หลังจากพวกเรามาถึงที่ท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะ ก็ได้เวลาเข้าสู่ทริปในวันที่ 1 อย่างเป็นทางการ~~~ เนื่องด้วยไม่เคยมาญี่ปุ่นกันซักคนทุกสิ่งอย่างล้วนแปลกใหม่ ก่อนอื่นก็มาเข้าเมืองกันก่อน อนึ่งบทความนี้เป็นบทความที่ 2 จากทั้งหมด 4 บทความ ติดตามได้ในหัวข้อสารบัญด้านล่างนี้
สารบัญ: โตเกียวเที่ยว 0
คลิกเพื่อดูสารบัญบทความ
ก่อนเดินทาง
- ไปก็ไป
- ภาคของการจองตั๋วเครื่องบินและจองโรงแรม
- จัดกระเป๋าแบบหนาวๆ?
- วางแผนเที่ยว
- วันเดินทาง
- ดิวตี้ฟรีที่ดอนเมือง
- ฝันไปแล้วว่าจะได้นอน
- ค่าใช้จ่ายก่อนถึงญี่ปุ่น
วันที่ 1
- ตม.
- เข้าเมือง: จากนาริตะไปอาซากุสะ
- อุเอโนะ: สวน ศาล และตลาดของอร่อย
- กินซ่า: ย่านคุณนาย (?!) และแวะกินขนม
- โอไดบะ: สัมผัสความหนาวกลางทะเลและสักการะกันดั้ม
- โตเกียวสกายทรี
- ค่าใช้จ่ายวันที่ 1
วันที่ 2
- ทสึกิจิ: ตลาดปลายามเช้ากับคิวเดือด
- จิโยดะและอิเคะบุคุโระ
- อากิฮาบาระ: ภาคราเม็งหลอนและศาลเจ้าคันดะ
- อากิฮาบาระ: ภาคช็อปปิ้ง
- โตเกียวทาวเวอร์และอาซากุสะยามค่ำคืน
- ค่าใช้จ่ายวันที่ 2
วันที่ 3 และกลับจากการเดินทาง
ตม.
ตรวจคนเข้าเมืองของประเทศญี่ปุ่นแต่งกายดูเนี๊ยบมากจริงๆ..วันที่ไปถึงนี่ออกจะเช้าพอสมควรคือราวๆ 7 โมงเช้า รอคิวแค่ประมาณ 15 นาทีก็ได้ตรวจแล้ว
การตรวจคนเข้าเมืองไม่ได้มีอะไรเข้มงวดเป็นพิเศษนัก ปัจจุบันนี้พวกเราชาวไทยสามารถเข้าญี่ปุ่นเพื่อท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องทำการขอวีซ่าเป็นระยะเวลา 15 วัน อา..ตรงนี้มีปัญหานิดหน่อยคือตัว Wซัง ดันไปโอฮาโยกับคุณพี่ตม. ผลคือฝอยกลับมาเป็นภาษาญี่ปุ่น แถมไม่ได้เปลี่ยน UI ตรงกล้องถ่ายรูปให้เป็นภาษาอังกฤษ.. โชคดีที่ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
เข้าเมือง: จากนาริตะไปอาซากุสะ
หลังจากนั้นก็ไปสอยบัตรนั่งรถไฟฟ้าสายสีส้ม-เคย์เซย์นาริตะสกายแอคเซส (Keisei Narita SKY ACCESSS Line) เพื่อนั่งแบบต่อเดียวจบ ราคา 1,290 เยน พร้อมกับตั๋วนั่งรถไฟใต้ดินแบบไม่อั้น 3 วัน ราคา 1,500 เยนจากบูทขายตั๋วของบริษัทเคย์เซย์ (Keisei) โดยตั๋วนี้จะทำให้พวกเราได้นั่งโตเกียวเมโทร (Tokyo Metro) และโตเอย์ซับเวย์ (Toei Subway) ที่ครอบคลุมทั้งโตเกียวได้แบบสบายๆ แต่ต้องใช้พาสปอร์ตในการซื้อด้วยนะ
หลักการซื้อของกับคุณน้าพนักงานชาวญี่ปุ่นก็ไม่ยากมากนัก ส่วนมากในสนามบินทักษะภาษาอังกฤษจะดีกันอยู่แล้วน่อ แต่อย่าเพิ่งเสียเวลากับตรงนี้มาก แนะนำว่าได้ตั๋วแล้วให้รีบไปรอขึ้นเดินทางกันดีกว่า ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าๆถึงจะเข้าตัวเมืองโตเกียวได้
อ้อ อย่าลืมเปิดพ็อคเกตไวไฟที่เช่ามาจากเมืองไทยด้วยหละ ปกติแล้วแบตเตอรี่ของพ็อคเกตไวไฟจะอยู่ได้ราวๆ 7-8 ชั่วโมงต่อการเชื่อมต่อดีไวซ์ 2-3 เครื่อง ฉะนั้นถ้าเที่ยวนานๆอย่าลืมเอาแบตสำรองเสียบชาร์จพ็อคเกตไวไฟไว้ด้วยเน๊ อะ..รหัสของพ็อคเกตไวไฟจะอยู่หลังเครื่อง ตรงคำว่า WPA Key
สำหรับเพื่อนๆที่ไม่ชอบเล่นเน็ตตลอดเวลาจะใช้วิธีเบสิคๆแบบการซื้อแผนที่และหนังสือเดินทางก็สนุกใช้ได้เหมือนกันนะ ลองดูสิ สำหรับคณะเดินทางของเราตอนแรกก็มีหนังสืออยู่หรอกแต่ว่า Tซัง ลืมพกมา เลยต้องไปเที่ยวเอาดาบหน้า หึ
ถึงอาซากุสะแล้ว ภารกิจแรกของพวกเราคืออะไร คำตอบคือเอากระเป๋าไปเก็บยังไงหละ แม้ตอนนี้จะยังเช้าอยู่ และเวลาเช็คอินของโรงแรมที่พักจะเป็นช่วงบ่ายสองเป็นต้นไป แต่การเอากระเป๋าไปเที่ยวด้วยไม่ใช่เรื่องสนุก ให้เราไปฝากกระเป๋าที่โรงแรมจะเป็นทางเลือกที่ดีสุด โดยพวกเราเลือกพักที่ อาซากุสะเรียวคังโทไคโซ (Asakusa Ryokan Toukaisou, 浅草旅館 東海荘) โฮสเทลสองดาวราคาไม่ถูกไม่แพง มีห้องน้ำในตัว มีอ่างน้ำร้อน มีทาทามิ!
ออกจากสถานีเดินทางไปโรงแรม สำหรับความรู้สึกแรกที่ได้มาโตเกียว ต้องบอกเลยว่า หนาว… อากาศระดับเลขตัวเดียวใกล้ 3-5 องศานี่แม้จะอยู่ในตัวเมืองก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน สำหรับ Tซัง เพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่เคยปรามาสไว้ว่าหนาวเท่าภูเรือก็เริ่มสั่น พอถึงที่พักก็ต้องหยิบเสื้อมาใส่เพิ่มเติม.. หึ จ่ายตังฝากเป๋าที่ราคา 21,000 เยนแล้วก็รีบออกมา ส่วนน้องสาวผู้ร่วมทริปเลือกพักที่ อาซากุสะโฮเตลวาโซ (Asakusa Hotel Wasou, 浅草ホテル和草) ที่อยู่ใกล้ๆ ได้ข่าวมาว่าที่พักโอเคดี เฟรนด์ลี่สำหรับผู้หญิงคนเดียวไปพักเหมือนกัน
ตอนนี้สิบโมงนิดๆ แต่ถ้าให้ย้อนความคือแทบจะไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันตั้งแต่สตาร์บัคส์ของเมื่อวานแล้ว– ฉะนั้นมื้อแรกในโตเกียวคืออาหารที่สมกับเป็นญี่ปุ่น นี่หละจิตวิญญาณของชาวอาทิตย์อุทัย
.
.
แมคมัฟฟินไก่และไข่ดาว ราคา 483 เยน เซ็ตพร้อมโค้ก
สั่งยากไหม..บอกเลยว่ากินอาหารฟาสท์ฟู้ดนี่จะญี่ปุ่นหรือที่ไหนก็คงง่ายสุดในสามโลกแล้ว (ชี้ๆเอง กับบอกเป็นเซ็ต ทานนี่หรือเอากลับ) อา..แต่ที่ไทยอร่อยกว่าตรงมีซอสให้เติมแบบอันลิมิตด้วยนะ (ฮา)
อุเอโนะ: สวน ศาล และตลาดของอร่อย
คิวต่อไปของเราคือเขตอุเอโนะ โดยอันดับแรกจะไปดูสวนเรื่อยเปื่อยซักพัก เราก็ขึ้นเมโทรไปด้วยตั๋ววันที่ซื้อมาก่อนนี้นั่นหละ (ตอนเปิดใช้งานครั้งแรกจะนับเป็นวันแรกที่เริ่มใช้) โดยเราเดินทางจากสถานีอาซากุสะ (Asakusa) มาสถานีอุเอโนะ (Ueno) ได้ง่ายๆด้วยเมโทรสายกินซ่า (Ginza Line อักษรย่อ G)
การขึ้นรถไฟใต้ดินในญี่ปุ่นไม่ได้ยากแบบที่คิดเท่าไร ถึงจะมีความซับซ้อนสูง แต่ป้ายบอกทางต่างๆในสถานีนั้นละเอียดขั้นเทพ เช่นตามที่บอกไปตะกี้ เราก็ดูว่าสายกินซ่าขึ้นทางไหน (ป้ายกลมๆสีเหลืองตัว G ตรงกลาง..) ก็เดินไปเรื่อยๆพร้อมดูว่าชานชาลานั้นปลายทางที่ไหน แค่นั้นเองจบแล้ว
มาถึงอุเอโนะเหมือนแม็คจะไม่เพียงพอ แวะฟามิมาเติมอีกนิด..กาแฟดำอีกหน่อย แต่ไอ้ที่บอกว่าข้าวปั้นสะดวกซื้อนี่มันอร่อยก็ต้องคอนเฟิร์มว่าจริงนะ ห่างไกลจากคำว่ากินกันตายพอควร
แถวๆนั้นก็เป็นทางเข้าสวนอุเอโนะ (Ueno Park, 上野公園) คือปกติเขาจะมากันตอนใบไม้ร่วงหรือใบไม้ผลิกันใช่มั้ยจะได้ดูความสวยงามเต็มๆของสวน แต่เราไปมกรา!! กำลังหนาวแบบนี้ผลที่เจอก็ไม่ต้องคาดเดา
ในสวนก็มีหลายอย่างรายทาง เช่น วัดคิโยมิสึคันนง (Kiyomizu Kannon-do Temple, 清水観音堂) เลยแวะทดลองไหว้เจ้าแม่กวนอิมในวัดซักหน่อย อนึ่ง หน้าวัดมีกระบวยตักน้ำให้ล้างมือชำระล้างร่างกายและบาปก่อนเข้าวัด…เลยทดลองล้างมือตามธรรมเนียมที่อ่านจากป้ายแถวๆนั้น
- มือขวาหยิบกระบวยตักน้ำให้เต็ม ล้างมือซ้าย
- มือซ้ายจับกระบวย ล้างมือขวา
- มือขวาจับกระบวย ตักน้ำใส่มือแล้วบ้วนปากลงพื้น
- จากนั้นก็เตรียมเอามือไปซุกเสื้อได้เลย คือมันเย็นมากจนบรรยายได้ยาก…
นับเป็นการเข้าวัดครั้งแรกของปี 2015 ด้วยมือที่เย็นยะเยือก
จากนั้นตามกำหนดการณ์คือเราอยากไปศาลเจ้าอุเอโนะโทโชกุ (Ueno Toshogu Shrine, 上野東照宮) หนึ่งในศาลที่สร้างให้โชกุนอิเอยาสุ ก็เดินๆหาเรื่อยๆ หาไม่ยาก แล้วก็ได้เจอ พอเจอแล้วก็รู้สึกขลัง (?!!) ได้เห็นชาวญี่ปุ่นหลายคนเดินเข้ามาเพื่อขอพรโดยเฉพาะ แน่นอนก็ลองทำตามสเต็บของเค้ากันบ้าง แล้วก็โยนเหรียญ 5 เยนใส่กล่องรับบริจาค
หลังจากเดินดูอะไรวัดๆมาซักพักก็หิวมื้อเที่ยงอีกทีหนึ่ง อา และเมื่อออกจากสวนอุเอโนะย้อนไปทางเดิมก็จะเข้าตลาดอาเมโยโกะ (Ameyoko, アメ横) ได้ง่ายๆ ตัวตลาดที่นี่ดูแล้วก็เป็นตลาดแบบวุ่นๆทั่วไป ของถูก มีทั้งของกิน ของใช้ ของฝาก บลาๆ นับว่าเป็นที่ๆเดินง่ายน่าเดินมาก (!)
หนึ่งในคำที่โดนกรอกหูมานานแล้วคือสตรอว์เบอร์รี่ของญี่ปุ่นนั้นหวานมากถึงขั้นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เลยต้องลอง..ปรากฎว่าอร่อยเหาะถึงขั้นลอยได้เลยทีเดียว เมลอนญี่ปุ่น 100 เยนนั่นก็ยอดเลย– ความชุ่มช่ำไม่ธรรมดาจริงๆ นอกจากนั้นเมื่อเดิมๆแล้วพบว่าอาหารสดอย่างปู ปลาแซลมอน ไข่ปลา บลาๆ.. น่าซื้อมากินมาก
เนื่องด้วยเราไม่ได้หาร้านอาหารที่ควรกิน (สมควรฮาราคีรีตัวเอง) แต่ด้วยพลังของเซนส์นักชิมมั่ว ทำให้เรามาลองเลือกกินร้านมินาโตยะ (みなとや) ขายพวกข้าวหน้าปลาดิบต่างๆ โดยเห็นมีพวกพนักงานมานั่งกินกันเยอะ..เดาเอาว่าน่าจะอร่อย
อืมม ยังดีที่หน้าร้านมีเมนูภาษาอังกฤษ (ตัวเล็กๆ) ให้พร้อมรูป ทำให้ไม่ยากนักสำหรับการจะสั่งกิน ร้านเป็นแบบบ้านๆธรรมดา เบียดๆหน่อย น้ำชากินฟรี มีฮีตเตอร์ตั้งไว้ให้อังด้วย แต่ประเด็นคือรสชาตินี่ไม่พลาด!!!! ใช้ได้เลยทีเดียว ถือว่าอร่อยมากสำหรับมื้อเที่ยงแรกในโตเกียว ราคาอยู่ที่ 550 – 1000 เยน แล้วแต่ความหรูหราของหน้าของดิบทั้งหลาย
ออกจะแนะนำสำหรับร้านนี้.. อร่อยและถูก คุณพนักงานสาวก็น่ารักด้วยนะคุณณ
แต่ไม่พอ ไหนๆกินแล้วต้องเอาให้สุด ข้างๆมีทาโกะยากิขาย แถมจุดขายคือราดซอสได้ไม่อั้น ปลาบ่นไม่อั้น เลยจัดมา 4 ลูก
ปิดท้ายด้วยหาน้ำกิน (เจอตู้อัตโนมัติมาหลายตู้ตั้งแต่เช้า แต่เพิ่งจะได้กดกินชาโฮจิฉะแบบร้อนเป็นครั้งแรกนี่หละ)
ต่อจากนั้นก็ไปต่อที่ย่านกินซ่า ย่านหรูหรา (..) ไปซักหน่อยเพราะก่อนจะถึงคิวเย็นที่โอไดบะ ยังเป็นเวลาบ่ายเกินที่จะไปสักการะกันดั้มที่โอไดบะ อนึ่ง เมื่อผ่านมาถึงตอนนี้ แบตเตอรี่ของกล้องก็เริ่มร่อยหรอ ด้วยความที่เป็นกล้องแบบมิเรอร์เลสและกินไฟอยู่แล้ว พอมาอยู่ในที่อากาศหนาว แบตเตอรี่ก็หมดไวมากขึ้นไปอีก
ทีนี้มันมีเรื่องอยู่อีกนิดนึง คือเตรียมแบตเตอรี่ไปทั้งหมด 3 ก้อน และคิดว่าการถ่าย 1 วันยังไงมันก็ไม่ควรเกิน 2 ก้อนจากประสบการณ์ แต่เมื่อก้อนแรกหมด ใส่ก้อนที่สอง ก็ได้พบกับประสบการณ์สยองขวัญที่ไม่อาจลืม
.
.
แบตก้อนที่ 2 โดนเดรนหายไปเหลือ 3% ในเวลา 10 นาที!!!!!!!!!!!!!!! โอ้แม่เจ้า..หาข้อมูลด้วยไอแพดพบว่าแบตเตอรี่ที่ไม่ได้ทำการวอร์มก่อนแล้วทำการใช้งานในทันทีจะโดนสูบแบตหายไปอย่างรวดเร็ว ให้อุ่นก่อนใช้แบตนั้นๆ เช่นเอาไว้ที่อุณหภูมิร่างกาย หรือฮีตเตอร์เป่าก่อน
แต่ช้าไปแล้วเฟ้ย แบตมันหมดไปแล้ว.. พอจะแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ด้วยการเอาแบตมาถูๆกับมือให้ร้อน มันก็จะฟื้นมาทีละนิด แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไรหรอก…จำไปจนวันตายน่ะหละ ว่าแต่ชาวญี่ปุ่นเขาใช้กล้องกันยังไง อยากรู้เหมือนกันนะ
กินซ่า: ย่านคุณนาย (?!) และแวะกินขนม
ถัดจากอุเอโนะก็นั่งใต้ดินเมโทรสายกินซ่า (สายเดิม) อีกซักพักก็ถึงที่สถานีกินซ่า (Ginza) ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ โดยเมื่อมาถึงก็รู้สึกว่า..สถานีนี้มันออกแบบมาไฮโซจริงๆ..พวกการตกแต่งจู่ๆก็ดูหรูเลิศขึ้นมาเลย
ในเมื่อเป็นย่านมีระดับย่อมมากับร้านที่มีระดับ..(เรอะ) ได้เจอแอปเปิ้ลสโตร์ของแท้ด้วย!!! ดั่งมาเพื่อบูชาสตีฟจอบส์ตามโอกาสที่เคยได้ใช้ดีไวซ์แบบไอโฟนและไอแพด
จริงๆวัตถุประสงค์ที่มากินซ่าเพราะอยากกินร้านขนมอาเคโบโนะ (あけぼの) แค่นั้นหละ.. นี่ยังกินไม่หยุดเลยนับแต่เที่ยงมา ตอนแรกเดินหาอยู่นานเหมือนกันเพราะอินเตอร์เน็ตทรยศ ต้องเดินวนไปมาอยู่ซักพัก
พอไปถึงร้านก็พบว่ามีไม่มีภาษาอังกฤษซักตัวอีกแล้ว ทำไงดี แต่พอจะอ่านชื่อขนมออกอยู่สองอย่าง เลยสั่งแบบงูๆปลาๆมาได้กินซากุระโมจิกับไดฟูกุสตรอว์เบอร์รี่สมใจ
หลังจากนั้นด้วยความหนาวเหน็บระดับของภูเรือ ต้องทำให้สมาชิกทริป Tซัง แวะหาร้านยูนิโคลแถวนั้นเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายก่อน ก็คงไม่ผิดนักเพราะว่าหลังจากกินขนมเราก็จะเดินไปที่สถานีชินบาชิ (Shimbashi) ที่เลือกการเดินเพราะอยากจะเดินชมวิวมากกว่า และไม่ไกลมากนักด้วยหละ
ยิ่งเดินก็ยิ่งพบว่าเมื่อยล้าเพราะกระเป๋ากล้องที่แบกขาตั้งกล้องมานั่นหละ (แถมแบตเตอรี่ก็หมด) มาคราวหน้าคิดว่าอาจจะใช้เป้แทนกระเป๋าสะพายข้าง หรือพกขาตั้งกล้องขนาดมินิมาแทนแล้ว สังขารไม่ไหว
จริงๆเพราะหนาวมากด้วยทำให้สตามิน่าของคนหมดไวตามแบตไป ‘ ~ ‘ เดินไปซักพักก็ถึงสถานีชินบาชิ ตรงไปซื้อบัตรวันเดย์พาสของโมโนเรลสายยูริคาโมเมะ (Yurikamome) หรือที่เรียกว่ายูริคาโมเมะพาส กดๆเอาจากตู้ของสายยูริคาโมเมะก็ซื้อได้ในราคา 820 เยน
โอไดบะ: สัมผัสความหนาวกลางทะเลและสักการะกันดั้ม
เราจะนั่งโมโนเรลสายนี้แหละเที่ยวโอไดบะ (Odaiba) กัน ซึ่งโอไดบะเป็นแผ่นดินถมใหม่กลางอ่างโตเกียว แน่นอนว่า [หนาว] อย่างแรง… แม้กระทั่งสถานีก็หนาว เพราะเป็นแบบโอเพ่นแอร์ ว่าแต่ทั้งๆที่อยู่กลางทะเลกลับไม่ได้ไอทะเลเค็มๆเท่าไรเลย (?)
ตรงนี้มีตลกกันอย่างนึงคือ คณะทัวร์ที่อดนอนกันมา 1 คืน…เมื่อขึ้นโมโนเรลปุป ก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มาสุดสถานีโมโนเรล กำลังนั่งย้อนเรียบร้อย.. เมื่อได้สติก็แวะห้างแถวๆนั้นซักหน่อย ที่แรกคือวีนัสฟอร์ท (Venus Fort) ลงที่สถานีโตเกียวเทเลพอร์ท
ว่าแต่มาทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน..ตอนนั้นพวกเราเพิ่งตื่นจากนิทรายาว กำลังต้องหาความอบอุ่นเข้าร่างกาย เลยคิดว่ามาเดินเล่นซักแปปก็พอ หาขนมกินเรื่อยเปื่อย
ไหนๆมาแล้วก็แวะส่วนจัดแสดงรถ ฮิสตอรี่ การาจ (History Garage) ส่วนหนึ่งของธีมปาร์คเมก้าเว็บ (Mega Web) ของโตโยต้า เพราะเข้าฟรี–
โดยในฮิสตอรี่การาจก็จะมีพวกรถเก่าๆและของเกี่ยวข้องให้ดู ใครมีพื้นฐานเกี่ยวกับรถหรือชอบพวกนี้ก็ไม่ควรพลาดหละ
ตัววีนัสฟอร์ทเป็นห้างใหม่ๆ..คือจริงๆตามคอนเซปท์ของทริปนี้คือไม่ค่อยมีอะไรเที่ยวในห้าง แต่ว่าดูแล้วที่นี่เป็นสถานที่เหมาะกับการออกเดทเพราะบรรยากาศดี และที่สำคัญคือมีความอบอุ่นสูง (อา) การออกไปข้างนอกช่างเป็นเรื่องที่ต้องทำใจเล็กน้อยจริงๆสำหรับคนเมืองร้อน
หลังจากนั้นเมื่อเย็นย่ำได้ที่ บรรยากาศเริ่มโดนย้อมด้วยแสงสีส้ม ก็ได้เวลาที่จะไปสักการะเมนดิชของวันนี้ RX-78-2 ที่กันดัมฟรอนท์โตเกียว (GUNDAM FRONT TOKYO) ที่อยู่ที่ห้างไดเวอร์ซิตี้ (DiverCity) โดยนั่งโมโนเรลมาลงที่สถานีไดบะ (Daiba) จากนั้นก็เดินอย่างโหด.. พอเดินมาอย่างโหดก็พบว่าเดินมาจากวีนัสฟอร์ทโดยตรงใกล้กว่าเยอะเลย..
ซื้อเครื่องดื่มอุ่น อย่าลืมเลือกที่มันปุ่มสีแดง (อุ่น – あたたかい) อย่าไปเอาอันเย็นมานะ พลาดไปแล้วทีนึง..แต่ว่าการเที่ยวโตเกียวด้วยงบราคาถูก ถ้าหากระเป๋าเล็กๆมาใส่เศษตังจะสะดวกเลิศมาก เพราะจะตู้พวกนี้ หรือตู้ร้านข้าว เวลาได้ตังทอนแล้วเหรียญมหาศาลเลย
พอเดินถึกมาถึงหน้าไดเวอร์ซิตี้ ก็พบว่าแบตเตอรี่ของกล้องได้หมดเกลี้ยงแล้ว เอวัง พยายามเอามือมาถูๆแบตให้อุ่นก็พอจะหวังผลถ่ายได้บ้างอีกไม่กี่รูป แต่ตรงหน้าของพวกเรานั้น..ช่างอลังการเหลือเกิน ผลงานการออกแบบของทิม เรย์ อาวุธไม้ตายอันพลิกกระแสสงครามของสหพันธรัฐโลก.. โมบิลสูทตัวแรกของ อามุโร่ เรย์ นักบินในตำนาน RX-78-2 “กันดั้ม” มาอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าแล้ว ด้วยความสูง 18.5 เมตร!!! ขนาดเท่าของจริง อ๊าคคคค
ในช่วงที่ไปมีการขยับให้ดูด้วย!!! คุณพระ แต่ว่าเนื่องจากกันดั้มเครื่องนี้ผ่านการรบมาอย่างหนักหน่วงจากสงคราม 1 ปี จึงทำให้ไม่สามารถขยับได้มากกว่าแขนและหัว หวังว่าชาวโลกจะเข้าใจโดยตรงกัน
ในแถวๆนั้นมีร้านขายของเฉพาะทางสำหรับแฟนกันดั้มด้วย มีของเฉพาะถิ่นหลายอย่าง เช่น กันพลาสีสเปเชียลกันดั้มฟรอนท์ ฯลณ (ดูรายการสินค้าเอ็กคลูซีฟได้จาก http://gundamfront-tokyo.com/jp/shop/ ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น https://www.gundam-base.net/) แต่ถ้าไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมา หมุนกาจาปองแบบที่มีเฉพาะที่นี่ (มั้ง รึชั้นโดนหลอก) ไปเล่นๆก่อนก็ได้
แต่ถ้าเป็นแฟนกันดั้มที่มากกว่าแค่รับชมมานิดๆหน่อยๆ..อย่าลืมขึ้นไปชั้น 7 ของห้างไดเวอร์ซิตี้ที่อยู่ข้างหลัง เพราะกันดั้มฟรอนท์มีส่วนแสดงนิทรรศการ รวมถึงมูวี่พิเศษให้ดูด้วย (ค่าเข้า 1,200 เยน) โดยในส่วนเสียตังจะมีพวกของเล่นประมาณ RG สเกล 1/1 ของสไตรค์ฟรีด้อมกันดั้ม ให้ถ่ายรูปด้วย, ภาพขนาดเท่าจริงของตัวละครต่างๆในซีรีส์, 1/1 คอร์ไฟท์เตอร์, มิวเซียมกันพลา แต่ที่เด็ดสุดคงเป็นการดูมูวี่พิเศษใน DOME-G โรงฉายภาพยนต์ในรูปแบบโดม
อนึ่ง ยูนิคอร์นกันดั้ม 03 เฟเนกซ์ (Unicorn Gundam 03 Phenex) ก็มีปรากฎตัวแค่ในมูวี่ที่นี่นั่นหละ และต้องบอกก่อนว่ามันเป็นมูวี่ที่เมื่อยคอมากที่สุดในสามโลก แต่ก็สนุกตื่นเต้น..
ในช่วงนี้ไม่มีรูป เพราะเรียนตามตรง หมดพลังงานและเมื่อยเรียบร้อยแล้ว แถมยังไม่มีกำหนดการ แวะกินขนมเล็กน้อย ใครไม่รู้จะกินขนมอะไรแนะนำร้านมันฝรั่งทอดคาลบี้พลัส..ทอดสดๆตรงนั้น ราดชอคโกแลตรอยซ์กันตรงนั้น อร่อยลืมโลก
สำหรับคณะทัวร์ที่มีทั้งสาวๆและหนุ่มๆอยากจะมาสักการะกันดั้มก็มาโอไดบะกันได้นะ เพราะห้างในนี้..มีช็อปหลากหลายพอสมควร ราคาก็ไม่ห่างกับห้างระดับเซ็นทรัลในบ้านเรามากนัก (น้องสาวซื้อรองเท้าบูทกันหนาวขนฟูๆมาในราคา 6,000 เยน ตีเป็นเงินไทยก็ 2,000 บาท)
ทีนี้เป็นเรื่องราวของขากลับ นาย T ทำตั๋วพาสหาย..เอวัง เชิญซื้อใหม่ได้เลย~ จากการที่ตั๋วหายทำให้ได้พบว่าเราสามารถซื้อตั๋วแบบถูกสุด แล้วไปใช้เครื่องปรับราคาตั๋ว ตรงทางออกได้อีกที ตัดปัญหาการนับป้ายเดินทางไม่ถูก (สะดวกเหลือเกินนนน) ขากลับก็ฟ้ามืดสนิท พร้อมลืมไปว่า แบกขาตั้งกล้องมาถ่ายเรนโบว์บริดจ์ (Rainbow Bridge) นี่หว่า
จากนั้นก็ไปยังจุดหมายสุดท้าย
โตเกียวสกายทรี
ก่อนจะไปโตเกียวสกายทรี ตามที่บอกไปก่อนนี้ว่าเท้าแทบจะถึงขีดสุดแล้ว..และการไปโตเกียวสกายทรีดูแล้วต้องใช้พลังงาน หลังจากกลับมาถึงสถานีอาซากุสะ ใกล้แหล่งที่พักของพวกเรา จึงคิดจะใช้บริการล็อกเกอร์หยอดเหรียญ ซึ่งมีให้บริการอยู่ภายในสถานีน่ะหละ
มี 3 คน..เปิดตู้ 500 เยนยัดมันลงไปหมดนั่นน่ะหละ วิธีการใช้งานน่าจะคือหยอดแล้วจะเปิดได้ จากนั้นเมื่อปิดจะไขได้ 1 ครั้ง… ไม่รู้ระยะเวลานานเท่าไร ถ้าเกินวันมันจะเปิดออกแบบออโต้ไหม.. แต่ก็ยัดๆไป เพื่อสวัสดิภาพของเท้า แล้วก็ไปหาอะไรกินซะก่อน แถวๆนั้นตอนนี้ที่ยังเปิด (20:00 น.) ก็มีอีกหลายร้าน เลือกกินที่ดูราคาไม่แพงก็มาลงเอยกับร้านข้าวหน้าเนื้อมัตสึยะ (松屋) น่าจะมีร้านสาขาเยอะอยู่ คือเห็นบ่อยมาก
ทีนี้เป็นเรื่องราวของการหยอดตู้อีกแล้ว น่าทึ่งมาก เพราะปกติร้านข้าวในไทยเราจะชินกับการมีน้องๆพี่ๆมาถามว่า “ลื้อจะกินอะไร” สินะ แต่ว่าสำหรับร้านแบบนี้ มีพนักงานแค่ 2 คนแต่กลับรับแขกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นผลพวงมาจากตู้หยอดในร้านที่จะให้เราเลือกเมนูว่าอยากกินอะไรแล้วก็ทอนตังเสร็จสรรพน่ะหละ
พอเลือกว่าจะกินอะไร เสร็จแล้วก็ไปนั่ง ยื่น เสร็จ รอกินได้ตามสบาย
ไม่เคยคิดว่าอาหารการกินที่นี่จะแพงเลย..เพราะเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับที่อลังการ ก็อดคิดไม่ได้ว่า บ้านเค้ามีกฎหมายว่ารูปภาพเพื่อการโฆษณาต้องตรงกับของจริง หรือเปล่านะ~ คือเห็นภาพแบบไหน มักจะได้แบบนั้น หรือดีกว่าเสมอ ที่สำคัญคือมีน้ำชากินฟรีด้วยยย (ยอดมาก)
เดินผ่านมาอีกซักนิดนึง เจอกับไก่ทอดผู้พันแซนเดอร์ (KFC) อันนี้…อยากลองอีกเหมือนกันว่ามันแตกต่างจากที่ไทยไหม ก็เลยลองสั่งไก่ทอด 1 ชิ้น+ฟรายเล็ก 400 เยน (เกือบเท่าข้าวตะกี้) ผลที่ได้คือ เห็นภาพเป็นน่องไก่แบบไหน ของจริงก็ได้น่องไก่แบบนั้น ตรงเด๊ะ แบบไม่ต้องอุธรณ์ใดๆ
ไทยชนะในเรื่องเคเอฟซีไปอย่างขนาดลอย เอ้า ปรบมือสิรออะไรร ทีนี้ก็เดินไปเดินมา หาสถานีแถวๆอาซากุสะน่ะหละเพื่อขึ้นสายโทบุสกายทรี (Tobu Skytree Line) แค่ 1 ป้าย 160 เยน ก็จะข้ามแม่น้ำซุมิดะไปโผล่หน้าโตเกียวสกายทรีแล้ววว
พอหลังมาถึง กำลังจะแวะเข้าร้านของฝาก เพราะเขาบอกว่าโตเกียวบานาน่าลายยีราฟมีขายเฉพาะที่นี่…แต่สืบได้ความมาว่าที่นาริตะก็มีขาย เลยเอาไว้ก่อน
ลืมบอกไปอีกนิดว่ามาถึงสกายทรีก็ประมาณอีก 10 นาที 4 ทุ่ม จึงรีบออกไปชมและถ่ายรูปเพื่อเป็นที่ระลึก จากนั้นจึงกลับแบบเร่งด่วน เพราะกลัวสถานีปิดเอาของออกมาไม่ได้..
หมดภารกิจ เอาของที่ล็อกเกอร์แล้ว กลับสู่ที่พัก (กระเป๋าที่ฝากไว้อยู่ในห้องแล้ว) พบว่าห้องเป็นเสื่อทาทามิตามที่คุยไว้จริงๆ สะอาดมาก ปลื้มเลยหละ ไม่เก่าเกินไปนัก
ต่อไปเป็นบทสนทนา
Wซัง: ไปแช่น้ำร้อนก่อนนะ
Tซัง: เสียเวลาหว่ะ
Wซัง: มาทั้งทีก็ต้องแช่สิวะ อากาศหนาวๆอีกนะ
เลยจัดไป..เปิดก๊อกน้ำร้อนไว้ 10 นาที เข้าไปดูยังไม่เต็ม เพราะลืมปิดจุกอ่างน้ำ เจริญ จากนั้นก็ใช้ขัน (?) พลาสติก ผสมน้ำจากอีกก๊อกให้อุ่นพอดีๆ ล้างตัวฟอกสบู่ สระผมให้สะอาด (ความรู้สึกที่อากาศหนาวๆมาทั้งวันแล้วได้อาบน้ำอุ่นกึ่งร้อน ช่างยากจะอธิบาย) จากนั้นเมื่อสะอาดแล้ว ก็แช่น้ำในอ่างเล็กๆ (ทำไมชั้นไม่ซื้อผงอาบน้ำมาด้วย) ตอนแรกร้อนนิด…พอกลั้นใจแช่ไป
.
.
.
นี่มันสวรรค์ การแช่น้ำร้อนหลังจากหนาวๆมามันช่าง.. ความเมื่อยล้าทั้งหมดหายไปเป็นปลิดทิ้ง สุดยอด นี่มันสุดยอดเกินไปแล้วววว~~~ ถ้าใครไปญี่ปุ่นแล้วพักห้องแบบมีห้องน้ำในตัว อย่าลืมแช่หละ (จริงๆครั้งหน้ามา ถึงไม่มีห้องน้ำในตัวก็คิดว่าจะลองไปหาเซ็นโตเข้า..)
ผิดคิวไปแค่อย่างเดียว คือไม่มีนมรสกาแฟไว้กินหลังจากแช่น้ำเสร็จ เสียดาย เสียดาย แต่ก็หลับอย่างรวดเร็ว ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ 4:30 น. เพื่อเตรียมตัวสำหรับพรุ่งนี้
ค่าใช้จ่ายวันที่ 1
- ตั๋วรถไฟสายเคย์เซย์นาริตะสกายแอคเซส: 1,290 เยน
- ตั๋ว 3 วันสำหรับรถไฟฟ้าใต้ดินโตเกียวเมโทรและโทบุซับเวย์: 1,500 เยน
- ที่พัก 3 คืน: 10,500 เยน
- แมคมัฟฟินไก่และไข่ดาวของแมคโดนัลด์: 483 เยน
- ข้าวปั้นฟามิมา+กาแฟ: 236 เยน
- ทำบุญ: 50 เยน
- สตรอว์เบอร์นี่+เมลอน: 300 เยน
- ข้าวหน้าเนงิโทโร่ของมินาโตยะ: 800 เยน
- ทาโกะยากิ 4 ลูก: 200 เยน
- โฮจิฉะร้อนของอิโตเอ็น: 100 เยน
- ขนมหวานของอาเคโบโนะ: 670 เยน
- ยูริคาโมเมะพาส: 820 เยน
- กาจาปองเลิฟไลฟ์ของบันได: 300 เยน
- ชาร้อนกระป๋อง: 120 เยน
- ตั๋วกันดัมฟรอนท์: 1,200 เยน
- มันฝรั่งทอดราดชอคโกแลตรอยซ์ของคาลบี้พลัส: 300 เยน
- ล็อคเกอร์หยอดเหรียญ: 500 เยน
- ข้าวหน้าเนื้อมัตสึยะ: 380 เยน
- ไก่ทอด 1 ชิ้น+ฟรายเล็กของเคเอฟซี: 400 เยน
- ค่าตั๋วไปโตเกียวสกายทรีของโทบุสกายทรีไลน์: 160+160 เยน
- รวม: 20,569 เยน (5,759 บาทที่เรท 0.28)
รอ Review ทริปของวันที่ 2 อยู่ครับ :)
โอ้ ขอบคุณมากเน้อที่ติดตามอ่าน