Skip to main content

Tokyo-20150109-DSC00995

หลังจากพวกเรามาถึงที่ท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะ ก็ได้เวลาเข้าสู่ทริปในวันที่ 1 อย่างเป็นทางการ~~~ เนื่องด้วยไม่เคยมาญี่ปุ่นกันซักคนทุกสิ่งอย่างล้วนแปลกใหม่ ก่อนอื่นก็มาเข้าเมืองกันก่อน อนึ่งบทความนี้เป็นบทความที่ 2 จากทั้งหมด 4 บทความ ติดตามได้ในหัวข้อสารบัญด้านล่างนี้

สารบัญ: โตเกียวเที่ยว 0

คลิกเพื่อดูสารบัญบทความ

ก่อนเดินทาง

วันที่ 1

วันที่ 2

วันที่ 3 และกลับจากการเดินทาง

ตม.

ตรวจคนเข้าเมืองของประเทศญี่ปุ่นแต่งกายดูเนี๊ยบมากจริงๆ..วันที่ไปถึงนี่ออกจะเช้าพอสมควรคือราวๆ 7 โมงเช้า รอคิวแค่ประมาณ 15 นาทีก็ได้ตรวจแล้ว

คุณจะได้เจอกราฟฟิคในทุกที่นับแต่บัดนี้

คุณจะได้เจอกราฟฟิคในทุกที่นับแต่บัดนี้

การตรวจคนเข้าเมืองไม่ได้มีอะไรเข้มงวดเป็นพิเศษนัก ปัจจุบันนี้พวกเราชาวไทยสามารถเข้าญี่ปุ่นเพื่อท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องทำการขอวีซ่าเป็นระยะเวลา 15 วัน อา..ตรงนี้มีปัญหานิดหน่อยคือตัว Wซัง ดันไปโอฮาโยกับคุณพี่ตม. ผลคือฝอยกลับมาเป็นภาษาญี่ปุ่น แถมไม่ได้เปลี่ยน UI ตรงกล้องถ่ายรูปให้เป็นภาษาอังกฤษ.. โชคดีที่ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

เข้าเมือง: จากนาริตะไปอาซากุสะ

หลังจากนั้นก็ไปสอยบัตรนั่งรถไฟฟ้าสายสีส้ม-เคย์เซย์นาริตะสกายแอคเซส (Keisei Narita SKY ACCESSS Line) เพื่อนั่งแบบต่อเดียวจบ ราคา 1,290 เยน พร้อมกับตั๋วนั่งรถไฟใต้ดินแบบไม่อั้น 3 วัน ราคา 1,500 เยนจากบูทขายตั๋วของบริษัทเคย์เซย์ (Keisei) โดยตั๋วนี้จะทำให้พวกเราได้นั่งโตเกียวเมโทร (Tokyo Metro) และโตเอย์ซับเวย์ (Toei Subway) ที่ครอบคลุมทั้งโตเกียวได้แบบสบายๆ แต่ต้องใช้พาสปอร์ตในการซื้อด้วยนะ

บูทเคย์เซย์

บูทเคย์เซย์ หาไม่ยากหรอก..แต่มันต้องเดินลงมาชั้นนึงก่อนหลังออกจากตม.และศุลกากร

หลักการซื้อของกับคุณน้าพนักงานชาวญี่ปุ่นก็ไม่ยากมากนัก ส่วนมากในสนามบินทักษะภาษาอังกฤษจะดีกันอยู่แล้วน่อ แต่อย่าเพิ่งเสียเวลากับตรงนี้มาก แนะนำว่าได้ตั๋วแล้วให้รีบไปรอขึ้นเดินทางกันดีกว่า ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าๆถึงจะเข้าตัวเมืองโตเกียวได้

อ้อ อย่าลืมเปิดพ็อคเกตไวไฟที่เช่ามาจากเมืองไทยด้วยหละ ปกติแล้วแบตเตอรี่ของพ็อคเกตไวไฟจะอยู่ได้ราวๆ 7-8 ชั่วโมงต่อการเชื่อมต่อดีไวซ์ 2-3 เครื่อง ฉะนั้นถ้าเที่ยวนานๆอย่าลืมเอาแบตสำรองเสียบชาร์จพ็อคเกตไวไฟไว้ด้วยเน๊ อะ..รหัสของพ็อคเกตไวไฟจะอยู่หลังเครื่อง ตรงคำว่า WPA Key

สำหรับเพื่อนๆที่ไม่ชอบเล่นเน็ตตลอดเวลาจะใช้วิธีเบสิคๆแบบการซื้อแผนที่และหนังสือเดินทางก็สนุกใช้ได้เหมือนกันนะ ลองดูสิ สำหรับคณะเดินทางของเราตอนแรกก็มีหนังสืออยู่หรอกแต่ว่า Tซัง ลืมพกมา เลยต้องไปเที่ยวเอาดาบหน้า หึ

พ็อคเกตไวไฟเหมือนดั่งสายกู้ชีวิตเลยทีเดียว

พ็อคเกตไวไฟเหมือนดั่งสายกู้ชีวิตเลยทีเดียว

ตั๋วรถไฟสกายแอคเซสฯ ดูโบราณใช่ไหมหละ แต่จริงๆข้างหลังเคลือบแถบแ่เหล็ก ไฮเทคเชียว

ตั๋วรถไฟสกายแอคเซสฯ ดูโบราณใช่ไหมหละ แต่จริงๆข้างหลังเคลือบแถบแ่เหล็ก ไฮเทคเชียว

ชานชาลาสีส้มเป็นสกายแอคเซส ต่อเดียวถึงสถานีอาซากุสะ ส่วนสีน้ำเงินเป็นเมนไลน์ธรรมดาต้องไปต่อรถ ถูกกว่าแต่ก็ลำบากชีวิต

ชานชาลาสีส้มเป็นสกายแอคเซส ต่อเดียวถึงสถานีอาซากุสะ ส่วนสีน้ำเงินเป็นเมนไลน์ธรรมดาต้องไปต่อรถ ถูกกว่าแต่ก็ลำบากชีวิต

มาเช้า จึงพบเจอซาลารี่แมนมากมาย

มาเช้า จึงพบเจอซาลารี่แมนมากมาย

อาซากุสะคิต๊าา

อาซากุสะคิต๊าา

ถึงอาซากุสะแล้ว ภารกิจแรกของพวกเราคืออะไร คำตอบคือเอากระเป๋าไปเก็บยังไงหละ แม้ตอนนี้จะยังเช้าอยู่ และเวลาเช็คอินของโรงแรมที่พักจะเป็นช่วงบ่ายสองเป็นต้นไป แต่การเอากระเป๋าไปเที่ยวด้วยไม่ใช่เรื่องสนุก ให้เราไปฝากกระเป๋าที่โรงแรมจะเป็นทางเลือกที่ดีสุด โดยพวกเราเลือกพักที่ อาซากุสะเรียวคังโทไคโซ (Asakusa Ryokan Toukaisou, 浅草旅館 東海荘) โฮสเทลสองดาวราคาไม่ถูกไม่แพง มีห้องน้ำในตัว มีอ่างน้ำร้อน มีทาทามิ!

สัญลักษณ์สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน

สัญลักษณ์สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน

โยไควอชก็เป็นอีกหนึ่งในอนิเมที่เจอโคตรบ่อยเลย..

โยไควอชก็เป็นอีกหนึ่งในอนิเมที่เจอโคตรบ่อยเลย..

มีคนบอกว่าญี่ปุ่นมีตู้กดน้ำเยอะ แต่ไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้

มีคนบอกว่าญี่ปุ่นมีตู้กดน้ำเยอะ แต่ไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้

ออกจากสถานีเดินทางไปโรงแรม สำหรับความรู้สึกแรกที่ได้มาโตเกียว ต้องบอกเลยว่า หนาว… อากาศระดับเลขตัวเดียวใกล้ 3-5 องศานี่แม้จะอยู่ในตัวเมืองก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน สำหรับ Tซัง เพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่เคยปรามาสไว้ว่าหนาวเท่าภูเรือก็เริ่มสั่น พอถึงที่พักก็ต้องหยิบเสื้อมาใส่เพิ่มเติม.. หึ จ่ายตังฝากเป๋าที่ราคา 21,000 เยนแล้วก็รีบออกมา ส่วนน้องสาวผู้ร่วมทริปเลือกพักที่ อาซากุสะโฮเตลวาโซ (Asakusa Hotel Wasou, 浅草ホテル和草) ที่อยู่ใกล้ๆ ได้ข่าวมาว่าที่พักโอเคดี เฟรนด์ลี่สำหรับผู้หญิงคนเดียวไปพักเหมือนกัน

ย่านอาซากุสะที่พวกเราพัก

ย่านอาซากุสะที่พวกเราพัก

อยู่ไม่ห่างจากโคมแดงยอดฮิตมากนัก

อยู่ไม่ห่างจากโคมแดงยอดฮิตมากนัก

และแน่นอนมีรถลากชมเมือง ถามว่านั่งไหม คำตอบคือไม่ (ไม่มีตัง)

และแน่นอนมีรถลากชมเมือง ถามว่านั่งไหม คำตอบคือไม่ (ไม่มีตัง)

ฟุนัชชี่นี่หว่า

ฟุนัชชี่นี่หว่า

ตอนนี้สิบโมงนิดๆ แต่ถ้าให้ย้อนความคือแทบจะไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันตั้งแต่สตาร์บัคส์ของเมื่อวานแล้ว– ฉะนั้นมื้อแรกในโตเกียวคืออาหารที่สมกับเป็นญี่ปุ่น นี่หละจิตวิญญาณของชาวอาทิตย์อุทัย

.

.

แมคมัฟฟินไก่และไข่ดาว ราคา 483 เยน เซ็ตพร้อมโค้ก

คือเป็นอะไรที่เหมือนไทยมากๆสำหรับแมคโดนัลด์ ยืนยันในการ QC เลย -*-

คือเป็นอะไรที่เหมือนไทยมากๆสำหรับแมคโดนัลด์ ยืนยันในการ QC เลย -*-

สั่งยากไหม..บอกเลยว่ากินอาหารฟาสท์ฟู้ดนี่จะญี่ปุ่นหรือที่ไหนก็คงง่ายสุดในสามโลกแล้ว (ชี้ๆเอง กับบอกเป็นเซ็ต ทานนี่หรือเอากลับ) อา..แต่ที่ไทยอร่อยกว่าตรงมีซอสให้เติมแบบอันลิมิตด้วยนะ (ฮา)

อุเอโนะ: สวน ศาล และตลาดของอร่อย

คิวต่อไปของเราคือเขตอุเอโนะ โดยอันดับแรกจะไปดูสวนเรื่อยเปื่อยซักพัก เราก็ขึ้นเมโทรไปด้วยตั๋ววันที่ซื้อมาก่อนนี้นั่นหละ (ตอนเปิดใช้งานครั้งแรกจะนับเป็นวันแรกที่เริ่มใช้) โดยเราเดินทางจากสถานีอาซากุสะ (Asakusa) มาสถานีอุเอโนะ (Ueno) ได้ง่ายๆด้วยเมโทรสายกินซ่า (Ginza Line อักษรย่อ G)

ตามป้ายกลมๆไปสิย์

ตามป้ายกลมๆไปสิย์

การขึ้นรถไฟใต้ดินในญี่ปุ่นไม่ได้ยากแบบที่คิดเท่าไร ถึงจะมีความซับซ้อนสูง แต่ป้ายบอกทางต่างๆในสถานีนั้นละเอียดขั้นเทพ เช่นตามที่บอกไปตะกี้ เราก็ดูว่าสายกินซ่าขึ้นทางไหน (ป้ายกลมๆสีเหลืองตัว G ตรงกลาง..) ก็เดินไปเรื่อยๆพร้อมดูว่าชานชาลานั้นปลายทางที่ไหน แค่นั้นเองจบแล้ว

มาถึงอุเอโนะเหมือนแม็คจะไม่เพียงพอ แวะฟามิมาเติมอีกนิด..กาแฟดำอีกหน่อย แต่ไอ้ที่บอกว่าข้าวปั้นสะดวกซื้อนี่มันอร่อยก็ต้องคอนเฟิร์มว่าจริงนะ ห่างไกลจากคำว่ากินกันตายพอควร

แถวๆนั้นก็เป็นทางเข้าสวนอุเอโนะ (Ueno Park, 上野公園) คือปกติเขาจะมากันตอนใบไม้ร่วงหรือใบไม้ผลิกันใช่มั้ยจะได้ดูความสวยงามเต็มๆของสวน แต่เราไปมกรา!! กำลังหนาวแบบนี้ผลที่เจอก็ไม่ต้องคาดเดา

Tokyo-20150109-DSC01078

แต่สำหรับคนถ่ายรูป มาฤดูไหนมันก็มีความหมายของมันหละ

เจอเปิดหมวกเล่นเพลงแนว Karumanta ไปหาข้อมูลทีหลังพบว่าออกมา 4 อัลบั้มอินดี้อีก

เจอเปิดหมวกเล่นเพลงแนว Karumanta ไปหาข้อมูลทีหลังพบว่าออกมา 4 อัลบั้มอินดี้อีก

ในสวนก็มีหลายอย่างรายทาง เช่น วัดคิโยมิสึคันนง (Kiyomizu Kannon-do Temple, 清水観音堂) เลยแวะทดลองไหว้เจ้าแม่กวนอิมในวัดซักหน่อย อนึ่ง หน้าวัดมีกระบวยตักน้ำให้ล้างมือชำระล้างร่างกายและบาปก่อนเข้าวัด…เลยทดลองล้างมือตามธรรมเนียมที่อ่านจากป้ายแถวๆนั้น

  • มือขวาหยิบกระบวยตักน้ำให้เต็ม ล้างมือซ้าย
  • มือซ้ายจับกระบวย ล้างมือขวา
  • มือขวาจับกระบวย ตักน้ำใส่มือแล้วบ้วนปากลงพื้น
  • จากนั้นก็เตรียมเอามือไปซุกเสื้อได้เลย คือมันเย็นมากจนบรรยายได้ยาก…

นับเป็นการเข้าวัดครั้งแรกของปี 2015 ด้วยมือที่เย็นยะเยือก

กระบวยตักน้ำดังกล่าว

กระบวยตักน้ำดังกล่าว

แกว่งระฆังขอพรเจ้าแม่กวนอิม (ข้างในห้ามถ่ายรูป มีขายของทีระลึกและเครื่องราง)

แกว่งระฆังขอพรเจ้าแม่กวนอิม (ข้างในห้ามถ่ายรูป มีขายของทีระลึกและเครื่องราง)

ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (ไม่ใช่ นั่นอยู่เกียวโต)

ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (ไม่ใช่ นั่นอยู่เกียวโต)

เบรกอารมณ์ด้วยหลินปิงจากสวนสัตว์อุเอโนะ (อารมณ์ไอดอลเหมือนหลินปิงบ้านเรา)

เบรกอารมณ์ด้วยหลินปิงจากสวนสัตว์อุเอโนะ (อารมณ์ไอดอลเหมือนหลินปิงบ้านเรา)

จากนั้นตามกำหนดการณ์คือเราอยากไปศาลเจ้าอุเอโนะโทโชกุ (Ueno Toshogu Shrine, 上野東照宮) หนึ่งในศาลที่สร้างให้โชกุนอิเอยาสุ ก็เดินๆหาเรื่อยๆ หาไม่ยาก แล้วก็ได้เจอ พอเจอแล้วก็รู้สึกขลัง (?!!) ได้เห็นชาวญี่ปุ่นหลายคนเดินเข้ามาเพื่อขอพรโดยเฉพาะ แน่นอนก็ลองทำตามสเต็บของเค้ากันบ้าง แล้วก็โยนเหรียญ 5 เยนใส่กล่องรับบริจาค

โทริอิ

โทริอิทำด้วยหิน

Tokyo-20150109-DSC01093

ทองอร่ามเลยทีเดียว

ใช้ 5 เยนเพราะเห็นว่าพ้องเสียงกับคำขอให้โชคดีอยู่กับเรา (จำมาแบบนี้)

ไม่มี 5 เยน….ใช้ 50 เยนแทนได้มั้ย

หลังจากเดินดูอะไรวัดๆมาซักพักก็หิวมื้อเที่ยงอีกทีหนึ่ง อา และเมื่อออกจากสวนอุเอโนะย้อนไปทางเดิมก็จะเข้าตลาดอาเมโยโกะ (Ameyoko, アメ横) ได้ง่ายๆ ตัวตลาดที่นี่ดูแล้วก็เป็นตลาดแบบวุ่นๆทั่วไป ของถูก มีทั้งของกิน ของใช้ ของฝาก บลาๆ นับว่าเป็นที่ๆเดินง่ายน่าเดินมาก (!)

มุมยอดฮิตสำหรับแวะถ่ายภาพ (แต่คนเดินไปมาเยอะ ต้องระวังนิด)

มุมยอดฮิตสำหรับแวะถ่ายภาพ (แต่คนเดินไปมาเยอะ ต้องระวังนิด)

อิจิโกะ 200 เปอเซนต์--เอ้ย เยน เมลอน 100 เยน อร่อยไม่ธรรมดา

อิจิโกะ 200 เปอเซนต์–เอ้ย เยน เมลอน 100 เยน อร่อยไม่ธรรมดา

หนึ่งในคำที่โดนกรอกหูมานานแล้วคือสตรอว์เบอร์รี่ของญี่ปุ่นนั้นหวานมากถึงขั้นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เลยต้องลอง..ปรากฎว่าอร่อยเหาะถึงขั้นลอยได้เลยทีเดียว เมลอนญี่ปุ่น 100 เยนนั่นก็ยอดเลย– ความชุ่มช่ำไม่ธรรมดาจริงๆ นอกจากนั้นเมื่อเดิมๆแล้วพบว่าอาหารสดอย่างปู ปลาแซลมอน ไข่ปลา บลาๆ.. น่าซื้อมากินมาก

แซลมอนน่ากินแฮะ..

แซลมอนน่ากินแฮะ..

ปู..ตัวยังกับแมงมุม

ปู..ตัวยังกับแมงมุม

รองเท้า!!! เดี๋ยว..ขายใกล้ๆกันดีจัง

รองเท้า!!! เดี๋ยว..ขายใกล้ๆกันดีจัง

บรรยากาศโดยรวมของตลาด

บรรยากาศโดยรวมของตลาด

เนื่องด้วยเราไม่ได้หาร้านอาหารที่ควรกิน (สมควรฮาราคีรีตัวเอง) แต่ด้วยพลังของเซนส์นักชิมมั่ว ทำให้เรามาลองเลือกกินร้านมินาโตยะ (みなとや) ขายพวกข้าวหน้าปลาดิบต่างๆ โดยเห็นมีพวกพนักงานมานั่งกินกันเยอะ..เดาเอาว่าน่าจะอร่อย

หน้าร้านมินาโตยะ

อืมม ยังดีที่หน้าร้านมีเมนูภาษาอังกฤษ (ตัวเล็กๆ) ให้พร้อมรูป ทำให้ไม่ยากนักสำหรับการจะสั่งกิน ร้านเป็นแบบบ้านๆธรรมดา เบียดๆหน่อย น้ำชากินฟรี มีฮีตเตอร์ตั้งไว้ให้อังด้วย แต่ประเด็นคือรสชาตินี่ไม่พลาด!!!! ใช้ได้เลยทีเดียว ถือว่าอร่อยมากสำหรับมื้อเที่ยงแรกในโตเกียว ราคาอยู่ที่ 550 – 1000 เยน แล้วแต่ความหรูหราของหน้าของดิบทั้งหลาย

ออกจะแนะนำสำหรับร้านนี้.. อร่อยและถูก คุณพนักงานสาวก็น่ารักด้วยนะคุณณ

ได้บัตรคิว รอกิน ลับตะเกียบรอแล้ว

ได้บัตรคิว รอกิน ลับตะเกียบรอแล้ว

มาแล้ว..อลังการน่ากินดี อร่อย (!)

มาแล้ว..อลังการน่ากินดี อร่อย (!)

คุณพนักงานสาว

คุณพนักงานสาว

แต่ไม่พอ ไหนๆกินแล้วต้องเอาให้สุด ข้างๆมีทาโกะยากิขาย แถมจุดขายคือราดซอสได้ไม่อั้น ปลาบ่นไม่อั้น เลยจัดมา 4 ลูก

น่ากิน (เป็นทาสทาโกะยากิ)

น่ากิน (เป็นทาสทาโกะยากิ)

ภูมิคุ้มกันความร้อนสูง สามารถกินทั้งๆร้อนๆนี่หละ

ภูมิคุ้มกันความร้อนสูง สามารถกินทั้งๆร้อนๆนี่หละ

ปิดท้ายด้วยหาน้ำกิน (เจอตู้อัตโนมัติมาหลายตู้ตั้งแต่เช้า แต่เพิ่งจะได้กดกินชาโฮจิฉะแบบร้อนเป็นครั้งแรกนี่หละ)

ร้อยเยน ขวดปุ๊กลุ๊ก

โอโตนะคิตตี้...คิตตี้วัยโตเรอะ

โอโตนะคิตตี้…คิตตี้วัยโตเรอะ

เอเลนไปทำอะไรบนเสา

เอเลนไปทำอะไรบนเสา

ต่อจากนั้นก็ไปต่อที่ย่านกินซ่า ย่านหรูหรา (..) ไปซักหน่อยเพราะก่อนจะถึงคิวเย็นที่โอไดบะ ยังเป็นเวลาบ่ายเกินที่จะไปสักการะกันดั้มที่โอไดบะ อนึ่ง เมื่อผ่านมาถึงตอนนี้ แบตเตอรี่ของกล้องก็เริ่มร่อยหรอ ด้วยความที่เป็นกล้องแบบมิเรอร์เลสและกินไฟอยู่แล้ว พอมาอยู่ในที่อากาศหนาว แบตเตอรี่ก็หมดไวมากขึ้นไปอีก

ทีนี้มันมีเรื่องอยู่อีกนิดนึง คือเตรียมแบตเตอรี่ไปทั้งหมด 3 ก้อน และคิดว่าการถ่าย 1 วันยังไงมันก็ไม่ควรเกิน 2 ก้อนจากประสบการณ์ แต่เมื่อก้อนแรกหมด ใส่ก้อนที่สอง ก็ได้พบกับประสบการณ์สยองขวัญที่ไม่อาจลืม

.

.

แบตก้อนที่ 2 โดนเดรนหายไปเหลือ 3% ในเวลา 10 นาที!!!!!!!!!!!!!!!  โอ้แม่เจ้า..หาข้อมูลด้วยไอแพดพบว่าแบตเตอรี่ที่ไม่ได้ทำการวอร์มก่อนแล้วทำการใช้งานในทันทีจะโดนสูบแบตหายไปอย่างรวดเร็ว ให้อุ่นก่อนใช้แบตนั้นๆ เช่นเอาไว้ที่อุณหภูมิร่างกาย หรือฮีตเตอร์เป่าก่อน

แต่ช้าไปแล้วเฟ้ย แบตมันหมดไปแล้ว.. พอจะแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ด้วยการเอาแบตมาถูๆกับมือให้ร้อน มันก็จะฟื้นมาทีละนิด แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไรหรอก…จำไปจนวันตายน่ะหละ ว่าแต่ชาวญี่ปุ่นเขาใช้กล้องกันยังไง อยากรู้เหมือนกันนะ

กินซ่า: ย่านคุณนาย (?!) และแวะกินขนม

ถัดจากอุเอโนะก็นั่งใต้ดินเมโทรสายกินซ่า (สายเดิม) อีกซักพักก็ถึงที่สถานีกินซ่า (Ginza) ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ โดยเมื่อมาถึงก็รู้สึกว่า..สถานีนี้มันออกแบบมาไฮโซจริงๆ..พวกการตกแต่งจู่ๆก็ดูหรูเลิศขึ้นมาเลย

มีแต่ป้ายโฆษณาที่แลดูไม่ใช่ของแบบเราๆ

มีแต่ป้ายโฆษณาที่แลดูไม่ใช่ของแบบเราๆ

กระทั่งสถานีก็แตกต่างเล็กน้อยกับที่อื่นๆ

กระทั่งสถานีก็แตกต่างเล็กน้อยกับที่อื่นๆ

แท็กซี่? เหมือนของผู้ให้บริการเจ้านี้จะดูมีระดับมาก

แท็กซี่ ? เหมือนของผู้ให้บริการเจ้านี้จะดูมีระดับมาก

ในเมื่อเป็นย่านมีระดับย่อมมากับร้านที่มีระดับ..(เรอะ) ได้เจอแอปเปิ้ลสโตร์ของแท้ด้วย!!! ดั่งมาเพื่อบูชาสตีฟจอบส์ตามโอกาสที่เคยได้ใช้ดีไวซ์แบบไอโฟนและไอแพด

แอปเปิ้ลสโตร์ สาขากินซ่า

แอปเปิ้ลสโตร์ สาขากินซ่า

ข้างในก็ราวๆแอปเปิ้ลสโตร์เก๊แบบในเมืองไทยแหละ

ข้างในก็ราวๆแอปเปิ้ลสโตร์เก๊แบบในเมืองไทยแหละ

จริงๆวัตถุประสงค์ที่มากินซ่าเพราะอยากกินร้านขนมอาเคโบโนะ (あけぼの) แค่นั้นหละ.. นี่ยังกินไม่หยุดเลยนับแต่เที่ยงมา ตอนแรกเดินหาอยู่นานเหมือนกันเพราะอินเตอร์เน็ตทรยศ ต้องเดินวนไปมาอยู่ซักพัก

พอไปถึงร้านก็พบว่ามีไม่มีภาษาอังกฤษซักตัวอีกแล้ว ทำไงดี แต่พอจะอ่านชื่อขนมออกอยู่สองอย่าง เลยสั่งแบบงูๆปลาๆมาได้กินซากุระโมจิกับไดฟูกุสตรอว์เบอร์รี่สมใจ

เจอแล้ว!!! รู้สึกขลัง

เจอแล้ว!!! รู้สึกขลัง

แพคเกจสวยงามมาก..น่าซื้อเป็นของฝากสำหรับผู้ใหญ่เป็นที่สุด (ดูดีกว่าซื้อคิทแคทไปฝาก)

แพคเกจสวยงาม..น่าซื้อเป็นของฝากสำหรับผู้ใหญ่ (ดูดีกว่าซื้อคิทแคทไปฝาก)

พวกนี้ไม่ได้ลองแฮะ

พวกนี้ไม่ได้ลองแฮะ

อันนี้น่ากินมาก ไม่มีในเว็บไซต์น่าจะเป็นสินค้าประจำฤดูกาลหละมั้ง (เดา)

อันนี้น่ากินมาก ไม่มีในเว็บไซต์น่าจะเป็นสินค้าประจำฤดูกาลหละมั้ง (เดา)

สอยมากินอย่างละชิ้นไม่แบ่งใคร

สอยมากินอย่างละชิ้นไม่แบ่งใคร

หลังจากนั้นด้วยความหนาวเหน็บระดับของภูเรือ ต้องทำให้สมาชิกทริป Tซัง แวะหาร้านยูนิโคลแถวนั้นเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายก่อน ก็คงไม่ผิดนักเพราะว่าหลังจากกินขนมเราก็จะเดินไปที่สถานีชินบาชิ (Shimbashi) ที่เลือกการเดินเพราะอยากจะเดินชมวิวมากกว่า และไม่ไกลมากนักด้วยหละ

เห็นรถตู้เล็กๆนั่นมั้ย..เห็นรถรุ่นนี้อย่างบ่อยเลย

เห็นรถตู้เล็กๆนั่นมั้ย..เห็นรถรุ่นนี้อย่างบ่อยเลย

ลืมเล่าว่าตั้งแต่มายังไม่ค่อยเห็นชาวญี่ปุ่นใส่โค้ทกันหนาวสีอื่นนอกจากเอิร์ทโทนหรือดำเลย

ลืมเล่าว่าตั้งแต่มายังไม่ค่อยเห็นชาวญี่ปุ่นใส่โค้ทกันหนาวสีอื่นนอกจากเอิร์ทโทนหรือดำ

ถ่ายวิวไปเรื่อย กับเวลาที่เริ่มเย็นย่ำ

ถ่ายวิวไปเรื่อย กับเวลาที่เริ่มเย็นย่ำ

ยิ่งเดินก็ยิ่งพบว่าเมื่อยล้าเพราะกระเป๋ากล้องที่แบกขาตั้งกล้องมานั่นหละ (แถมแบตเตอรี่ก็หมด) มาคราวหน้าคิดว่าอาจจะใช้เป้แทนกระเป๋าสะพายข้าง หรือพกขาตั้งกล้องขนาดมินิมาแทนแล้ว สังขารไม่ไหว

จริงๆเพราะหนาวมากด้วยทำให้สตามิน่าของคนหมดไวตามแบตไป ‘ ~ ‘ เดินไปซักพักก็ถึงสถานีชินบาชิ ตรงไปซื้อบัตรวันเดย์พาสของโมโนเรลสายยูริคาโมเมะ (Yurikamome) หรือที่เรียกว่ายูริคาโมเมะพาส กดๆเอาจากตู้ของสายยูริคาโมเมะก็ซื้อได้ในราคา 820 เยน

ระหว่างทางเดินจากกินซ่าไปชินบาชิ จะมีป้ายบอกไปเรื่อยๆว่าไปสายยูริคาโมเมะ แบบนี้แหละ

ระหว่างทางเดินจากกินซ่าไปชินบาชิ จะมีป้ายบอกไปเรื่อยๆว่าไปสายยูริคาโมเมะ แบบนี้แหละ

ตามสัญลักษณ์นกนางนวลทะเลไป

ตามสัญลักษณ์นกนางนวลทะเลไป

ยูริคาโมเมะพาส บัตรไม่น่ารักเลย บู่ว

ยูริคาโมเมะพาส บัตรไม่น่ารักเลย บู่ว

โอไดบะ: สัมผัสความหนาวกลางทะเลและสักการะกันดั้ม

เราจะนั่งโมโนเรลสายนี้แหละเที่ยวโอไดบะ (Odaiba) กัน ซึ่งโอไดบะเป็นแผ่นดินถมใหม่กลางอ่างโตเกียว แน่นอนว่า [หนาว] อย่างแรง… แม้กระทั่งสถานีก็หนาว เพราะเป็นแบบโอเพ่นแอร์ ว่าแต่ทั้งๆที่อยู่กลางทะเลกลับไม่ได้ไอทะเลเค็มๆเท่าไรเลย (?)

มาถึงตอนเย็นย่ำ

มาถึงตอนเย็นย่ำ

ตรงนี้มีตลกกันอย่างนึงคือ คณะทัวร์ที่อดนอนกันมา 1 คืน…เมื่อขึ้นโมโนเรลปุป ก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มาสุดสถานีโมโนเรล กำลังนั่งย้อนเรียบร้อย.. เมื่อได้สติก็แวะห้างแถวๆนั้นซักหน่อย ที่แรกคือวีนัสฟอร์ท (Venus Fort) ลงที่สถานีโตเกียวเทเลพอร์ท

มาซะเย็น

มาซะเย็น

วีนัสฟอร์ท

วีนัสฟอร์ท

ว่าแต่มาทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน..ตอนนั้นพวกเราเพิ่งตื่นจากนิทรายาว กำลังต้องหาความอบอุ่นเข้าร่างกาย เลยคิดว่ามาเดินเล่นซักแปปก็พอ หาขนมกินเรื่อยเปื่อย

เจอกาจาปองเลิฟไลฟ์..ลอง

เจอกาจาปองเลิฟไลฟ์..ลอง

Tokyo-20150109-IMG_0079

ได้เอริจิด้วย วู้ววว

ไหนๆมาแล้วก็แวะส่วนจัดแสดงรถ ฮิสตอรี่ การาจ (History Garage) ส่วนหนึ่งของธีมปาร์คเมก้าเว็บ (Mega Web) ของโตโยต้า เพราะเข้าฟรี–

ได้เจอกับ Toyota AE86 รุ่นในตำนาน..พร้อมสกรีนชื่อร้านเต้าหู้ฟูจิวาระ

ได้เจอกับ Toyota AE86 รุ่นในตำนาน..พร้อมสกรีนชื่อร้านเต้าหู้ฟูจิวาระ

เดินชมบรรยากาศทั่วไป

เดินชมบรรยากาศทั่วไป

โดยในฮิสตอรี่การาจก็จะมีพวกรถเก่าๆและของเกี่ยวข้องให้ดู ใครมีพื้นฐานเกี่ยวกับรถหรือชอบพวกนี้ก็ไม่ควรพลาดหละ

แต่ละรุ่น ช่างโบราณ

แต่ละรุ่น ช่างโบราณ

ตัววีนัสฟอร์ทเป็นห้างใหม่ๆ..คือจริงๆตามคอนเซปท์ของทริปนี้คือไม่ค่อยมีอะไรเที่ยวในห้าง แต่ว่าดูแล้วที่นี่เป็นสถานที่เหมาะกับการออกเดทเพราะบรรยากาศดี และที่สำคัญคือมีความอบอุ่นสูง (อา) การออกไปข้างนอกช่างเป็นเรื่องที่ต้องทำใจเล็กน้อยจริงๆสำหรับคนเมืองร้อน

เป็นพลาซ่าในร่มที่ทำให้บรรยากาศเป็นแบบยุโรป

เป็นพลาซ่าในร่มที่ทำให้บรรยากาศเป็นแบบยุโรป

คือจะอลังไปนะ (ฮา)

คือจะอลังไปนะ (ฮา)

ใจจริงอยากขึ้นเจ้านี่มากๆ แต่ว่าเวลาไม่พอเท่าไร

ใจจริงอยากขึ้นเจ้านี่มากๆ แต่ว่าเวลาไม่พอเท่าไร

หลังจากนั้นเมื่อเย็นย่ำได้ที่ บรรยากาศเริ่มโดนย้อมด้วยแสงสีส้ม ก็ได้เวลาที่จะไปสักการะเมนดิชของวันนี้ RX-78-2 ที่กันดัมฟรอนท์โตเกียว (GUNDAM FRONT TOKYO) ที่อยู่ที่ห้างไดเวอร์ซิตี้ (DiverCity) โดยนั่งโมโนเรลมาลงที่สถานีไดบะ (Daiba) จากนั้นก็เดินอย่างโหด.. พอเดินมาอย่างโหดก็พบว่าเดินมาจากวีนัสฟอร์ทโดยตรงใกล้กว่าเยอะเลย..

แต่ก็ทำให้พวกเราได้เจอกับตึกฟูจิทีวีตึกนี้ หนึ่งในแลนด์มาร์คของโอไดบะ

ความหนาวและลมที่พัดแรง..ทำให้ต้องแวะซื้อเครื่องดื่มร้อนอย่างหลีกไม่ได้

ความหนาวและลมที่พัดแรง..ทำให้ต้องแวะซื้อเครื่องดื่มร้อนอย่างหลีกไม่ได้

ซื้อเครื่องดื่มอุ่น อย่าลืมเลือกที่มันปุ่มสีแดง (อุ่น – あたたかい) อย่าไปเอาอันเย็นมานะ พลาดไปแล้วทีนึง..แต่ว่าการเที่ยวโตเกียวด้วยงบราคาถูก ถ้าหากระเป๋าเล็กๆมาใส่เศษตังจะสะดวกเลิศมาก เพราะจะตู้พวกนี้ หรือตู้ร้านข้าว เวลาได้ตังทอนแล้วเหรียญมหาศาลเลย

วิวดี หนาว สงบ

วิวดี หนาว สงบ

ถึงไดเวอร์ซิตี้แล้ว

ถึงไดเวอร์ซิตี้แล้ว

พอเดินถึกมาถึงหน้าไดเวอร์ซิตี้ ก็พบว่าแบตเตอรี่ของกล้องได้หมดเกลี้ยงแล้ว เอวัง พยายามเอามือมาถูๆแบตให้อุ่นก็พอจะหวังผลถ่ายได้บ้างอีกไม่กี่รูป แต่ตรงหน้าของพวกเรานั้น..ช่างอลังการเหลือเกิน ผลงานการออกแบบของทิม เรย์ อาวุธไม้ตายอันพลิกกระแสสงครามของสหพันธรัฐโลก.. โมบิลสูทตัวแรกของ อามุโร่ เรย์ นักบินในตำนาน RX-78-2 “กันดั้ม” มาอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าแล้ว ด้วยความสูง 18.5 เมตร!!! ขนาดเท่าของจริง อ๊าคคคค

อยากจะก้มกราบ

อยากจะก้มกราบ

มาช่วงดึก จึงมีแสงสีอลังการ

มาช่วงดึก จึงมีแสงสีอลังการ

ในช่วงที่ไปมีการขยับให้ดูด้วย!!! คุณพระ แต่ว่าเนื่องจากกันดั้มเครื่องนี้ผ่านการรบมาอย่างหนักหน่วงจากสงคราม 1 ปี จึงทำให้ไม่สามารถขยับได้มากกว่าแขนและหัว หวังว่าชาวโลกจะเข้าใจโดยตรงกัน

ในแถวๆนั้นมีร้านขายของเฉพาะทางสำหรับแฟนกันดั้มด้วย มีของเฉพาะถิ่นหลายอย่าง เช่น กันพลาสีสเปเชียลกันดั้มฟรอนท์ ฯลณ (ดูรายการสินค้าเอ็กคลูซีฟได้จาก http://gundamfront-tokyo.com/jp/shop/ ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น https://www.gundam-base.net/) แต่ถ้าไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมา หมุนกาจาปองแบบที่มีเฉพาะที่นี่ (มั้ง รึชั้นโดนหลอก) ไปเล่นๆก่อนก็ได้

กาจาปองแบบเอ็กคลูซีฟฟฟ

กาจาปองแบบเอ็กคลูซีฟฟฟ (เซนเซอร์หน้าตาเหยื่อ)

ดูสินค้าพวกนี้สิ หมอนนั่น..

ดูสินค้าพวกนี้สิ หมอนนั่น..

ปิดท้ายด้วยทรัสเตอร์ของปีศาจขาว

ปิดท้ายด้วยทรัสเตอร์ของปีศาจขาว

แต่ถ้าเป็นแฟนกันดั้มที่มากกว่าแค่รับชมมานิดๆหน่อยๆ..อย่าลืมขึ้นไปชั้น 7 ของห้างไดเวอร์ซิตี้ที่อยู่ข้างหลัง เพราะกันดั้มฟรอนท์มีส่วนแสดงนิทรรศการ รวมถึงมูวี่พิเศษให้ดูด้วย (ค่าเข้า 1,200 เยน) โดยในส่วนเสียตังจะมีพวกของเล่นประมาณ RG สเกล 1/1 ของสไตรค์ฟรีด้อมกันดั้ม ให้ถ่ายรูปด้วย, ภาพขนาดเท่าจริงของตัวละครต่างๆในซีรีส์, 1/1 คอร์ไฟท์เตอร์, มิวเซียมกันพลา แต่ที่เด็ดสุดคงเป็นการดูมูวี่พิเศษใน DOME-G โรงฉายภาพยนต์ในรูปแบบโดม

อนึ่ง ยูนิคอร์นกันดั้ม 03 เฟเนกซ์ (Unicorn Gundam 03 Phenex) ก็มีปรากฎตัวแค่ในมูวี่ที่นี่นั่นหละ และต้องบอกก่อนว่ามันเป็นมูวี่ที่เมื่อยคอมากที่สุดในสามโลก แต่ก็สนุกตื่นเต้น..

ในช่วงนี้ไม่มีรูป เพราะเรียนตามตรง หมดพลังงานและเมื่อยเรียบร้อยแล้ว แถมยังไม่มีกำหนดการ แวะกินขนมเล็กน้อย ใครไม่รู้จะกินขนมอะไรแนะนำร้านมันฝรั่งทอดคาลบี้พลัส..ทอดสดๆตรงนั้น ราดชอคโกแลตรอยซ์กันตรงนั้น อร่อยลืมโลก

Tokyo-20150109-DSC01202

มันฝรั่งทอดคาลบี้ สั่งแล้วรอทอดกันสดๆ

สามารถกินได้คนละถาดเลยเชื่อข้าพเจ้า คืออร่อยจริง..

สามารถกินได้คนละถาดเลยเชื่อข้าพเจ้า คืออร่อยจริง..

อะไรนะ คิตตี้อีกแล้ว

อะไรนะ คิตตี้อีกแล้ว

แต่ไม่บ่อยเท่าโยไควอช

แต่ไม่บ่อยเท่าโยไควอช

ไข่ยูริคาโมเมะ (Yurikamome no Tamago) น่าจะเป็นขนมที่ตั้งใจดันเป็นของฝากโอไดบะ แต่ไม่ได้ลอง

ไข่ยูริคาโมเมะ (Yurikamome no Tamago) น่าจะเป็นขนมที่ตั้งใจดันเป็นของฝากโอไดบะ แต่ไม่ได้ลอง

สำหรับคณะทัวร์ที่มีทั้งสาวๆและหนุ่มๆอยากจะมาสักการะกันดั้มก็มาโอไดบะกันได้นะ เพราะห้างในนี้..มีช็อปหลากหลายพอสมควร ราคาก็ไม่ห่างกับห้างระดับเซ็นทรัลในบ้านเรามากนัก (น้องสาวซื้อรองเท้าบูทกันหนาวขนฟูๆมาในราคา 6,000 เยน ตีเป็นเงินไทยก็ 2,000 บาท)

ทีนี้เป็นเรื่องราวของขากลับ นาย T ทำตั๋วพาสหาย..เอวัง เชิญซื้อใหม่ได้เลย~ จากการที่ตั๋วหายทำให้ได้พบว่าเราสามารถซื้อตั๋วแบบถูกสุด แล้วไปใช้เครื่องปรับราคาตั๋ว ตรงทางออกได้อีกที ตัดปัญหาการนับป้ายเดินทางไม่ถูก (สะดวกเหลือเกินนนน) ขากลับก็ฟ้ามืดสนิท พร้อมลืมไปว่า แบกขาตั้งกล้องมาถ่ายเรนโบว์บริดจ์ (Rainbow Bridge) นี่หว่า

เครื่องปรับราคาตั๋ว

เครื่องปรับราคาตั๋ว

เรนโบว์บริดจ์ไกลๆโน่น

เรนโบว์บริดจ์ไกลๆโน่น

ขากลับจากโอไดบะเป็นวันศุกร์เย็นพอดี ตามสถานีรถไฟฟ้าเต็มไปด้วยคนเดิน

ขากลับจากโอไดบะเป็นวันศุกร์เย็นพอดี ตามสถานีรถไฟฟ้าเต็มไปด้วยคนเดิน

แม่ค้าพ่อค้าแผงลอยนิฮงสไตล์

แม่ค้าพ่อค้าแผงลอยนิฮงสไตล์

จากนั้นก็ไปยังจุดหมายสุดท้าย

โตเกียวสกายทรี

ก่อนจะไปโตเกียวสกายทรี ตามที่บอกไปก่อนนี้ว่าเท้าแทบจะถึงขีดสุดแล้ว..และการไปโตเกียวสกายทรีดูแล้วต้องใช้พลังงาน หลังจากกลับมาถึงสถานีอาซากุสะ ใกล้แหล่งที่พักของพวกเรา จึงคิดจะใช้บริการล็อกเกอร์หยอดเหรียญ ซึ่งมีให้บริการอยู่ภายในสถานีน่ะหละ

หน้าตาล็อกเกอร์หยอดเหรียญที่กล่าวถึง

หน้าตาล็อกเกอร์หยอดเหรียญที่กล่าวถึง

มี 3 คน..เปิดตู้ 500 เยนยัดมันลงไปหมดนั่นน่ะหละ วิธีการใช้งานน่าจะคือหยอดแล้วจะเปิดได้ จากนั้นเมื่อปิดจะไขได้ 1 ครั้ง… ไม่รู้ระยะเวลานานเท่าไร ถ้าเกินวันมันจะเปิดออกแบบออโต้ไหม.. แต่ก็ยัดๆไป เพื่อสวัสดิภาพของเท้า แล้วก็ไปหาอะไรกินซะก่อน แถวๆนั้นตอนนี้ที่ยังเปิด (20:00 น.) ก็มีอีกหลายร้าน เลือกกินที่ดูราคาไม่แพงก็มาลงเอยกับร้านข้าวหน้าเนื้อมัตสึยะ (松屋) น่าจะมีร้านสาขาเยอะอยู่ คือเห็นบ่อยมาก

ป้ายร้านข้าวหน้าเนื้อ มัตสึยะ

ป้ายร้านข้าวหน้าเนื้อ มัตสึยะ

ทีนี้เป็นเรื่องราวของการหยอดตู้อีกแล้ว น่าทึ่งมาก เพราะปกติร้านข้าวในไทยเราจะชินกับการมีน้องๆพี่ๆมาถามว่า “ลื้อจะกินอะไร” สินะ แต่ว่าสำหรับร้านแบบนี้ มีพนักงานแค่ 2 คนแต่กลับรับแขกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นผลพวงมาจากตู้หยอดในร้านที่จะให้เราเลือกเมนูว่าอยากกินอะไรแล้วก็ทอนตังเสร็จสรรพน่ะหละ

พอเลือกว่าจะกินอะไร เสร็จแล้วก็ไปนั่ง ยื่น เสร็จ รอกินได้ตามสบาย

มื้อเย็นของวันแรก ข้าวหน้าเนื้อไซส์ธรรมดา ทำไมมันอร่อยจังฟะ.. (380 เยน)

มื้อเย็นของวันแรก ข้าวหน้าเนื้อไซส์ธรรมดา ทำไมมันอร่อยจังฟะ.. (380 เยน)

ไม่เคยคิดว่าอาหารการกินที่นี่จะแพงเลย..เพราะเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับที่อลังการ ก็อดคิดไม่ได้ว่า บ้านเค้ามีกฎหมายว่ารูปภาพเพื่อการโฆษณาต้องตรงกับของจริง หรือเปล่านะ~ คือเห็นภาพแบบไหน มักจะได้แบบนั้น หรือดีกว่าเสมอ ที่สำคัญคือมีน้ำชากินฟรีด้วยยย (ยอดมาก)

เดินผ่านมาอีกซักนิดนึง เจอกับไก่ทอดผู้พันแซนเดอร์ (KFC) อันนี้…อยากลองอีกเหมือนกันว่ามันแตกต่างจากที่ไทยไหม ก็เลยลองสั่งไก่ทอด 1 ชิ้น+ฟรายเล็ก 400 เยน (เกือบเท่าข้าวตะกี้) ผลที่ได้คือ เห็นภาพเป็นน่องไก่แบบไหน ของจริงก็ได้น่องไก่แบบนั้น ตรงเด๊ะ แบบไม่ต้องอุธรณ์ใดๆ

เมนูๆ สั่งง่าย

เมนูๆ สั่งง่าย

นี่เคเอฟซีไง จำไม่ได้หรอ

นี่เคเอฟซีไง จำไม่ได้หรอ

แตกต่างจากไทยเยอะ..จำไม่ได้จริงๆ

แตกต่างจากไทยเยอะ..จำไม่ได้จริงๆ

ไทยชนะในเรื่องเคเอฟซีไปอย่างขนาดลอย เอ้า ปรบมือสิรออะไรร ทีนี้ก็เดินไปเดินมา หาสถานีแถวๆอาซากุสะน่ะหละเพื่อขึ้นสายโทบุสกายทรี (Tobu Skytree Line) แค่ 1 ป้าย 160 เยน ก็จะข้ามแม่น้ำซุมิดะไปโผล่หน้าโตเกียวสกายทรีแล้ววว

ในตอนที่ไป หายากมากเลยนะสถานีนี้ ขากลับเลยได้รู้ว่าเดินวนตั้งนาน

ในตอนที่ไป หายากมากเลยนะสถานีนี้ ขากลับเลยได้รู้ว่าเดินวนตั้งนาน

พอหลังมาถึง กำลังจะแวะเข้าร้านของฝาก เพราะเขาบอกว่าโตเกียวบานาน่าลายยีราฟมีขายเฉพาะที่นี่…แต่สืบได้ความมาว่าที่นาริตะก็มีขาย เลยเอาไว้ก่อน

ลืมบอกไปอีกนิดว่ามาถึงสกายทรีก็ประมาณอีก 10 นาที 4 ทุ่ม จึงรีบออกไปชมและถ่ายรูปเพื่อเป็นที่ระลึก จากนั้นจึงกลับแบบเร่งด่วน เพราะกลัวสถานีปิดเอาของออกมาไม่ได้..

สูงมาก คอนเฟิร์มด้วยสายตา

ดูสกายทรีไปร้องเกะไปมั้ย

ดูสกายทรีไปร้องเกะไปมั้ย

รึจะจิบสาเกอุ่นๆ

รึจะจิบสาเกอุ่นๆ

หมดภารกิจ เอาของที่ล็อกเกอร์แล้ว กลับสู่ที่พัก (กระเป๋าที่ฝากไว้อยู่ในห้องแล้ว) พบว่าห้องเป็นเสื่อทาทามิตามที่คุยไว้จริงๆ สะอาดมาก ปลื้มเลยหละ ไม่เก่าเกินไปนัก

ตอนกลับดึกจนเขาปิดหมด

ตอนกลับดึกจนเขาปิดหมด แต่ล็อบบี้ยังเรียกได้ถึง 0:00 นะ

เทียบขนาดห้องเล็กๆกับกระเป๋าเดินทาง 24 นิ้ว

เทียบขนาดห้องเล็กๆกับกระเป๋าเดินทาง 24 นิ้ว

ต่อไปเป็นบทสนทนา

Wซัง: ไปแช่น้ำร้อนก่อนนะ

Tซัง: เสียเวลาหว่ะ

Wซัง: มาทั้งทีก็ต้องแช่สิวะ อากาศหนาวๆอีกนะ

เลยจัดไป..เปิดก๊อกน้ำร้อนไว้ 10 นาที เข้าไปดูยังไม่เต็ม เพราะลืมปิดจุกอ่างน้ำ เจริญ จากนั้นก็ใช้ขัน (?) พลาสติก ผสมน้ำจากอีกก๊อกให้อุ่นพอดีๆ ล้างตัวฟอกสบู่ สระผมให้สะอาด (ความรู้สึกที่อากาศหนาวๆมาทั้งวันแล้วได้อาบน้ำอุ่นกึ่งร้อน ช่างยากจะอธิบาย) จากนั้นเมื่อสะอาดแล้ว ก็แช่น้ำในอ่างเล็กๆ (ทำไมชั้นไม่ซื้อผงอาบน้ำมาด้วย) ตอนแรกร้อนนิด…พอกลั้นใจแช่ไป

.

.

.

นี่มันสวรรค์ การแช่น้ำร้อนหลังจากหนาวๆมามันช่าง.. ความเมื่อยล้าทั้งหมดหายไปเป็นปลิดทิ้ง สุดยอด นี่มันสุดยอดเกินไปแล้วววว~~~ ถ้าใครไปญี่ปุ่นแล้วพักห้องแบบมีห้องน้ำในตัว อย่าลืมแช่หละ (จริงๆครั้งหน้ามา ถึงไม่มีห้องน้ำในตัวก็คิดว่าจะลองไปหาเซ็นโตเข้า..)

ผิดคิวไปแค่อย่างเดียว คือไม่มีนมรสกาแฟไว้กินหลังจากแช่น้ำเสร็จ เสียดาย เสียดาย แต่ก็หลับอย่างรวดเร็ว ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ 4:30 น. เพื่อเตรียมตัวสำหรับพรุ่งนี้

ค่าใช้จ่ายวันที่ 1

  • ตั๋วรถไฟสายเคย์เซย์นาริตะสกายแอคเซส: 1,290 เยน
  • ตั๋ว 3 วันสำหรับรถไฟฟ้าใต้ดินโตเกียวเมโทรและโทบุซับเวย์: 1,500 เยน
  • ที่พัก 3 คืน: 10,500 เยน
  • แมคมัฟฟินไก่และไข่ดาวของแมคโดนัลด์: 483 เยน
  • ข้าวปั้นฟามิมา+กาแฟ: 236 เยน
  • ทำบุญ: 50 เยน
  • สตรอว์เบอร์นี่+เมลอน: 300 เยน
  • ข้าวหน้าเนงิโทโร่ของมินาโตยะ: 800 เยน
  • ทาโกะยากิ 4 ลูก: 200 เยน
  • โฮจิฉะร้อนของอิโตเอ็น: 100 เยน
  • ขนมหวานของอาเคโบโนะ: 670 เยน
  • ยูริคาโมเมะพาส: 820 เยน
  • กาจาปองเลิฟไลฟ์ของบันได: 300 เยน
  • ชาร้อนกระป๋อง: 120 เยน
  • ตั๋วกันดัมฟรอนท์: 1,200 เยน
  • มันฝรั่งทอดราดชอคโกแลตรอยซ์ของคาลบี้พลัส: 300 เยน
  • ล็อคเกอร์หยอดเหรียญ: 500 เยน
  • ข้าวหน้าเนื้อมัตสึยะ: 380 เยน
  • ไก่ทอด 1 ชิ้น+ฟรายเล็กของเคเอฟซี: 400 เยน
  • ค่าตั๋วไปโตเกียวสกายทรีของโทบุสกายทรีไลน์: 160+160 เยน
  • รวม: 20,569 เยน (5,759 บาทที่เรท 0.28)

Join the discussion 2 Comments

คอมเมนต์กัน!