คืนนี้เรานอนกันแบบเต็มอิ่มมากๆเลยพวกคุณขอบอก คือราวๆตี 2 ถึง 7 โมง ตื่นมาก็อยากจะไปเที่ยวแถวๆย่านที่พัก (อาซากุสะ) ในช่วงเวลาแบบชาวบ้านปกติกันบ้าง อ้อ บทความนี้เป็นบทความตอนที่ 4 จากทั้งหมด 4 บทความ ดูย้อนได้ตามสารบัญดังนี้
สารบัญ: โตเกียวเที่ยว 0
คลิกเพื่อดูสารบัญบทความ
ก่อนเดินทาง
- ไปก็ไป
- ภาคของการจองตั๋วเครื่องบินและจองโรงแรม
- จัดกระเป๋าแบบหนาวๆ?
- วางแผนเที่ยว
- วันเดินทาง
- ดิวตี้ฟรีที่ดอนเมือง
- ฝันไปแล้วว่าจะได้นอน
- ค่าใช้จ่ายก่อนถึงญี่ปุ่น
วันที่ 1
- ตม.
- เข้าเมือง: จากนาริตะไปอาซากุสะ
- อุเอโนะ: สวน ศาล และตลาดของอร่อย
- กินซ่า: ย่านคุณนาย (?!) และแวะกินขนม
- โอไดบะ: สัมผัสความหนาวกลางทะเลและสักการะกันดั้ม
- โตเกียวสกายทรี
- ค่าใช้จ่ายวันที่ 1
วันที่ 2
- ทสึกิจิ: ตลาดปลายามเช้ากับคิวเดือด
- จิโยดะและอิเคะบุคุโระ
- อากิฮาบาระ: ภาคราเม็งหลอนและศาลเจ้าคันดะ
- อากิฮาบาระ: ภาคช็อปปิ้ง
- โตเกียวทาวเวอร์และอาซากุสะยามค่ำคืน
- ค่าใช้จ่ายวันที่ 2
วันที่ 3 และกลับจากการเดินทาง
อาซากุสะ: เข้าวัดเช้าวันอาทิตย์
ที่แน่ๆคือหิวยามเช้า อยากจะลองจิบกาแฟสดดูบ้าง เลยหาคาเฟ่แถวนั้นนั่งกินอาหารเช้า ร้านชื่อ โค:ฮิ:คัง (KO:HI:KAN, 珈琲館) จุดเด่นคือแพนเค้กที่ดูสวยงามมาก และคำเปรยใต้ป้ายร้านว่าขายกาแฟคั่วหอมกลิ่นถ่านไม้
เปิดๆดูเมนูก็ราคาไม่ได้อะไรมาก ราวๆ 300 เยน ถึง 500 เยน โดยตอนแรกกะจะกินแพนเค้ก แต่ไปสะดุดตากับเมนูอาหารเช้าเบาๆ ไข่ดาวแฮมสลัด 160 เยน เลยสั่งมากินเล่นๆก่อน พร้อมกาแฟคั่วถ่านไม้ 510 เยน (อันนี้แพงจริง กาแฟดำร้อนแก้วละ 150 จัดว่าหรูหราเลย) โดยเมื่อได้กินแล้วก็ต้องพบว่ามันทำมาได้เหมือนรูปภาพจริงๆน่ะหละไม่ได้เอากูเกิ้ลหามาทำเมนูร้านแต่อย่างใด ร้านนี้มีเมนูภาษาอังกฤษ คุณพนักงานก็พูดภาษาอังกฤษได้ด้วย
สำหรับไฮไลท์ กาแฟคั่วถ่านไม้ เครื่องดื่มประจำร้าน มาพร้อมกับน้ำตาลก้อนหยาบไม่ฟอกสี เลยกินด้วยวิธีเอาน้ำตาลไปวางบนช้อนแล้วจุ่มกาแฟให้ซึมเข้าไปในน้ำตาลก้อน กินน้ำตาลทั้งก้อนแล้วค่อยจิบกาแฟ เพื่อให้รสชาติของกาแฟนั้นตัดรสและคอนทราสออกมา พบว่ามีรสชาติกาแฟที่ดี ขมแต่พอเหมาะ ตามด้วยรสคาราเมลหลังความขม จากนั้นกลิ่นหอมของถ่านไม้จะช่วยให้ความขมกลมกล่อมในปากอีกที นับว่าชงกาแฟได้ดี ไร้รสเปรี้ยว สมกับราคาแล้ว
อาซากุสะยามเช้านั้นถ้าไม่นับในส่วนของวัดจะยังไม่ค่อยมีร้านรวงต่างๆเปิดมากนัก ที่เปิดก็เป็นร้านดั้งเดิมจริงๆบางร้าน ร้านเหล้าท้องถิ่น เป็นต้น อนึ่งหลังจากกินเสร็จ เดินเล่นชมวิวซักพักก็กินมิสเตอร์โดนัท (ที่เราคุ้นเคยน่ะหละ) โดยช่วงนี้มีโปร 100 เยนเลยจัดเฟรนช์ครูลเลอร์มา 1 ชิ้น (100 เยน)
เดินเล่นอีกนิดเจอล็อคเกอร์หยอดเหรียญนอกสถานีรถไฟใต้ดิน พบว่าราคาแค่ 200 เยน ถูกกว่าในสถานีนิดหน่อย จริงๆที่ว่าจะพูดหลายครั้งแล้วคือจักรยานในย่านนี้จอดกันเยอะมากแถมไม่ล็อกล้ออีกตะหาก ไม่กลัวหายกันเลยสินะ และเมื่อถึงเวลาราวๆ 8 โมง พวกเราก็เดินเข้าไปที่ประตูสายฟ้า พบเจอกับน้องสาว และวันนี้เราเริ่มต้นเช้าด้วยการเดิน ถนนนากามิเสะ (Nakamise-Dori, 仲見世通り) ถนนขายของสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยววัดเซนโซจิ
แน่นอน เราไม่ได้อยู่ที่โตเกียวนี้วันแรก ฉะนั้นเรารู้แล้วว่าสถานที่สำหรับนักท่องเที่ยวจะขายแพงกว่าเสมอ (ฮา) และกฎนั้นก็ใช้กับถนนเส้นนี้ได้เช่นกัน แต่ละร้านมีราคาที่สูงกว่าปกติเล็กน้อย แต่ก็พอรับได้เพราะว่าต้องแบกมาเปิดขายกันยามเช้า แต่ละร้านมีของขายที่ หลาก หลาย มาก คือเยอะแบบละลานตา เอาไว้ดูหลายๆอย่างได้อย่างเพลินๆ เช่น
เขาบอกกันว่าขนมขึ้นชื่อของอาซาคุสะจะเป็นขนมแป้งเค้กย่างไส้ถั่วแดงอย่างหนึ่งชื่อ นินเกียวยากิ (Ningyoyaki, 人形焼) อ่านมาว่ามันมาจากคำว่าตุ๊กตา+ย่าง เลยมักจะเป็นรูปสัตว์ มาสคอต บลาๆ แต่ละร้านเวลาทำก็จะมาโชว์กันหน้าร้านเลยด้วย
ถามว่าซื้อมั้ย จริงๆก็กะจะซื้อแต่ยังอิ่มเลยช่างๆไปก่อน นอกจากขนมพวกนี้แล้วตามทางก็ยังขายพวกสินค้าจุกจิก ของเล่น พวงกุญแจ กาจาปอง (อีกแล้ว) สินค้าวัฒนธรรมเช่น ชุดยูกาตะ พัด หน้ากาก ผ้า มูลี่ โมบาย ฯลฯ
เดินไปผ่านๆก็แวะเข้าวัดตามสไตล์ ที่เดียวกับที่มาถ่ายเมื่อคืนนั่นแล แต่ว่าวันนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศของทัวร์ทั้งชาวญี่ปุ่น จีน ไทย เยอะแยะแน่นขนัดสมเป็นวัดดัง เล่นเอาที่ไม่มีคนเมื่อคืนเป็นเรื่องตลกไปเลย
เข้ามาในส่วนวัดถึงจะงงๆเล็กน้อยที่เห็นพี่ตำรวจยืนอยู่ในกรง..เอ๊ะ (จริงๆป้องกันโดนโยนเหรียญใส่หน้าหละมั้ง)
ไหว้พระเสร็จเดินรอบๆ ก็มีซุ้มแผงลอย (จะต่างจากตรงถนนนากามิเสะตะกี้ อันนี้จะเป็นแผงลอยชั่วคราว) ดูๆไปก็ไม่พ้นได้กินนินเกียวยากิจนได้ แต่ราคาถูกกว่าเยอะ (รสชาติคงไม่เท่า แต่บรรยากาศการกินเดียวกัน) มาเลือกกินร้านนี้เพราะเห็นเป็นคุณป้าคนเดียวนั่งทำเอง ขายเอง ไม่มีลูกมือ เลยแตกต่างจากเจ้าอื่นจนอยากลอง
ขาเดินกลับออกมาไปอีกทางหนึ่งแทนที่จะสวนมาทางเดิม พบเจอร้านค้ารายทางอีกเล็กน้อย เอ่อ ละแวกนี้คึกครื้นขนาดนี้เลยหรอ ก่อนนี้ไม่เคยมาในเวลาที่คนเยอะเลย (หัวเราะ)
ทิ้งท้ายว่าสิ่งของละแวกนี้เกือบจะราวๆตลาดนัดเลยนะ แบบตั้งขายกันหน้าร้าน กับสิ่งที่แบบดูจงใจญี่ปุ่นนั้นเยอะมาก เช่น เสื้อ I ♥ JAPAN เปรียบเป็นไทยก็คงกางเกงมวยไทยน่ะหละ
ได้ของเล็กๆน้อยๆ (ซื้อผ้าที่ระลึกให้ครอบครัวหน่อย) ก็เปิดกูเกิ้ลเดินหาสถานีอาซากุสะสายกินซ่าอันนี้อย่าเพิ่งเมา เพราะมันมีสถานีอาซากุสะของสายโทเอย์ด้วยนะ
จากนี้เราจะไปที่ๆคล้ายๆกับอากิบะ ที่ไปด้วยกิเลสของตัว Wซังที่อยากไปจับจ่ายสินค้าติ่งๆ.. กับหาดูอุปกรณ์กล้องมือสอง เราไปสถานที่ๆในลิสท์ทัวร์ไม่ค่อยมีใครไปกัน ไปนาคาโนะกันเลย
นาคาโนะ: อีกที่ของพวกมาเนีย
นาคาโนะเดินทางเข้ามาลึกในตัวเมืองนิดนึง ใช้เวลาเดินทางเกือบ 40 นาที โดยจากสถานีอาซากุสะ (สายกินซ่ามุ่งหน้าชิบูย่า) ลงต่อรถที่สถานีนิฮองบาชิ (Nihonbashi Station) ขึ้นสายโทไซ (Tozai Line) และนั่งจนสุดทางจะถึงสถานีนาคาโนะ (Nakano Station) อ้อ จากใต้ดินจะขึ้นมาบนดินและใช้สถานีร่วมกับ JR ด้วยนะ
“ย่านนี้มีอะไร” เหล่าผู้เดินทางมาด้วยกันถามข้าพเจ้า ไอ้ครั้นจะบอกว่ามาหาสินค้าติ่งๆมือสองที่มันดาราเกะ (Mandarake) ในนาคาโนะบรอดเวย์ (Nakano Broadway) ก็จะแลดูตรงตัวเกินไป เลยเอาเป็นว่ามันเป็นย่านการค้าที่ดี น่าสนุก และมีของเยอะ เอาเป็นว่าพวกเราเดินๆแยกกันซักชั่วโมงกว่า แล้วกลับมาเจอกันตอนเที่ยงละกัน ก็จัดไปตามนั้น
แต่ก็ไม่ได้โม้อะไร ย่านนี้เดินสนุกดีทีเดียว เป็นส่วนเดินช็อปปิ้งในร่มที่สินค้าหลากหลาย ราคาปกติ โดยส่วนแรกจะเป็นส่วนของ นาคาโนะ ซัน มอลล์ (Nakano Sun Mall)
โดยก่อนจะเข้าไปข้างใน ตั้งใจว่าจะไปหาอุปกรณ์กล้องมือสองจากร้านขึ้นชื่อร้านใหญ่แถวนี้ ฟุจิยะคาเมร่า (Fujiya Camera, フジヤカメラ) ร้านติดๆกันหลายร้านเลยทีเดียว ขายแยกเป็นรายยี่ห้อ
เดินเล่นในร้านก็ตื่นตาตื่นใจกับราคาดี..การซื้ออุปกรณ์มือสองในญี่ปุ่นจะง่ายนิดนึงตรงมีเกรดประเมินมาให้เสร็จสรรพ อุปกรณ์ครบไม่ครบ มีกล่องไม่มี ราคาเท่าไร ก็แปะให้เห็นกันตรงนั้นเลย แต่ทั้งนี้ตอนจะเลือกก็คงต้องตาดีได้ตาร้ายเสียอยู่ดี
อีกอย่างคือทำ TAX FREE -8% บวกกับโปรของบัตรเครดิตที่มักจะลดได้อีก 5% ทำให้น่าจะน่าราคาต่ำกว่ามาก กะว่าคราวหน้ามาจะจัดหนัก… รอก่อนๆ
หลังจากนั้นเดินใน ซัน มอลล์ อีกซักพัก ที่นี่ก็เดินสนุกดี มีร้านหลากหลายพอควรผสมผสานกับวัฒนธรรมมาเนียๆ โอตะหน่อยๆ เช่นพวก เครนเกม เกมเซนเตอร์ ฯลฯ ร้านของกินหลายร้านก็น่าสนใจ โดยเฉพาะร้านเค้ก..
อย่างที่เล่าไปก่อนนี้ว่ามีพวกเครนเกมผสมด้วย เลยเสียทรัพไปกดๆหน่อย.. แต่อด T U T ที่นี่บรรยากาศดูบ้านๆกว่าแถวอากิบะ พนักงานรีเซ็ตของช้ากว่าด้วยนะ
เดินมาจนสุดทางเดินของ ซัน มอลล์ ก็จะเจอกับอาคารสูง 4 ชั้น นาคาโนะบรอดเวย์ ด้วยทางเข้าอาคารเป็นสีแดงสดอันเป็นเอกลักษณ์
เขาว่ากันว่าที่นี่มีสเน่ห์ที่ต่างจากอากิบะเยอะอยู่ ของแรร์บางอย่างก็มาเจอได้ที่นี่ (โดยเฉพาะของหายากมือสองคุณภาพดี) โดยถ้าให้เปรียบอากิบะจะเหมือนเป็นห้างสรรพสินค้าสำหรับสินค้าโอต้า.. แต่ถ้าเป็นนาคาโนะจะฟีลลิ่งราวๆคลองถม ปนๆ มั่วๆ เก่าๆหน่อย (สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเรโทร) สับสน แต่ก็สนุกและอบอุ่นดี โดยที่นี่เป็นสาขาหลักของร้านมือสอง มันดาราเกะ ฉะนั้นมันจะมีร้านย่อยๆมากมายกระจายในอาคารนี้ทั้ง 4 ชั้นนั่นหละ ก็เดินกันได้ตามอัธยาศัย
อะ สำหรับการเดินในนี้ถ้ามีเวลาก็จะสนุกๆในแต่ละชั้นได้เลยหละ แต่ถ้ากลัวจะหาร้านที่ชอบไม่เจอ.. ก็อย่าลืมพกแผนที่ไปด้วยหละ ตัว Wซัง ก็ใช้เจ้านี่หละเดินในนี้
เดินกันจนพอใจถึงเวลาเที่ยง ก็โบกมือบ๊ายบายจากนาคาโนะบรอดเวย์ ด้วยของฝากที่อยู่ในมือ
มือสองจากประเทศญี่ปุ่นนั้นอันตรายมากต่อกระเป๋าตังของนักช็อป.. แค่มันไม่ได้ออกมาจากช็อป แม้ไม่ได้แกะซีล ก็นับว่าเป็นราคามือสองและซื้อได้ในอัตราลดมากกว่า 50% แล้ว (ได้แผ่น BD ข้างบนมาในราคา 7,000 เยน) แต่ยังไงก็ตาดีได้ตาร้ายอดหละนะ และต่อจากการช็อปปิ้งที่แสนแฮปปี้ ต่อไปนี้คือการเดินทรหดตั้งแต่เที่ยงยันดึก เริ่มจากชินจูกุ
ชินจูกุ: ชมเมืองแล้วเยือนศาลเจ้าเมย์จิ
จากนาคาโนะ ย้อนกลับด้วยเส้นทางเดิม (สายโทไซ) ไปลงที่สถานีอิดาบาชิ (Iidabashi Station) จากนั้นขึ้นสายโอเอโดะ (Oedo Line) ก็มาถึงหนึ่งในชุมทางรถไฟและการเดินทางที่ใหญ่โตมากแห่งหนึ่งของโตเกียว สถานีชินจูกุ (Shinjuku Station)
โดยเมื่อออกจากรถไฟมาแล้วพบว่า ชุมทางใต้ดินของที่นี่นั้นเหมือนห้างขนาดใหญ่เลยทีเดียว ใหญ่มา กว้างมาก และแบ่งเป็นหลายโซน.. จริงๆรับปากว่าจะไปเดินทางระบบซีบิลซิสเต็มจำลองจากอนิเมเรื่องไซโคพาส (PSYCHO PASS, サイコパス) ที่ช่วงที่มาเนี่ยติดตั้งไว้แถวๆสถานีใต้ดินชินจูกุ แต่ว่ามัน ก ว้ า ง จริงๆนะ..คือหลงทางจนหิว
ประกอบกับในช่วงนั้น รูดๆทวิตเตอร์ เจอว่าในญี่ปุ่นมีเมนูใหม่ของเบอร์เกอร์คิง เป็นเบอร์เกอร์จุ่มชีสฟองดู เลยจัดมาซัก 1 ชิ้น.. นับว่าอร่อยดี แต่คุณภาพก็เท่ากับไทยอยู่นะ
แต่กะเพาะคราก หิวมาก เลยกินแซนวิชหมูทอดแบรนด์ซาโบเต็น (Saboten, さぼてん) ที่มีสาขาในไทยด้วยอะหละ ซักหน่อย ไม่รู้อุปาทานไปเองไหมแต่กินที่นี่รู้สึกถูกกว่ามาก และรสชาติโอเคกว่าเยอะ
ปล. ไม่ได้กินข้าวร้านเดียวกับก๊วน เพราะก๊วนอยากกินข้าวแกงกะหรี่ (เบื่อแล้ว!)
การที่มาชินจูกุนี้มีจุดมุ่งหมายอยู่นะ คือจริงๆหลังจากพวกเราวืดที่จะขึ้นที่สูงมาถึง 2 วันแรก ด้วยเหตุผลทั้งงกเงิน หรือจะหนาว (เหตุผลแรกน่าจะเด่นชัดมากกว่า) โดยเราจะไปที่ศาลาว่าการกรุงโตเกียว (Tokyo Metropolitan Government Building, 東京都庁) เพื่อชมวิวจากที่สูงกันแบบฟรีๆ จากสถานีชินจูกุ เดินไปได้ไม่ยากนักเพราะว่ามีป้ายนำทางตลอดเวลาเลยด้วย
เดินไปซักพักก็ถึงจุดหมายที่เล็งไว้ (10 นาที) ตึกแฝดศาลาว่าการกรุงโตเกียว โดยที่นี่จะเรียกว่าเป็นแลนด์มาร์คของย่านชินจูกุก็ว่าได้ โดยแวบแรกคือร้างคนมาก กลัวจะปิด (มาวันอาทิตย์พอดี..) แต่ว่าก็ไม่ได้ปิดแบบที่คิด เปิดให้บริการตามปกติ และดูตามตารางแล้วเปิดถึง 5 ทุ่มซะด้วย โดยจะแบ่งออกเป็นตึกเหนือและตึกใต้
โดยไปต่อคิวด้านล่างซักแปป แสกนอาวุธ เสร็จแล้วก็ตรงดิ่งขึ้นไปชั้น 45 ได้โดยตรง ข้างบนก็เป็นคาเฟ่เล็กๆ มีขายของที่ระลึกเล็กน้อย แต่ที่สำคัญคือวิวฟรีๆ จากมุมสูงของโตเกียวนี่หละ
ตึกเหนือเขาว่าปิดตอน 5 ทุ่ม จริงๆควรขึ้นมาในช่วงเวลาเช้าตรูฟ้าสาง หรือยามสนธยา หรือดึกไปเลย น่าจะได้เพลิดเพลินกับการถ่ายวิวมากกว่านี้ ลองจัดตารางเวลามาให้ถูกกันดู
โดยจากมุมมองข้างบนจะเห็นว่ามีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่อยู่..และนั่นเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าเมย์จิที่เราจะไปต่อ แต่ให้เดินคงเท้าโป่ง เลยลงมาขึ้นสถานีโทโชมาเอะ (Tochomae Station) ไปลงที่สถานีโยโยงิ (Yoyogi Station) ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะเดินไปเข้าศาลเจ้าเมย์จิ
.
.
.
และนั่นคือความผิดพลาดอย่างแรง เพราะตอนแรกดูจากในกูเกิ้ลแมป พวกเราคิดว่าคงจะเดินตรงลัดลงมาได้เลย สบายๆ แต่ความจริงแล้วคือมีรั้วกั้นยาว..ต้องไปทางเข้าที่ถูกต้อง (ดีนะพอจะมีทางเข้าจากฝากเหนือ) ถ้าจะไปลงให้ใกล้สุดคงจะต้องลงที่สถานีใต้ดินเมย์จิจินกุมาเอะ (Meijijingumae Station) มากกว่า.. ทำให้พวกเราต้องเดินอยู่ในแหล่งที่อยู่อาศัย ตรอกซอยซอย อย่างเหนื่อยกันซักพักยาวๆ
เดินไปอยู่นานมากจนเจอทางเข้าศาลเจ้าเมย์จิ (明治神宮, Meiji Shrine) คือจากบรรยากาศในเมือง ก็เข้าสู่บรรยากาศขลังๆ ดูโบราณๆทันทีเลย.. ทางเข้าก็เป็นทางดินโรยหิน สองข้างทางก็เป็นป่า เป็นเนินเล็กๆ ไม่ชันมาก ระยะทางเดินนานพอสมควรเลย ยิ่งสำหรับคนที่เหนื่อยๆมาทั้งวันแล้ว ตรงนี้ถือเป็นช็อตทรมาน
ที่น่าประทับใจคือศาลนี้คนมาเยอะมาก คนญี่ปุ่นเองเนี่ยหละ เดินเข้ากันไม่ขาดสายเลย ตอนแรกก็คิดว่าทำนองเดียวกับที่ศาลเจ้าคันดะรึเปล่า มีเทศกาลรึเปล่า
เดินมาซักพักใหญ่ก็ถึงตัวศาลเจ้าแล้ว (แวะล้างมือทั้งๆที่รู้ว่าหนาว..อยากทำตามธรรมเนียมเพราะอุตสาห์เดินมาตั้งไกล)
เข้ามาในตัวศาลเจ้า คนเยอะมากจริงๆ เห็นมีต่อคิวกันโยนเหรียญด้วย น่าจะมีเทศกาลอะไรบางอย่าง แต่หาข้อมูลก็ไม่ได้พบเจอ (มาตามหาในเว็บทีหลังนี่หละ) โดยรวมแล้วศาลเจ้าที่นี่สวยมาก ทุกอย่างดูรักษาไว้เป็นอย่างดี มาแล้วรู้สึกเย็นเข้าไปในใจเหมือนได้พักผ่อนซักพักเลย
เดินเล่นถ่ายรูป ต่อคิวซื้อโอมาโมริ (เครื่องราง) เสี่ยงเซียมซี แขวนป้ายขอพร ตามสเต็ปการเที่ยวศาลเจ้าซะให้เต็มที่ (เดินนาน)
หลังจากฟ้าเริ่มมืด เราก็เดินออกจากศาลเจ้าเมย์จิ ระหว่างทางเดินกลับก็ได้เจอกับกำแพงถังเหล้าสาเกที่อ่านแล้วพบว่าเป็นของจากที่ต่างๆที่เอามาบูชาเทพเจ้าที่ศาลเจ้าแห่งนี้
เดินกันมาเนิ่นนานจนถึงทางออกก็ได้พบว่า แถวๆทางออกศาลเจ้าเมย์จิมีสถานีรถไฟใต้ดิน ซึ่งมันใกล้กว่ามากกก ควรเข้าศาลเจ้าจากที่นี่มากกว่า.. อา แต่ว่าก็ไม่เป็นไร จะไปช้าหรือเร็วก็ได้เที่ยวเหมือนกัน และสุดท้ายเราจะเดินไปย่านชิบุยะ (Shibuya) โดยผ่านไปเรื่อยๆจากฮาราจูกุกัน โดยจะเป็นจุดมุ่งหมายสุดท้ายของพวกเราแล้ว
ชิบุยะ: กว่าจะเจอฮาจิโค
จากทางออกศาลเจ้าเมย์จิก็ราวๆ หกโมงครึ่งจวนจะทุ่มแล้ว ทริปนี้อยากจะสัมผัสบรรยากาศของโตเกียวให้ได้เยอะๆเท่าที่จะเป็นไปได้ เลยเลือกที่จะเดินไป รับลมหนาวไป ดูบรรยากาศแบบในตัวเมืองใจกลางเมืองแท้ๆไปเรื่อยๆ ก็ได้พบกับการต่อคิวซื้อ
ในไทยต่อคิวกันยังไง ที่นี่ก็ต่อราวๆนั้นหละ แต่มาต่อกันตรงฟุตบาทแทน เดินในย้านแถวๆนี้มีแต่ของที่ดูเป็นคนเมื๊องคนเมือง และที่สำคัญคือคนเยอะมากๆ เหมือนว่าปริมาณคนน้อยๆที่เจอมาตลอดวันมาเดินแถวนี้เลย (ฮา)
ฟ้ามืด เดินนานก็เกิดหิว แต่จุดมุ่งหมายวันนี้คือกะจะกินเนื้อย่างราคาไม่เกินพันบาทซักทีให้พุงกาง (?) เลยแค่แวะกินเครปบรรเทาหิวไปก่อน สั่งไม่ยาก แม้จะเป็นร้านเครปก็ใช้มุขเดิมๆคือหยอดตู้ได้อยู่ดี
แถวๆหน้าร้านก็จะมีหนุ่มสาวแวะกินเครปกัน เจริญหูเจริญตาดี ด้วยวัฒนธรรมเห็นว่าจะไม่เดินกินกัน แต่ว่ายืนกินได้เป็นเรื่องปกติ หลังจากนั้นก็เดินชมวิวยามเย็นย่ำ ตากความหนาวมาเรื่อยๆ แม้จะเป็นการเดินเฉยๆ แต่โดยส่วนตัวแล้วบรรยากาศมันช่างดีจริงๆ ท้องฟ้าที่เล่นสีส้มสลับน้ำเงินเข้มก็ชวนให้ถ่ายรูป
แต่ว่าไม่ได้เดินกันเรื่อยเปื่อย คือแม้กระทั่งในความประหยัดยาจกก็ยังมีความกระหายที่จะซื้อของ โดยก่อนมา Tซัง ประกาศกร้าวว่า อยากสอยรองเท้าโอนิซึกะไทเกอร์ (Onitsuka Tiger) ที่ต้นกำเนิดซักคู่ แล้วหาๆข้อมูลมาเขาบอกมาว่าให้มาสอยที่ห้างพาร์โก (PARCO) ที่อยู่แถวๆชิบุยะนี่หละ เลยเดินทางตามหากันเพื่อให้เจอด้วย แต่ก่อนจะเจอก็เจอกับตึกแลนด์มาร์คตึกนึง ตึกทาวเวอร์ เรคคอร์ด (Tower Records) ร้าน (?) ขายซีดีเพลงที่น่าจะใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ไม่สิ น่าจะใหญ่ที่สุดในโลก
ในครั้งหน้าคิดว่าจะมาสอยแผ่นของน้องๆเบอร์รีซ์โคโบที่นี่ (?) ถ้าไม่ได้เจอที่ร้านมือสองไปก่อนหละนะ ฮ่าๆ หลังจากค้นพบทาวเวอร์เรคคอร์ด เดินอีกแปปก็ได้เจอกับห้างพาร์โกตามที่ตั้งใจแล้ว และสโตร์ของโอนิซึกะไทเกอร์ก็อยู่ที่ชั้นล่างของที่นี่
พอลงมาก็เจอกับรองเท้าหลากหลายรุ่น ทาง Tซัง ตรวจสอบราคาพบว่า “ถ้าเป็นรุ่นผลิตในเวียดนามถูกกว่ากันแค่พันเดียว แต่ต้องมีโปรโมชั่นลด 30% ด้วย (ตอนนั้นร้านมีโปร)” และ “ถ้า Made in Nippon นี่ห่างกว่าที่ไทยจริง ถูกกว่าราว 7 พัน แต่ว่าถึงจะถูกกว่า ก็คู่ละเป็นหมื่นอยู่ดี”
.
.
สรุปว่าพี่ก็ไม่ซื้ออยู่ดี แต่ก็ได้ข้อคิดหละนะว่าถ้าจะซื้อของที่ญี่ปุ่นคงต้องเป็นของเกรดดีๆ ทำในประเทศ จะห่างกันน่าซื้อกว่าเยอะ ปิดท้ายด้วยมาสคอต
อะก่อนจะไปหาข้าวเย็นกิน ก็ต้องไปดู “แยกชิบุยะ (Shibuya Crossing)” เพื่อไปดูภาพคุ้นตาที่เห็นจากตามซีรีส์ต่างๆหรือรายการนำเที่ยว แยกที่คนข้ามไปมาเยอะแบบสุดๆ แบบมืดฟ้ามัวดิน และ..เดินหาไม่ยากเลยเพราะในบริเวณแยกนี้คนเยอะจริงงง
คุณเห็นสตาร์บัคส์นั่นไหม ที่นั่นหละที่เค้าว่าเป็น Sigtseeing Spot หรือจุดสำหรับการถ่ายรูปมุมสูงของแยกชิบุยะที่ดีที่สุด (จริงเปล่านะ..) เลยคิดว่าจะขึ้นไปกินกาแฟรอถ่ายรูปดู
สตาร์บัคส์อยู่ชั้น 2 และแน่นอนว่าขึ้นไปยังไงก็ไม่ว่าง รอยังไง..ก็ไม่ว่าง โดยเฉพาะที่นั่งติดกระจก และลองเดินขึ้นไปชั้นอื่นๆก็พบว่าไม่เจอที่นั่งหรือจุดชมวิวอื่นๆอีกเลย (ร้องไห้) เวลาก็ลดลงเรื่อยๆ เลยเลือกจะไปถ่ายที่ตัวแยกโดยตรงก็ได้
การถ่ายรูปในบริเวณนี้ใช้ขาตั้งกล้องยาก..ไม่มีมุมสูงพอที่จะให้วางได้นิ่งๆเลย พยายามอยู่หลายแชะจนได้รูปที่ถึงพอใจ ก็ออกจากบริเวณแยกเพื่อไปหาเนื้อย่างกินแถวๆที่พัก
กลับ…เฮ้ยลืมไป ที่นี่ต้องไปหารูปปั้นของสุนัขยอดกตัญญู ฮาจิโค หนึ่งในจุดนับพบ..จริงดิ คือเดินวนอยู่นานมาก แมปก็เพี้ยน (…) หาทางไปไม่ถูก เดินวนอยู่ราวๆ 10 กว่านาทีก็เจอ แถวเอาจริงๆคือใกล้กับจุดที่ไปยืนถ่ายรูปด้วย
ตรงฮาจิโคนี่คนเยอะมาก แล้วก็คนสูบบุหรี่เยอะมากๆด้วย.. เป็นน้องหมาเมาควันไปแล้ว เร็วๆนี้เห็นว่ามีรูปปั้นเจ้าหมาได้เจอเจ้าของ ไว้มีโอกาสคงได้ไปเยี่ยมชม อนึ่ง ขากลับอาซากุสะจากชิบุยะนี่พวกเราหาสถานีรถไฟไม่เจอ.. ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเคยอ่านหนังสือนำเที่ยวหรือกระทู้พันทิปเคยบอกไว้ว่า ถ้าขอความช่วยเหลือถามทางจากชาวญี่ปุ่น เขาจะถึงขั้นเดินไปส่งกันเลยทีเดียว
เลยลองเลือกถามทางจากวัยรุ่นชายวันใกล้ๆกันแถวนั้น ผลก็ปรากฎว่าเขาพาเราไปส่งได้จริงๆ.. คือประทับใจจริงๆนะเนี่ย เดินไกลด้วยอะ (ที่หลงเพราะว่าทางขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินอยู่ชั้นสอง.. นึกไม่ถึงจริงๆ) นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก และหลังจากนั้นก็กลับสถานีอาซากุสะ
กินและสอยของคืนก่อนกลับ
สุดท้ายหลังจากกินนิดๆหน่อยๆมาทั้งวัน (?) คืนก่อนกลับพวกเราเลยเลือกที่จะกินเนื้อย่างบุฟเฟ่ต์ในราคาที่พอรับได้ (สมเป็นทริปราคาประหยัดจริงๆ) โดยเมื่อลองมาเดินหาในย่านแล้วพบว่า หาไม่เจอ.. เดินอยู่วนไปมาเกือบชั่วโมงจนเกือบจะเข้าร้านเหล้าหรือแฟมิลี่มาร์ทแทนแล้วก็เจอจนได้! แต่เนื่องจากเป็นการหาแบบสุ่มๆเลยไม่รู้จะเป็นอย่างไร.. มื้อสุดท้ายของทริปที่ญี่ปุ่นเลือกกินที่ร้านเนื้อย่างบุฟเฟ่ต์แบบเฟรนไชส์ กิว คาคุ (Gyu-Kaku, 牛角)
เข้าปุปก่อนอื่นก็ไปนั่งโต๊ะ บอกกินแบบบุฟฯ (ทาเบโฮได = กินไม่อั้น) คนละ 2,980 เยน เสร็จแล้วก็สั่งซอฟท์ดริงค์แบบรีฟิลมากินคนละ 1 (380 เยน) ตามด้วยเนื้อซี่โครงแบบพรีเมี่ยม 1 ถาด (790 เยน) จากนั้นก็หรรษากับการกิน อนึ่ง..มีข้อประหลาดใจอย่างหนึ่งคือ ร้านนี้มีเมนูภาษาอังกฤษ
.
.
แต่พอพูดอังกฤษตามเมนู คุณพนักงานเค้าไม่เก็ตอะ #ร้องไห้หนักมาก
คุณภาพของเนื้อก็จัดว่าอร่อยใช้ได้ ย่างไฟได้หอมดี ข้าวต่างๆก็โอเค จะขัดใจก็ตรงน้ำจิ้มไม่แซบ (แหงหละ) ที่ตลกอีกอย่างคือการสั่งซอฟท์ดริงค์.. เกิดอยากกินอันแปลกๆ มันเขียนว่า เรียลโกลด์ (Real Gold, リアルゴールド) คือตอนแรกก็ไม่รู้ว่าคืออะไรก็เลยกินไปสามแก้วสี่แก้ว มารู้ทีหลังว่ามันคือเครื่องดื่มชูกำลัง ไอ้ที่ห้ามกินเกินวันละ 2 ขวดน่ะหละ!!! ซัดไปเต็มเหนี่ยวเลย
หมดจากการตระเวนร้านเนื้อย่างก็หมดช่วงเที่ยวของทริปนี้แล้ว แวะซื้อของฝากกันที่ดองกี้ (เจ้าเดิม) พวกขนมต่างๆก็ถูกได้มาตรฐาน พวกคิทแคทชาเขียว ขนมกินเล่น บลาๆ ของที่ระลึกสำหรับตัวเอง ได้มันเผาญี่ปุ่นกับสตรอว์เบอร์รี่มากินปิดท้ายวัน เอ่อ สตรอว์เบอร์รี่ถูกกว่าที่กินที่ตลาดอาเมโยโกะมาก
เดินทางกลับประเทศไทย
วันนี้พวกเราเข้าที่พักกันราวๆตี 2 แต่ต้องไปรอขึ้นรถไฟเที่ยวแรกกันตอนตี 5 เนื่องจากเครื่องออก 9 โมงเช้า เลยแทบจะนอนน้อยมาก – มากที่สุด จัดกระเป๋าให้เตรียมพร้อมเดินทาง พอตี 4 ตื่นก็ออกจากห้องพักกันเลย (โยนกุญแจไว้ที่ลอบบี้ เอาจริงๆพวกเราแทบจะไม่ได้อยู่ในห้องพักเลยนะเนี่ย..ไม่ได้เจอเจ้าของโรงแรมเลย ดาดฟ้าก็ไม่ได้ขึ้น!!!)
หลังจากเจอน้องสาวที่แทบไม่ได้นอนเหมือนกัน ก็เดินทางไปสถานีอาซากุสะ (สายอาซากุสะ โตเอย์ซับเวย์) แล้วก็เนื่องจากตั๋ววันเราหมดแล้ว วันนี้เลยต้องซื้อกันเอง เปลี่ยนภาษาเป็นอังกฤษ เลือกแบบไม่ต้องต่อ (Keisei Narita Sky Access Exp.) รวดเดียวถึงเลย แต่ทว่าพอซื้อแล้วตรวจสอบดีๆ.. เที่ยวที่จ่ายไป 1290 เยนนี่ออกตอน 6 โมงนิดๆ แต่เรามาตั้งแต่ตี 5 เลยเอาตั๋วราคาแพง นั่งแบบธรรมดา (Keisei Main Line) ไปต่อรถเอาแทน นับเวลาเดินทางแล้วมากกว่า แต่ว่าไปถึงเร็วกว่า ไม่ต้องรอแกร่วที่สถานีใต้ดิน
หลังจากต่อรถไปทีนึงอย่างเกือบงง (ขอบคุณ Hyperdia ที่ช่วยให้ไม่หลงทาง..) ก็มาถึงนาริตะอย่างสะดวก เช็คอินด้วยช่องทางแอร์เอเชียเอกซ์ (N) ที่เห็นเด่นชัดมาก.. เหมือนเป็นส่วนสำหรับเช็คอินที่เพิ่งเพิ่มเข้ามา
หลังจากนี้ก็เข้าไปเดินเล่นในส่วนดิวตี้ฟรี ซื้อชอคโกแลตรอยซ์ (Royce’) แบบเคลือบป๊อปคอร์นมากินเล่นๆด้วยเศษเหรียญที่มีอยู่ ร้านรวงต่างๆเปิด แต่ก็มีบางส่วนที่มีการปิดปรับปรุง ทำให้ร้านหายไปบางส่วน เดินซื้อของเสร็จก็แวะกินข้าวเช้าซักมื้อที่ร้านกาแฟ เอกเซลซิออร์ คาเฟ่ (Excelsior Caff’e)
พอถึงเวลาก็ไปที่เกทรอขึ้นเครื่อง โดยรวมแล้วดิวตี้ฟรีของนาริตะก็โอเคเลยทีเดียว ดีกว่าดอนเมืองเยอะ.. ที่สำคัญที่สุดคือน้ำเปล่า 115 เยน (ข้างนอกเราก็หาซื้อกันได้ในราคานี้ ดูไม่ชาร์จเท่าไร) ส่วนก่อนกลับต้องเล่าเล็กน้อยว่า น้องสาวผู้ไม่คิดจะทำประกันอุบัติเหตุ ล้มหัวทิ่ม… ดีนะไม่เลือดตกยางออกอะไรแค่หัวโนเล็กน้อย กลายเป็นว่าคนที่ไม่ได้ทำประกันอะไรเลยดันเกิดอุบัติเหตุซะงั้น!!!
ตรงนี้ตกใจเล็กน้อยตรงมีกลุ่มนักเดินทางจากไทยคุยกันหน้าตู้กาจาปองแล้วตกใจว่ามันคืออะไร.. เฮ้ยนี่มันขาออก พวกคุณไปอยู่ไหนกันมาเลยไม่เจอเจ้าตู้นี้เนี่ยยย
เมื่อถึงเวลา 9 โมง พวกเราก็ขึ้นเครื่องและกลับถึงดอนเมืองโดยสวัสดิภาพ ไม่สิ ขากลับมีสภาพอากาศเลวร้ายเล็กน้อยทำให้เครื่องสั่นไปหลายทีหน่อย แหม.. แต่เมื่อกลับมาก็ต้องพบกับระบบขนส่งแบบไทยๆอย่างการนั่งแทกซี่ ใจนึงก็คิดว่าคุ้นเคยดี แต่ว่าก็อยากจะใช้ระบบขนส่งมวลชนที่ดีกว่านี้จังน้า
ค่าใช้จ่ายวันที่ 3
- อาหารเช้าและกาแฟของโค:ฮิ:คัง: 670 เยน
- เฟรนช์ครูลเลอร์ของมิสเตอร์โดนัท: 100 เยน
- นินเกียวยากิ: 300 เยน
- ชีสฟองดูเบอร์เกอร์ของเบอร์เกอร์คิง: 590 เยน
- แซนวิชหมูทอดของซาโบเต็น: 480 เยน
- โอมาโมริของศาลเจ้าเมย์จิ: 2,000 เยน
- เครปหวานของโมมิแอนด์ทอย์ส: 480 เยน
- ชาเขียวร้อนหยอดตู้: 120 เยน
- บุฟเฟ่ต์เนื้อย่าง+พรีเมี่ยมและซอฟท์ดริงค์ของกิวคาคุ: 2,980+380+790 = 4,150 เยน
- สตรอว์เบอร์รี่และมันเผาของดองกี้ฯ: 450 เยน
- รวม: 9,220 เยน (2580 บาทที่เรท 0.28)
- แทกซี่ขากลับบ้าน: 250 บาท
อนึ่ง ไม่ รวมค่าของฝากและของติ่งและค่าเล่นเกม ค่าหยอดกาจาปอง ค่าโดจิน ค่าดีวีดี ฯลฯ (สินค้าช็อปปิ้ง) โปรดใช้วิจาณญาณในการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
ค่าใช้จ่ายรวมทั้งทริป (ไม่รวมของฝาก)
- 31,900 บาท
บทสรุป: ทำไมต้องเป็นเที่ยว 0 โตเกียว
การไปญี่ปุ่นเที่ยวนี้ของ Wซัง จริงๆแล้วเกิดขึ้นมาซ้อนกับอีกทริปที่ตั้งใจจะไปตอนเดือนเมษายน แต่ไปทริปนี้ก่อนด้วยเนื่องจากสัญญากับเพื่อนสนิทเอาไว้มานานแล้ว เลยไปกับ Tซัง ก่อน เลยแทนที่จะเรียกว่าเที่ยวที่ 1 ก็ขอเลือกว่าเที่ยวที่ 0 ละกัน ส่วน 0 ในอีกความหมายคงเป็นอากาศเฉียด 0 ด้วย…
การไปเที่ยวกันเองแบบเพื่อนๆกันโดยไม่มีไกด์หรือคนรู้จักที่ญี่ปุ่นนำไปนั้นไม่ได้ยากนัก ใครๆก็ลองทำได้ ศึกษาข้อมูลกันซักนิดแล้วไปลองกันเน้อ ด้วยความประทับใจนี้ คุณจะกลับมาเที่ยวอีกครั้งแน่ๆ