเดินย่านนี้คือ มาซัก 10 – 11 โมงเช้าแล้วหาร้านอาหารสำหรับกินให้อิ่มเต็มที่ จากนั้นเดินหาของกันยาวๆแบบม้วนเดียวจบ
สำหรับข้าวในมื้อแรกของพวกเราในวันนี้เป็นร้าน นาได ฟูจิโซบะ (Nadai Fujisoba, 名代 富士そば) ร้านโซบะที่มีจุดเด่นคือมีชามขนาดมินิที่สาวๆกินไม่จุก็สามารถอร่อยได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดกับสายตาของเจ้าของร้าน
แต่พวกเราไปก็ไม่ได้สั่งโซบะกินหรอกนะ (ฮา) เมนูพวกข้าวแกงกะหรี่ของที่นี่ดูน่ากินกว่าเยอะเลย เลยจัดเป็นคัตสึด้งแกงกะหรี่มา (มิกซ์เมนู.. มันน่ากินทั้งคู่) โดยไม่ใช่แบบเอาหมูชุบแป้งทอดมาราดแกงกะหรี่แบบที่เคยๆกินกันแต่เป็นแบบเอาหมูชุบแป้งทอดมาทำคัตสึด้ง (ตัวหมูราดน้ำซุปโชยุมิริน+เทไข่ลงไปตุ๋น) แล้วเททับซ้อนด้วยแกงกะหรี่หอมๆอีกที รสชาติสมดุลกันดีจริงๆ
ว่าถึงแกงกะหรี่ไปแล้วก็อดใจที่จะกินร้านขนมปังแกงกะหรี่ เทนมะ (Temma, 天馬) ที่อยู่ตรงข้ามกัน โดยตามชื่อ ร้านนี้ขายแต่ขนมปังทอดไส้แกงกะหรี่ ที่จุดเด่นคือไส้แกงกะหรี่ร้อนๆมีความหนึบกำลังดีและเนื้อสัตว์ปริมาณพอเหมาะที่ผสมผสานกับขนมปังทอดเนื้อนุ่มข้างในแต่ข้างนอกเป็นชุบเกล็ดขนมปังกรุบกรอบ ใครแวะมานาคาโนะต้องมาลองกันสถานเดียว
หลังจากนั้นก็เป็นการเดินเล่นเรื่อยเปื่อยในมอลล์ก่อนจะรอนาคาโนะบรอดเวย์เปิดแล้วถึงจะเข้าไปสำรวจกัน เลยถือโอกาสเดินเล่นชมร้านกล้อง เดินสบายๆก่อนซักพัก ก่อนจะตรงดิ่งเข้าไปจับจ่ายสินค้าจากอนิเมกันตามเห็นสมควรให้สมเป็นทริปติ่งๆ
กล้องและอุปกรณ์กล้องมือสองที่นาคาโนะ
ไหนๆก็พูดถึงที่นี่แล้วเลยอยากขอบันทึกไว้เสียนิดหน่อยในฐานะที่ชอบซื้อกล้องมือสอง
อันดับแรกเลยของมือสองที่ญี่ปุ่นนี้ ถ้า ไม่ใช่รุ่นที่เป็นระดับเริ่มต้น หรือ เก่ามากแต่ไม่ใช่รุ่นสูง (เช่นโอลิมปัส E-P1) จะถูกมากๆเลย แล้วก็มีหลายตัวมากด้วย ถ้าจะซื้อกล้องแบบมาใช้เล่นๆสำรองโดยไม่อะไรมากนี่เหมาะมาก แต่ว่าถ้าเป็นรุ่นที่ออกใหม่ไม่เกิน 2 ปี และเป็นรุ่นสูงๆ จะราคาไม่ต่างกับที่ไทยมากนัก ทำให้ต้องคิดมากพอสมควรถ้าจะสอย อนึ่งต้องระวังเมนูภาษาญี่ปุ่นล้วนด้วยนะ
อุปกรณ์เสริมนี่น่าสอยมาก พวกแฟลช กริป แบตเตอรี่ ขาตั้ง ฯลฯ พวกนี้ราคามือสองดีมากจริงๆ พวกกระเป๋ากล้องมือสองก็ถูกอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างกระเป๋ากล้องมือสองยี่ห้อ Artisan & Artist (Made in Japan) ถ้าขายในไทยก็ต้องมีหมื่นขึ้น แต่ถ้าเป้นมือสองที่นี่ หาได้ในราคา 2500 – 2800 เท่านั้นเอง และราคาดีมากด้วย (สายคล้องคอก็เช่นกัน)
สำหรับเลนส์นั้นที่นี่ไม่มีกล่องให้ ทำให้อาจจะลำบากใจสำหรับผู้ที่ชอบสะสมกล่อง และถ้าจะนับในโตเกียวแล้วที่นี่น่าจะเดินสนุกสุดแล้วเพราะเป็นย่านที่ไม่ได้อยู่ในย่านนักท่องเที่ยวเยอะมากแบบชินจูกุหรืออากิฮาบาระ ฉะนั้นใครที่เล็งๆก็มาแวะเดินได้ อ้อ อย่าลืมคิดราคาให้ลบไปอีก 8% และถ้ามีการจ่ายด้วยบัตรเครดิตวีซ่า จะลดเพิ่มอีก 5% เลย ถ้าคิดดีๆอาจจะถูกกว่าก็ได้ แต่อย่าโดนบรรยากาศกลืนไปจนลืมคิดกลับเป็นเงินไทยหละ
บรรยากาศของนาคาโนะบรอดเวย์ในปีนี้
ปีนี้รู็สึกร้านก็ยังเปิดเยอะเหมือนเดิม แต่บรรยากาศของการขายของจากเลิฟไลฟ์! เริ่มแผ่วลงเล็กๆ (ไม่รู้กระแสของเลิฟไลฟ์ซันไชน์จะต่อติดไหม เพราะอนิเมแนวนี้ก็มาแรงตามๆกันด้วย) แต่ว่าโดยมากก็ยังหาสินค้าได้สบายอยู่
แต่ตามที่เคยบอกเล่าในขั้นต้น การเดินซื้อของทั่วไปในที่แห่งนี้ก็จะเน้นเข้าร้านโน้นออกร้านนี้เดินดูของในร้านเล็กๆ ฉะนั้นเราจึงไม่มีอะไรจะเขียนมาก (ฮา) ได้ของดีๆหลายชิ้นที่ราคาดีสวยงามก็จัดว่าน่าประทับใจ สำหรับเรทราคานั้นเรียกได้ว่าพูดยาก ของบางอย่างที่นี่ก็ถูก ของบางอย่างที่นี่ก็แพง แต่ว่าตามปกติแล้วเราไม่ได้เข้ามาถึงนาคาโนะกันมากกว่า 1 รอบ ฉะนั้นถ้าเจออะไรหายากๆก็สอยไว้เลยไม่น่าจะผิดหวัง
สำหรับในคราวนี้ได้มาเล่นเกมตู้ที่ดูโบราณๆ (เฉพาะบรรยากาศ แต่เนื้อในนี่เกมใหม่สดๆเลย) เดินๆไปเกิดเมื่อยเลยแวะเล่นเกม Skullgirls เวอร์ชั่นญี่ปุ่นกันเสียหน่อย แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ได้เป็นแบบพากย์เสียงญี่ปุ่น TT แบบนี้ก็ไม่ต่างะไรกับเล่นในคอมที่บ้านเลยหละสิ!!!
แต่ที่แน่ๆคือเสียดายที่ไม่มีคนเล่นด้วยเลย นึกว่าจะมีไฟต์เตอร์มานั่งดวลกันบ้างซักหน่อย– หลังจากเสียเวลาไปซักพักก็กลับจากนาคาโนะกันแล้ว คราวนี้ไปอากิฮาบาระเพื่อรอเข้าคาเฟ่ฯกันตอนรอบเย็น
เลิฟไลฟ์! คอลาโบเรชั่นคาเฟ่
คาเฟ่ของเลิฟไลฟ์ที่เซก้าคาเฟ่ (http://sega-collabocafe.com/) ตอนช่วงที่มานี่ก็เหมือนจะเป็นคาเฟ่เลิฟไลฟ์ของมิวส์เป็นครั้งสุดท้ายหละมั้ง? โดยในครั้งที่ไปนี่จัดตั้งแต่ 23 เม.ย. 2016 – 31 พ.ค. 2016 ก็ตรงกับช่วงที่พวกเราไปพอดี คราวนี้พวกเราก็จองคิวกันมาโดยมียุกกี้คอยจองให้ (ขอบคุณน้องมากๆที่อำนวยความสะดวกให้พวกพี่ๆครับ) โดยรอบที่พวกเราไปกันก็เป็นช่วงรอบ 16:30 – 18:00 น. แหละ สถานที่จัดก็ตึกคลับเซก้า อากิฮาบาระ (CLUB SEGA Akihabara)
ตอนที่มาถึงนี่เหมือนว่าพวกเราจะสับสนกันว่ามันขึ้นไปยังไงถึงจะไปคาเฟ่ที่อยู่ชั้นบนสุดได้ ต้องเข้าลิฟต์ออกลิฟต์เดินขึ้นบันไดซักพัก แต่ในบรรยากาศของอาคารเกมเซนเตอร์แบบนี้มักจะคละคลุ้งด้วยกลิ่นบุหรี่จริงๆ ออกจะขัดกับภาพลักษณ์ใสใสของคาเฟ่อนิเม
พอขึ้นมาถึงส่วนจัดงานข้างยนก็ตามระเบียบคือมีเมนูให้อ่านมีของเกี่ยวกับเลิฟไลฟ์วางขายด้วย จัดแจงแลกใบคิวแล้วก็ยืนรอหน้าคาเฟ่กันซักพัก คนที่มารอกันก็เยอะพอสมควร มีทั้งสาวๆหนุ่มๆ คละกัน อ้อ มีตู้ SIF ขนาดยักษ์ที่เป็นจอสัมผัสให้ได้ลองเล่นกันด้วย แต่ละคนดูจริงจังมากตอนเล่น
อนึ่ง.. ใบคิวเข้าคาเฟ่ที่เราได้มานั้นมีเลขที่น่าประทับใจมากเลยทีเดียว ได้เลขนิโกะ (25) ด้วย นับว่าสมแล้วหละที่มากับโอชินิโกะตัวยง แล้วก็เข้าแถวเตรียมเข้าห้องอาหาร ก่อนเข้า..มีปลุกใจด้วยคอลมิวสิคสตาร์ทที่ทุกคนล้วนรับมุกเป็นอย่างดี (แหงหละ)
พอเข้าไปนั่งกัน โต๊ะไม่ได้แคบแบบที่คิดไว้ กว้างขวางใช้ได้ และปูด้วยไวนิลลายหน้าจอสคูลเฟส ใต้เก้าอี้ก็มีตะกร้าไว้วางกระเป๋า (ใส่ใจดีจริงๆ) พนักงานก็ออกมาพูดถึงการสั่งของกินในคาเฟ่ว่าอาหารหลักมี 2 อย่าง
- แกงกะหรี่กับแป้งนาน! เมดเลย์เฟสคาเร่ ที่มีอิมเมจของแกงกะหรี่สำหรับจิ้มแป้งนานมาจากเพลงของมิวส์ถึง 3 เพลง 3 แกง 1,200 เยน
- พาสต้าครีมซอสซีฟู้ด! HEART TO HEART!พาสต้า ที่เป็นซีฟู้ดเพราะคอสตูมในเพลงนี้เป็นแนวกะลาสีเรือแน่นอน 1,200 เยน
และอาหารหลักนี้จะสั่งได้ในรอบแรกเท่านั้น นอกนั้นเป็นสคูลไอดอลพาเฟ่ต์ 3 สาย สไมล์ เพียว และคูล กับทาคาระโมโนสุคัพเค้ก (พวกนี้จะแถมที่รองแก้วแบบชั้นปี) และน้ำหวานต่างๆที่มีอิมเมจของตัวละครครบทั้ง 9 คนในมิวส์ (แถมที่รองแก้วแบบลายแยกแต่ละคน) พวกนี้จะสั่งได้เรื่อยๆ
ตัวผู้เขียนสั่งพาเฟ่ต์ ส่วนแพตตี้สั่งแกงกะหรี่ ยุกกี้สั่งพาสต้า ส่วนน้ำเห็นสั่งกันตามแต่ละโอชิที่ชื่นชอบ ได้ที่รองแก้วคละแบบคละเคล้าก็แลกกันในโต๊ะหรือหาแลกกันโต๊ะแถวๆนั้นน่ะหละ และระหว่างที่รออาหารก็เดินเล่น รอถ่ายรูปในจอที่เป็นลายเซนต์ของตัวละครในมิวส์ เดินเล่นดูบรรยากาศ การได้เห็นแฟนๆ ที่มีรสนิยมเดียวกันมาอยู่รวมกันในที่แคบๆ ก็ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นดี
อาหารจานหลักที่ได้มาก็ดูดีน่ากิน.. (แอบเสียดายที่ไม่ได้ลองสั่งเลย สั่งแต่พาเฟ่ต์) มีความคุ้มค่าอยู่เหมือนกันนะในราคามากกว่าร้านทั่วไปนิดหน่อย (ฮา) ส่วนพาเฟ่ต์ที่ได้มาก็รสชาติดีตามมาตรฐาน นั่งๆทานไปบางทีอยากจะเบิ้ลเอาเสียด้วยสิ แต่การมากินคาเฟ่อนิเมแบบนี้ควรระวังในด้านค่าใช้จ่ายเพราะอาจไหลได้
ส่วนที่รองแก้วที่ได้มาก็ตามนี้เลย ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ดูกันแน่นอน
โดยรวมแล้วก็จัดว่าเป็นคาเฟ่อนิเมแบบทั่วๆไปที่เน้นให้มากินเพื่อรับของที่ระลึกแบบแผ่นรองแก้วกันนั่นเอง ราคาอาหารกับความอร่อยจัดว่าอยู่ในระดับปกติ ถ้าช่วงที่มีคาเฟ่แบบนี้แล้วชอบอนิเมเรื่องนั้นๆ จะลองมาจองคิวเพื่อกินน้ำกินอาหารซักรอบกันก็ไม่เสียหาย~
สำหรับในวันนี้หลังจากเข้าคาเฟ่กันเสร็จก็เป็นเรื่องราวของการเดินเล่นซื้อของกันตามปกติ แต่ถ้าจะปิดบทความกันแค่นี้ก็จะดูเหงาๆโล่งๆเป็นพิเศษ ในวันรุ่งขึ้นเองพวกเราก็ยังคงจะอยู่ในตัวเมืองโตเกียวและอากิบะแบบทั้งวันกันนี่หละ (และไม่ค่อยได้ถ่ายรูป เพราะเป็นการซื้อของเยอะเสียมากกว่า) เลยจะขอเล่าต่อเนื่องกันไปเลยเพื่อให้เนื้อหาในแต่ละบทความไม่น้อยเกินไป
ศาลเจ้าคันดะที่ยังคงติ่งเสมอมา
เหมือนเป็นธรรมเนียมของพวกเรา (และของผมเองด้วย) ที่มาอากิบะแล้วจะไม่เข้าไปศาลเจ้าคันดะก็เหมือนจะขาดอะไรไปบ้างอย่าง ในทริปนี้พวกเราก็ไปกันเช่นเคย และแน่นอนว่าการเข้าสู่ทริปในช่วงหลังเงินตราก็น้อยลงทุกที มื้อเช้าก่อนจะเข้าไปศาลเจ้าเลยกลายเป็นคาราอาเกะคุงจากร้านลอว์สันแถวๆที่พัก
ถามว่ารสชาติต่างกับที่ไทยไหม จริงๆก็ต่างกันบ้าง ถ้าใครชอบก็ลองดูได้ เป็นโปรตีนราคาถูกที่สามารถหากินได้โดยไม่ลำบากกระเป๋าตัง ปริมาณเยอะอีกด้วย พอกินมื้อเช้ากันเสร็จก็ค่อยๆเดินแบบสโลว์ไลฟ์ ถ่ายภาพเรื่อยเปื่อย ระหว่างขึ้นเนินไปศาลเจ้าคันดะ
ศาลเจ้าคันดะในปีนี้ดูเงียบสงบกว่าที่เคยมาเยี่ยมเยือน ดูเป็นช่วงที่เป็นปกติจริงๆ มีไอศครีมมาขายบ้างแล้วเพราะอากาศเริ่มร้อน แดดก็จ้า แต่ที่มีเอกลักษณ์คือคราวนี้มี.. คุณม้า (?) มายืนให้ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคค่าอาหารหรือลูบหัวเล่นด้วย
และเหมือนเป็นธรรมเนียมไปแล้วว่าพวกเราต้องมาเดินดูแผ่นไม้ขอพร (แผ่นเอมะ) ที่จะมีนักวาดหรือแฟนๆของเลิฟไลฟ์! มาวาดกันไว้ สำหรับในปีนี้ก็เริ่มจะมีแผ่นป้ายของซีรีส์ เลิฟไลฟ์! ซันไชน์!! (LL!SS!!) มาแจม ก็ยังเป็นสัดส่วนที่น้อยอยู่ อนึ่ง ในอนิเม LL!SS!! ซีซั่นแรกเหล่าวงอควอร์สรุ่นน้องๆก็มาขอพรกันที่นี่ด้วยหละนะ แต่ที่นี่คงไม่ได้อยู่ในฐานะของสัญลักษณ์หลักแบบตอนวงมิวส์มากนัก
แต่ในส่วนของสำนักงานของศาลเจ้าเองก็ยังขายของที่ระลึกจากมิวส์อยู่นะ แถมยังมีลายเซนต์ของโซระมารุมาอวด พร้อมตั้งฟิกเกอร์มาโชว์แต่ไม่ได้ขายด้วย
สุดท้ายก่อนจะกลับออกไปช็อปปิ้งซื้อสินค้ากันต่อก็ต้องไม่ลืมที่จะวิ่งขึ้นบันไดสคูลไอดอล (?) และถ่ายรูปที่ระลึกกันอีกที ทำไมถึงไม่รู้สึกเบื่อนะ
เดินเล่นสอยหนังสือ และอากิบะกับตึกที่โดนพวกเราละเลย..
ในปีนี้จริงๆพวกเราควรจะเดินปรุกับอากิบะกันได้แล้ว แต่ว่าในความเดินปรุ ก็ยังมีความแปลกใหม่ไม่จบสิ้น..สมเป็นแหล่งติ่งที่พวกเราไว้ใจ สำหรับในคราวนี้นอกจากอาคารเดิมๆที่ต้องเข้าอยู่แล้วแบบ มันดาราเกะ และ ลาชินบัง (จะสังเกตว่าเน้นมือสอง เพราะการมาช็อปปิ้งของมือสองที่ญี่ปุ่นนั้นคุ้มค่ากว่ามากจริงๆ) คราวนี้ก็ได้เจอเข้ากับร้านมือสองใหม่ๆที่เพิ่งเปิด อยู่ด้วย เช่นร้าน สุรุกะ-ยะ (駿河屋) ร้านที่เมื่อก่อนมีจำหน่ายเฉพาะบนเว็บเท่านั้น แต่เมื่อเดินจริงๆก็ไม่ค่อยมีของที่ถูกใจเท่าไร
ที่เด็ดจริงๆสำหรับคราวนี้คือร้าน K-BOOKS ที่อยู่ในตึก เรดิโอไคคัง (ラジオ会館) มากกว่า ซึ่งต้องขึ้นไปชั้น 4 ขึ้นไป โดยตึกนี้เหมือนเป็นเมนอีเวนท์สำหรับพวกเราในครั้งนี้เลย ประเด็นคือตึกนี้นั้นเด่นมากๆ อยู่หน้าสถานีรถไฟฟ้าเลยด้วยซ้ำ แต่พวกเราไม่คิดจะเดินเข้าไปเลยในครั้งก่อน..
ภายในตึกห้ามถ่ายรูป ก็เลยอดกันไปตามระเบียบ แต่ลักษณะของ K-BOOKS นี่จะเป็นร้านมือสองที่แบ่งหมวดหมู่ยิบย่อยมาก ทั้งซีดีเพลง อนิเม ฟิกเกอร์ ของเล่นต่างๆ แยกตามเรื่อง ละเอียดไประดับแยกเป็นตัวละคร สินค้าแรร์จำนวนากแบบหนังสือก็หาได้ไม่ยาก ถ้าใครชื่นชอบการค้นหาสมบัติมือสอง ต้องมาสถานเดียว ที่สำคัญกว่านั้นคือพวกเราเดินในนี้กันเพลินมาก.. และไม่ใช่แค่ทีเดียว
สำหรับอีกที่ๆอยากบันทึกไว้ในคราวนี้คือการมา บูชิโรดสโตร์ (ブシロードストア) แบบเฉพาะกิจ ที่ชั้น 7 ตึกอากิฮาบาระเกมเมอร์ส (AKIHABARAゲーマーズ) โดยถ้าจำได้ พวกเราเดินสโตร์แห่งนี้กันมาทีนึงแล้วที่จิบะ ซึ่งนั่นเป็นสาขาใหญ่ ในตอนนี้มีมาเปิดที่อากิบะเป็นกรณีพิเศษ พวกเราเลยอดไปขอส่องดูไม่ได้เลยเชียว โดยพวกเรามาเยือนที่นี่กันสองรอบ.. ตอนรอบแรกนี้เหมือนเดินแค่ผ่านๆมาก่อน แต่ก็ได้เห็นลายเซนต์ของเหล่านักพากย์ที่คุ้นเคยมากมาย (อ๊ะ มิโมรินที่เพิ่งเจอกันไป) แถมตอนช่วงที่มามีมุมสินค้าของโซระมารุมาวางขายเป็นกรณีพิเศษด้วย ทำเอาแพตตี้ตื่นเต้นมากเลยทีเดียว
นอกนั้นก็เป็นบรรยากาศรวมๆของการเดินอากิบะในวันนี้ ซึ่งพวกเราไม่ค่อยได้ถ่ายรูปอะไรเท่าไรแล้ว.. เพราะว่าการเดินซื้อของจำเป็นต้องแอคทีฟเข้าโน่นนี่และไม่มีอารมณ์หยิบกล้องมาแชะนั่นเอง
เดินมากันเหมือนจะเยอะแต่ยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน สำหรับวันนี้เป็นอาหารจีนน — เดินมาเจอร้านๆนึงที่อยู่แถวๆตึกโยโดบาชิอากิบะ ก็เลยลองเข้าไปกินกัน ชื่อร้าน ฮิดากะ-ยะ (日高屋, Hidaka-ya) ก็เหมือนจะเป็นร้านแฟรนไชส์นั่นหละ แต่ว่ารสชาติและราคาก็อยู่ในหลักว่าโอเค กินเพื่อเพิ่มพลังงานกันแบบเต็มๆได้ ทริปยังอีกนานกว่าจะดึก
เอาหละ ทริปต่อไปของพวกเราจะไปเน้นแต่ความโรแมนติคๆ กันแล้ว ให้สมกับที่มีชื่อเล่นของทริปนี้ว่าทริปโรแมนติค 2016 (ฮา) ตามกำหนดการพวกเราจะไปแถวๆ โตเกียวทาวเวอร์ (แต่ไม่ได้ขึ้นแน่ๆ..เพราะเป็นทริปประหยัด) โดยจะไปกันช่วงเย็นๆ ฉะนั้นเวลาที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็เดินเข้า เดินออก ขึ้นตึก ลงตึก ซื้อของกันตามสนุก แล้วก็หิ้วไปวางที่ห้องกันสบายๆก่อนจะไปกันต่อ
ด้วยเหตุนี้ การที่เช่าบ้านใกล้อากิบะ หรือแหล่งซื้อของที่คุณชอบ จะทำให้คุณมีพลังงานเหลือๆสำหรับการเดินเที่ยวได้ทั้งวัน ไม่ต้องแบกของขึ้นหลังไปมาทั่วโตเกียวอีกแล้ว ขอแนะนำมากๆครับ
แต่มาโตเกียวในคราวนี้ ตัวผู้เขียนซื้อของมาน้อยมากเลย หลักๆก็มีเนนโดรอยด์แค่ตัวเดียว หนังสือติ่งๆ (CUT ฉบับ µ’s Final LoveLive!) โดจินชิเล็กๆน้อยๆไม่กี่เล่ม
ชมวิวยามค่ำคืนกับจุุดชมวิวแบบฟรีๆ
ปกติแล้วถ้าเราอยากจะดูวิวมุมสูงในโตเกียว เราก็จะนึกถึงการไปโตเกียวทาวเวอร์ / โตเกียวสกายทรี / ตึกศาลาว่าการกรุงโตเกียว ใช่ไหมหละ แต่ว่าถ้าอยากจะชมวิวของหอคอยที่ว่ามานี้ในมุมสูง.. ก็คงต้องเสาะหาตึกอื่นเพื่อที่จะดู (และคงจะต้องประหยัดในการเข้าชมด้วย) ด้วยเหตุนี้ เราจะไปที่ ที่ทำการเขตบุงเคียว (Bunkyo Civic Center, 文京シビックセンター) ที่จะเปิดให้ขึ้นชมถึงช่วงดึกๆ และเนื่องจากเป็นสถานที่ราชการ จึงเข้าชมฟรีด้วย.. เราสามารถเข้าถึงศาลาว่าการดังกล่าวได้จาก สถานีโคราคุเอ็น (Korakuen Station) ที่อยู่ในสายมารุโนะอุจิ/หรือสายนัมโบคุ เดินแค่เพียงเล็กน้อยก็จะถึงจุดหมาย โดยลักษณะของตึกนั้นสังเกตได้ไม่ยาก เพราะจะเป็นตึกที่ชั้นบนคล้ายจานบิน
โดยพอเราเดินเข้าไปช่วงเย็นๆ (ตอนนั้น 19:36 น.) ก็เล่นเอาสับสนหน่อยๆว่ามันเป็นสถานที่ๆเปิดให้เข้าแน่หรือ เพราะดูคนน้อยและเป็นที่ๆเป็นทางการพอสมควร แต่ว่าก็ลองเข้าไปด้อมๆมองๆก็เจอกับคำว่า Sky View Lounge ที่ชั้น 25 และสามารถขึ้นลิฟต์ไปได้โดยตรงโดยไม่ต้องตรวจกระเป๋าหรือว่าต่อคิวใดๆ เหมือนตอนที่ไป ตึกศาลาว่าการกรุงโตเกียว เลย/
เมื่อขึ้้นมาถึงชั้นชมวิวต้องบอกว่าบรรยากาศโรแมนติคมากๆ (?) และ..ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้วิวตอนยามดึกของโตเกียวในมุมสูงที่อยากถ่ายไว้มานานแล้วซักที ประทับใจมาก จริงๆอยากได้เลนส์ซูมที่ความยาวโฟกัสมากกว่านี้ซักหน่อยน่าจะเหมาะ (ซัก 200 mm) ขึ้นไป และที่แน่ๆคือที่นี่ไม่สามารถใช้ขาตั้งกล้องได้ (ฮือ) ที่สำคัญคือมีแสงสะท้อนจากกระจก ฉะนั้นสิ่งที่ควรทำถ้าต้องการถ่ายแบบเจ๋งๆเลยคงจะไม่พ้นต้องพกผ้าสีดำมาบังเงากระจกนั่นเอง
แต่ก็ได้มาแล้ว หนึ่งในภาพดีๆสำหรับทริปนี้ !
และเนื่องด้วยไม่มีการจำกัดเวลา ไม่มีค่าตั๋ว ทำให้เหมาะสำหรับจะพากันมาดูวิวสบายๆ ยามดึก ผ่อนคลายวันที่เหนื่อยล้าได้ดี และมีแอร์ปรับอากาศเย็นๆด้วย หลังจากเดินกันจนพอใจแล้ว ก็ยังคงเหลืออีกที่ๆเราจะไปดูกันซักทีนั่นคือโตเกียวทาวเวอร์!~ โดยจากซีวิคเซนเตอร์เราจะเดินอีกเล็กน้อย ไปลงสถานีคาสึกะ (Kasuga Station) แล้วขึ้นสายมิตะเพื่อไปขึ้นที่สถานีโอนาริมง (Onarimon Station) ทีนี้ปัญหาคือมันไม่มีวิธีที่เราจะไปโตเกียวทาวเวอร์ได้แบบง่ายๆ เดินน้อยๆ เลยต้องเดินลัดเลาะเลียบวัดโซโจจิ (Zojoji Temple, 増上寺) ไปเรื่อยๆ โดยไปไม่ยากเพราะว่ามีป้ายบอกเส้นทางตลอด รวมถึงมีนักท่องเที่ยวก็เดินไปดูกัน
เมื่อมาถึงใต้โตเกียวทาวเวอร์ก็พบวิวอันสวยงาม (ต้องมาจริงๆ มันสวยและรู้สึกดีที่ได้มามาก เหมือนกับว่านี่หละ มาถึงโตเกียวแล้ว) และนักท่องเที่ยวมากมายทั้งคนถิ่น ชาวจีน ชาวไทย ทุกคนก็แวะมาถ่ายรูปโตเกียวทาวเวอร์กันนี่หละ แต่สิ่งที่ตัวผู้เขียนเสียดายมากก็คือ..ดันพกเลนส์ที่ความกว้างไม่พอจะเก็บทั้งหมดของโตเกียวทาวเวอร์ได้นี่เอง (พกเลนส์ 50mm ฟิกซ์ไป..) ฉะนั้นใครที่อยากถ่ายรูปแบบเต็มๆ สิ่งที่ควรเอาไปก็คือเลนส์กว้างๆ และขาตั้งกล้องนั่นเอง
นับว่าคุ้มค่าที่ได้มาแล้วหละ และในคราวนี้ก็อดที่จะขอเข้าไปเดินเล่นนิดหน่อยไม่ได้ แม้ว่าจะไม่ได้เสียเงินค่าขึ้นชมก็ตาม (ท่านละ 900 เยน) แต่ก็เดินเล่นแล้วเจอกับร้านขายของจากอนิเม.. อะไรกัน นี่จะไม่พ้นร้านแนวนี้เลยหรือ!
ร้านหมวกฟางวันพีซที่โตเกียวทาวเวอร์
ตามที่เกริ่นไปในย่อหน้าก่อนนี้ เดินๆไปก็เจอกับร้านวันพีซ.. ก็ตรงๆ ขายสินค้าจากมังงะยอดฮิต no.1 ของชาวญี่ปุ่น วันพีซ (One Piece, ワンピ-ス) โดยเหมือนว่าในช่วงนี้ทางวันพีซจะจัดนิทรรศการและร้านขายของที่นี่เป็นแบบถาวร ทำให้ถ้าใครอยากมาซื้อของ เล่นเครื่องเล่น หรือกินอาหารที่ภัตตาคารบาราติเอของซันจิ ก็แวะมาได้โดยไม่ต้องไปแสวงหาที่อากิบะกันเลย (ดูรายละเอียดได้ใน https://onepiecetower.tokyo/)
ภายในร้านก็รวบรวมสินค้ามากมายนั่นหละ ดูเหมือนว่าชาวต่างชาติจะชอบกันมากที่เดียว การมาตั้งที่โตเกียวทาวเวอร์นี้เหมือนจะได้ผลดีกว่าที่ิคิดจริงๆด้วย
สุดท้ายเพราะความประหยัดและไม่ได้ติ่งอะไรวันพีซมากขนาดนั้นก็เลยเน้นเดินเล่นและซื้อติดมาเพียงเยลลี่ผลปีศาจเพราะแค่อยากกินเท่านั้นแหละ (ราคาก็แพงเป็นเงาตามตัว) ก่อนจะกลับที่พักอย่างสบายๆ เพราะวันนี้ไม่ได้ลุยโหดหรือว่าอะไรมากนัก
การเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ + ปิดท้ายวัน
ระหว่างที่กำลังเดินทางในวันที่ไปเดินหาหอคอยโตเกียวกัน ตัวผู้เขียนกับเมคุงเพื่อนร่วมทริปก็เกิดคิดขึ้นมาว่าอยากจะลองไปออนเซนดู (บ่อน้ำร้อนน่ะหละ) แต่ทีนี้ตามแผนเดิมคือพวกเรากะจะไปลองแช่ที่ โอเอโดะออนเซนโมโนกาตาริ (Oedo-Onsen Monogatari, お台場 大江戸温泉物語) ที่โอไดบะ แต่ว่าเนื่องจากวันพรุ่งนี้ยังต้องไปเที่ยวต่างจังหวัดกันทั้งวัน (แน่นอนว่ามาญี่ปุ่นแถวโตเกียวต้องขอออกไปต่างจังหวัดหาประสบการณ์กันซักหน่อย) เลยอยากประหยัดตังกันเล็กๆ และเมื่อพิจารณาว่าต้องจ่ายราวๆ 2,000 เยน + ค่าเดินทางเข้าโอไดบะที่ต้องไปด้วยโมโนเรล พวกเราก็เลยตัดสินใจว่าเดี๋ยวไปลองหาที่อาบน้ำสาธารณะ หรือ เซ็นโต (銭湯) ที่ราคาเข้าครั้งนึงราวๆ 500 เยนแทนละกัน… ซึ่งมีอยู่ที่นึงในละแวกห้องพักของพวกเราด้วยหละ รับรองว่าตอนหน้าต้องเป็นประสบการณ์ที่สนุกแน่นอน..
ปิดท้ายด้วยอาหารพีคๆประจำวันของแพตตี้
สำหรับในตอนนี้ต้องขอปิดตอนกันไปก่อน สำหรับพุดดิ้งตะกี้ที่ว่าอาหารพีคๆเพราะนอกจากขนาดที่ใหญ่โตของมันแล้ว รสชาติไม่ได้เรื่องเลย.. อย่าเผลอไปลองซะหละ~~