ตอนที่ 8 ของซีรีส์ญี่ปุ่นไปรอบๆที่ติดค้างกันมาตั้งแต่ปีก่อน ที่จู่ๆก็ระลึกชาติว่าควรจะเขียนให้จบตอนไปไม่เช่นนั้นอาจจะได้ติดค้างไปตลอดกาล สำหรับตอนอื่นๆของซีรีส์นี้สามารถเปิดสารบัญเพื่อติดตามกันได้ด้านล่างนี้เลยเน้อ
สารบัญ: ญี่ปุ่นไปรอบๆ
คลิกเพื่อดูสารบัญบทความ
ญี่ปุ่นไปรอบๆ
- ตอนที่ 8: เดย์ทริปที่โยโกฮาม่าแล้วมาจบที่ฮาราจูกุ
- ตอนที่ 7: วันอิสระสอยของที่อากิบะ+อิเคะฯ
- ตอนที่ 6: นาคาโนะบรอดเวย์และกิบลิมิวเซียม
- ตอนที่ 5: เที่ยวสวนสนุกสไตล์ญี่ปุ่นฮานะยาชิกิ
- ตอนที่ 4: ไปมรดกโลกที่นิกโก้ในวันฝนพรำ
- ตอนที่ 3: ประสบการณ์เข้างานโดจิน ~เลิฟไลฟ์! นิชิคิโนะมากิจังออนลี่อีเวนท์~
- ตอนที่ 2: ยามดึกที่อากิบะและดูแสงสีที่มิไรคัง
- ตอนที่ 1: กว่าจะถึงโตเกียว
วันที่ 24 เมษายน 2015
แพลนคร่าวๆของพวกเรา ไม่สิ วันนี้ใช้คำว่าพวกเราไม่ได้เพราะไปกับแพตตี้แค่สองคนเอง (เมคุงน่าจะไปฟูจิกับน้องสาวหละมั้ง) กำหนดการคือช่วงเช้าไปเที่ยวอควาเรียมที่เกาะฮัคเคจิมะและตอนบ่ายเดินในเมืองโยโกฮาม่า ตอนดึกๆย้อนกลับมาแถวฮาราจูกุเพื่อไปเลิฟไลฟ์!คอลาโบเรชั่นช็อปที่จัดวันนี้เป็นวันแรก เอาหละ ตื่นเช้าตรู่กันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าแล้วไปรอรถเพื่อไปเที่ยวกันเลย
โดยการเดินทางที่ใช้ในคราวนี้คือพวกเราจะไปลงที่สถานีโยโกฮาม่า (Yokohama Station) ด้วยรถไฟสายฟุคุโทชิน (Fukutoshin Line) มาแบบตรงๆมาเลยใช้เวลาประมาณ 40 นาที แต่ที่นี่ยังไม่ถึงจุดที่พวกเราต้องไป แค่มาต่อรถและหาซื้อบัตรพาสบางอย่างเพื่อความประหยัดในวันนี้
โดยเมื่อมาถึงสถานีโยโกฮาม่าแล้วก็ได้พบว่าแทบจะไม่ต่างจากโตเกียวเลย..! ทุกอย่างทำงานคล้ายๆกันไม่มีอะไรต้องปรับตัวแต่อย่างใดสมเป็นเมืองท่าใหญ่ เมื่อลงมาก็ตรงไปที่ตู้ขายเครื่องอัตโนมัติของ JR เพื่อจะกดตั๋วพาส “Yokohama-Minatomirai Pass” สำหรับใช้งานในเขตตัวเมืองโยโกฮาม่าทั้งหมด โดยจะครอบคลุมทั้งสาย JR ในเขตโยโกฮาม่า และสายมินาโตะมิไร (Minato Mirai Line) ทั้งเส้น ทำให้การเดินทางเกิดความประหยัด อันจะดีกับพวกเราในวันนี้หากคำนวนการเดินทางมาดีพอแล้ว
แต่เมื่อปรับตู้เป็นภาษาอังกฤษ ก็พบว่าหาพาสนั้นกดไม่เจอ ความลำบากจึงบังเกิดทันที เพราะต้องเดินเข้าไปถามที่อินฟอร์เมชั่นด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น.. ทุลักทุเลไปนิดกว่าจะเข้าใจกัน แล้วพนักงานก็เดินไปกดตู้.. ปรากฎว่าได้ !! จะบอกว่าภาษาอังกฤษมันกดไม่ได้งั้นสินะ พอจ่ายราคา 520 เยนไปก็ได้รับบัตรพาสมาละ
ต่อไปพวกเราต้องไปให้ถึงสถานีฮัคเคจิมะ โดยการเดินทางคือไปด้วยสายเนกิชิ (Negishi Line) แล้วลงต่อรถที่สถานีชิน-สุกิตะ (Shin-Sugita Station) จากนั้นค่อยต่อรถเอกชนสายซีไซด์ (Seaside Line) ไปลงสถานีฮัคเคจิมะ (Hakkeijima Station)
ค่าใช้จ่ายตรงนี้เพิ่มอีกคนละ 310 เยนตามสไตล์สายเอกชนที่ไม่ค่อยร่วมกับพาสภายนอก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาทีพวกเราก็มาถึงสถานีฮัคเคจิมะอันมีเอกลักษณ์ว่า “ที่นี่หละมีอควาเรียมแน่นอน” ลอยมาตั้งแต่ตัวสถานีเลย
เที่ยวฮัคเคจิมะ – เกาะที่ทั้งเกาะเป็นอควาเรียมและสวนสนุก
ใช้เวลาเดินทางรวม 2 ชม.ครึ่ง พวกเราก็มาถึงที่อควาเรียม โยโกฮาม่า ฮัคเคจิมะ ซี พาราไดส์ (Yokohama Hakkeijima Sea Paradise, 横浜・八景島シーパラダイス) ที่โยโกฮาม่ากันแล้ว โดยระยะทางเดินมาจากสถานีฮัคเคจิมะก็จะใช้เวลาราวๆ 10 นาที แต่เป็นระยะทางที่เดินแล้วแฮปปี้เพราะว่าอยู่ริมทะเล ลมทะเลพัดแบบหนาวเย็นมาเล็กๆทำให้รู้สึกสบายตัวเลยหละ
ที่ ซี พาราไดส์ แห่งนี้จะมีแบ่งเป็นโซนใหญ่ๆ 2 โซนคือโซนอควาเรียมและพิพิธภัณฑ์ (Aqua Museum, Umi Farm, Fureal Lagoon และ Dolphin Fantasy) อีกโซนจะเป็นโซนสวนสนุก (Pleasure Land) ทั้งนี้ยังรวมไปถึงกิจกรรมกลางแจ้งแบบออกเรือไปตกปลาหรือว่าโรงแรม ยังมีร้านอาหารทะเลผสมรวมมาอีกด้วย นับว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหญ่แห่งหนึ่งของโยโกฮาม่าเลยทีเดียว
เมื่อมาถึงก็ตรงไปซื้อตั๋วกันก่อน ในวันนี้จะใช้บริการแค่ในส่วนของอควาเรียมทั้ง 4 โซน โดยซื้อเป็นพาสรวมที่เรียกว่า Aqua Resort Pass (アクアリゾーツパス) ราคา 3,000 เยน เข้ากี่รอบก็ได้ในหนึ่งวัน (ถ้าอยากเล่นสวนสนุกด้วยแนะนำให้ซื้อเป็นตั๋วรวมจะคุ้มกว่า ราคาและรายละเอียดตั๋วดูได้ใน http://www.seaparadise.co.jp/english/ticketinformation.html)
ได้ตั๋วมาแล้วก็เข้าไปเยี่ยมชมกันทีละโซนเลย ในช่วงที่มานี่มีเด็กๆประถมมาทัศนศึกษากันด้วย (น่ารัก) โซนแรกที่จะไปกันคือ อควา มิวเซียม (Aqua Museum, アクアミュージアム) โซนนี้จะเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแบบดั้งเดิม จัดแสดงในอาคารปิด
ในโซนนี้เข้ามาจะเป็นอาคารมืดๆก่อน และสัตว์ทะเลตัวแรกที่พวกเราได้พบก็สร้างความประทับใจให้เลยทันที นั่นคือ หมีขาว (..)
ก็ดูเป็นหมีขาวปกติ แม้จะแปลกใจว่าทำไมมาอยู่ในส่วนพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำก็เถอะ แต่เอกลักษณ์ที่สำคัญของเจ้าหมีขาวนี้คือมันเดินวนไปวนมา แล้วก็เอาคางถูขอบหิน แล้วก็เดินวนไปมา ทำซ้ำอยู่หลายรอบมากจนสงสัยว่าเราโดนหุ่นยนต์หลอกรึเปล่าเนี่ย.. (มีคลิปประกอบ)
จึงได้เก็บความสงสัยนั้นไว้แล้วเดินต่อไป นอกจากหมีขาวแล้วก็ยังมีพลพรรคขั้วโลกแบบแมวน้ำ สิงโตทะเล และเพนกวิน ตรงเพนกวินนี่เด็ดเพราะว่ามีแผนผังตระกูลพร้อมชื่อของแต่ละตัวให้ดูกันด้วย.. นี่จะใส่ใจเกินไปนะ (ฮา)
นอกจากโซนขั้วโลกแล้ว ในอความิวเซียมเองก็ยังมีตู้ปลาทะเลรวมขนาดใหญ่ด้วย ดูแล้วก็รู้สึกอลังการดี นอกจากนั้นด้วยการออกแบบทำให้มีอุโมงค์แก้วลอดผ่านตู้เป็นวิวสวยๆให้ได้ดู ขนาดของตู้ใหญ่่จนสามารถใส่ฝูงปลาอิวาชิได้ฝูงนึงเลยทีเดียว
นอกนั้นจะเป็นไปตามธรรมเนียมของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำทั่วไป มีทั้งปลาแปลกๆ ปลาน้ำตื้น บลาๆ แต่ละส่วนจัดแสดงไม่มีส่วนไหนที่มีการพังเลย นับว่ามีการบำรุงรักษาอย่างดีตลอด ทำให้ตอนเวลาที่เดินดูนี่มีความสนุกเพลิดเพลินมากเลยทีเดียว
เมื่อเดินในโซนของอความิวเซียมจนจบก็จะผ่านตู้สุดท้ายที่เป็นเต่าทะเลกับปลาหมอ โซนนี้จะปล่อยให้แสงอาทิตย์เข้ามาโดยตรงด้วย เป็นตู้ที่มีความดูดี แต่ดูก็รู้สึกว่าเต่าทะเลแออัดจัง! ตัวใหญ่กันน่าดู และก่อนจะออกจากโซนนี้ก็มีเวทีสำหรับโชว์ “การแสดงนกกระทุง” ที่แปลกใจนิดๆว่าจะโชว์กันยังไง..มีแต่นกกระทุงจริงหรือ แต่ว่าเช็คแล้วรอบการแสดงเพิ่งจบลงไปเลยไปเดินโซนอื่นเพื่อประหยัดเวลากันก่อนดีกว่า
จบไปสำหรับโซนแรก และด้วยการจัดทางเดินที่เป็นระเบียบ ทำให้การเดินต่อไปยังโซนต่อๆไปนั้นไม่ยาก แต่ว่าระหว่างทางก็มีการดักด้วยร้านขายของที่ระลึกที่ทำให้สาวๆอาจจะใจละลายได้กับตุ๊กตาสัตว์จำนวนมากที่น่ารัก ไม่ว่าจะเป็นหมีขาว เพนกวิน แมวน้ำ เอ๊ะ พวกนี้มันสัตว์จากโซนขั้วโลกเน้นๆ
เนี่ยเรียกได้ว่าถ้าหนุ่มสาวควงกันมาเดทปุป ออกมาโซนนี้ก็เสียตังทันทีเสียทีเดียว—
โซนต่อไปที่ไปชมดูกันจะเป็นโซนจัดแสดงปลาโลมาจำนวนมาก ดอลฟินแฟนตาซี (Dolphin Fantasy, ドルフィン ファンタジー) และนอกจากปลาโลมา ในโซนนี้ยังมีไฮไลท์เด็ดอยู่คือ ปลาโมลาโมลา หรือปลาแสงอาทิตย์ ที่ตัวข้าพเจ้าอยากดูเป็นอย่างมากเนื่องจากก่อนมาญี่ปุ่นนั้นได้ติดเกม Survive! Mola Mola! บนมือถือ
โดยเกมมันเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาโมลานี่หละ โดยจุดเด่นของปลาชนิดนี้คือขี้ตกใจ ตายง่ายมาก อะไรแบบนี้ ก็เพลิดเพลินฮาๆ พอตอนแพลนแผนสำหรับเที่ยวญี่ปุ่นในรอบนี้และเห็นว่าที่โยโกฮาม่ามีอควาเรียมที่มีโมลาให้ดูก็ตั้งเป้ามาดูกัน เอาหละ เข้าไปในโซนนี้ต่อกันได้เลย
ตอนที่เข้ามาดูนี่เด็กๆก็ตามมาดูกันด้วยแหละ แต่ว่าเป็นระเบียบเรียบร้อยมีวินัยกันดี ชื่นชมในส่วนของปลาโลมาไปมาซักพักก็เดินเข้าไปดูในส่วนของปลาโมลาที่รอคอยด้านใน แต่ผลที่ได้เห็นกลับทำให้คุณตะลึง
ปลาโมลาตัวเดียวที่มีในอควาเรียมแห่งนี้ได้สิ้นชีวิตตามอายุขัยไปแล้วเมื่อเดือนก่อน ตอนนี้กำลังหาโมลาตัวใหม่มาประจำการ ต้องขออภัยไว้ในที่นี้…
.
.
.
มายก็อด
อดดูซะงั้น..!!!!!!!!!!! นี่ตั้งใจมาดูโมลาเลยนะะะ ก็ได้แต่กลืนความเสียใจเอาไว้แล้วเดินหน้าต่อไปดูโซนอื่นๆกัน (โซนดอลฟินแฟนตาซีมีแค่นิดเดียวเอง) สำหรับโซนต่อไปที่เดินไปถึงก็คือ อุมิฟาร์ม (Umi Farm, うみファーム) เป็นโซนที่.. เอ นั่นสิเกี่ยวกับอะไร แต่ดูเป็นทางเดินไขว้กันไปมาในทะเลเปิด ดูคล้ายกับพวกกระชังเลี้ยงสัตว์น้ำ?
เมื่อเข้ามาในอุมิฟาร์มก็โดนกักกัน (?!) ไม่สิเรียกว่าเข้ารับชมวิดีทัศน์สำหรับแนะนำการเข้าชมที่แห่งนี้ โดยคอนเซปท์ของอุมิฟาร์มคือเป็นแหล่งเรียนรู้เชิงปฎิบัติในสถานที่จริง เช่นทดลองให้ตกปลา ทดลองจับแพลงตอนมาส่อง มีตัวอย่างการทำประมงหอย หรือการเพาะพันธ์ปลาให้ดู แต่แน่นอนว่าหลายๆส่วนก็ต้องจ่ายเพิ่มเช่นกัน (เพราะว่าเป็นฟาร์มจริงๆ ฉะนั้นพวกกิจกรรมอย่างตกปลาก็จะได้ปลากลับไปทานด้วย)
เราที่เป็นนักท่องเที่ยวเลยเน้นการเดินเล่นก่อนว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง
หลังจากเดินอุมิฟาร์มที่ไม่ค่อยได้ทำอะไรมากเท่าไรแล้วก็มาถึงโซนสุดท้ายเท่าที่ได้ซื้อบัตรมา นั่นคือโซน ฟุเรียลลากูน (Fureal Lagoon, ふれあいラグーン) มีกำกับไว้เล็กๆว่าเป็นอควาเรียมกลางแจ้ง แต่ยังไม่แน่ใจในรูปแบบนักว่าคืออะไร
เมื่อมาถึงที่ลากูนก็ได้รับการเข้าชมวิดีทัศน์ในห้องปิดอีกแล้ว (จริงๆคาดว่าเพื่อทำให้ปริมาณคนในโซนไม่มากเกินไป) ก็ได้รู้ว่าที่นี่เป็นโซนแสดงสัตว์ทะเลแบบใกล้ชิด ผสมทั้งแบบปิดและเปิด นั่นเอง หลังจากฟังการอบรมก่อนเข้าราวๆ 10 นาทีก็เปิดให้เข้าไปล้างมือล้างไม้กันให้สะอาด ฆ่าเชื้อพื้นรองเท้า แล้วก็เข้าไปดูพวกสัตว์ในโซนกัน
จะเด็กจะผู้ใหญ่ก็เห็นสามารถลูบปลาโลมาหลากพันธ์ได้โดยสบายใจ (ระวังโดนพ่นน้ำใส่ด้วยนิดนึง ฮา) และนอกจากจะมีโซนบ่อปลาให้แวะเวียนได้สัมผัสลูบตัวมันแล้วยังมีโซนเพนกวินที่ต้องต่อคิวรอซักเล็กน้อยก็จะได้ไปเดินเล่นกับพวกเพนกวินได้ด้วยนะ
นอกจากจะมีโซนสัมผัสสัตว์น้ำพวกนี้ก็ยังมีบ่อแมวน้ำพร้อมทางเดินลอดใต้บ่อให้ดูด้วย แมวน้ำพวกนี้ออกจะปราดเปรียวน่าดู ว่ายไปมาไวมากจนแทบถ่ายรูปไม่ทัน บางทีก็อยากให้มาว่ายเก๊กรอถ่ายรูปเหมือนกันนะ โชคดีที่จู่ๆยืนรอดูมันก็ว่ายโผล่มาตัวนึงทักทาย (โย่)
ที่น่าเสียดายไปนิดคือในโซนนี้มีโซนให้จับตัวนากด้วย แต่ว่าไม่มีตัวนากในนั้น (..) เพราะยังไม่ถึงเวลาจัดโชว์! โซนนี้โดยรวมจัดว่าเดินสนุกเพลิดเพลินและมีกิจกรรมใช้ได้เลยทีเดียว หลังจากนั้นก็ได้เวลาออกจาก ฮัคเคจิมะ ซี พาราไดส์ เพื่อไปเดินเที่ยวในตัวเมืองโยโกฮาม่ากันต่อ
ขากลับออกมานี่ไม่ต้องเสียเวลาเดินแล้ว มีรถฟรีคอยรับส่งมาที่หน้าทางเข้า ประหยัดเวลาได้ดีเลยทีเดียว และสำหรับการเที่ยวที่นี่ขอแนะนำว่าควรมีเวลาอย่างต่ำซักราวๆ 3 ชม. สำหรับการเดินในโซนตามที่กล่าวๆมา ถ้ามีมากกว่านี้ก็น่าจะดีกว่าถ้าได้ดูพวกโชว์ที่ต้องรอให้ถึงเวลากำหนดด้วยนั่นเอง
สนุกมากเลยทีเดียวสำหรับการเที่ยวอควาเรียมแห่งนี้ ถ้าให้คะแนนก็ราวๆ 8.5/10 เลยทีเดียว~ ใครอยากหาที่เที่ยวใกล้โตเกียวและชื่นชอบสัตว์น้ำ แวะมาเที่ยวชมดูความน่ารัก สัมผัสสัตว์ และ ซื้อของฝากติดไม้ติดมือ คุณแพตตี้เองก็เสียเงินให้กับพาสเคสรูปตุ๊กตาหมีขั้วโลก ไปอย่างสวยงามเลยทีเดียว.. (ปล.พาสเคส – ที่ใส่บัตรเติมเงินรถไฟฟ้า)
ยามบ่ายที่ไชน่าทาวน์และยามเย็นที่เมืองท่า
หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟสาย (ย้อนจากสายซีไซด์มาต่อสายเนกิชิ) แล้วมาลงที่สถานีคันนาอิ (Kannai Station) โดยจุดมุ่งหมายต่อไปของพวกเราคือการไปเดินล่นที่ชุมชนชาวจีนที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น โยโกฮาม่าไชน่าทาวน์ (Yokohama Chinatown (Chūkagai), 横浜中華街) โดยเมื่อมาถึงสถานีก็เจอกับบรรยากาศที่คึกครื้นกันมาก อา วันนี้เป็นวันศุกร์สุดสัปดาห์ เลยมีการแข่งเบสบอลที่โยโกฮาม่าสเตเดียมนี่เอง บรรยายกาศน่าจะราวๆไปดูบอลกันนั่นหละ คึกครื้นทั้งหนุ่มสาว นร. คนแก่ และเด็กๆเลย เบสบอลนี่น่าจะจัดว่าเป็นกีฬายอดฮิตของชาวญี่ปุ่นเอามากๆเลย
การเดินเล่นในช่วงนี้จึดูเป็นการสัมผัสบรรยากาศของเมืองมาก ได้เห็นการใช้ชีวิตในสุดสัปดาห์ที่มีความหลากหลายทีเดียว
ยอมรับเลยว่าเด็กๆเยอะมาก แล้วเด็กสาวๆญี่ปุ่นก็น่ารักทั้งนั้นเลย (หือ) เดินแล้วเพลิดเพลินพอสมควร เดินลัดเลาะตามทางชมวิวมาเรื่อย เจอสถานีตำรวจที่เหมือนในอนิเมเรื่อง ทันเทย์โอเปร่ามิลกี้โฮล์มส (探偵オペラ ミルキィホームズ) ก็แวะถ่ายรูปกันซักนิด
จริงๆต้องบอกว่าการที่มาโยโกฮาม่าแห่งนี้ก็เหมือนมาตามรอยมิลกี้โฮล์มสในระดับหนึ่งเลยทีเดียวเพราะว่าพวกตัวเอกทั้ง 4 ก็ดำเนินเรื่องราวกันในนี้หละนะ อนึ่งสำหรับผู้ที่จู่ๆอ่านแล้วก็สงสัยว่าอนิเมเรื่องที่ว่านี้เป็นอะไร อย่างไร ก็ตามไปอ่านใน ลิงค์นี้ ได้ (เขียนไว้ตอนได้มาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งต่อๆไป..)
และก็มาถึงทางเข้าไชน่าทาวน์กันแล้ว จู่ๆบรรยากาศก็ดูเป็นจีนกันขึ้นมาเลยทีเดียวในอึดใจ จุดที่บอกได้ทันทีว่า “นี่หละมาถึงย่านชาวจีนแล้ว!” เห็นทีคงจะเป็นซุ้มประตูจีนขนาดใหญ่ตรงหน้าที่เหมือนเป็นสัญลักษณ์ให้คนมาถ่ายรูปกันนี่หละ
บรรยากาศในนี้เต็มไปด้วยร้านอาหารจีน ร้านขายของแบบจีนๆ จะบอกว่าคล้ายเยาวราชก็พูดไม่เต็มปาก มีความเป็นจีนในสไตล์ญี่ปุ่นเสียมากกว่า สีสันของร้านรวงต่างๆเข้าขั้นฉูดฉาดตามสไตล์สีมงคลของชาวจีนนั่นหละ ร้านอาหารในบริเวณนี้ก็พวกซาลาเปา ราเม็ง อาหารจีนชุด โต๊ะจีนเป็ดย่าง บลาๆ
มาถึงไชน่าทาวน์แล้วก็ไม่ได้คิดจะเดินผ่านไปเฉยๆ แวะกินซาลาเปาไส้เนื้อ (ดูแล้วน่าจะหากินได้ยากในบ้านเราแฮะ ปกติในไทยจะมีหมูเสียมากกว่า) กันซักหน่อย ที่ญี่ปุ่นนี้เวลาซื้อของอะไรมากินกันก็มักจะไม่เดินกินกันหละนะ ก็นั่งกับเสา (เสานั่นหละ) แถวๆหน้าร้านแล้วกินซาลาเปาร้านๆท่ามกลางลมเย็นๆหนาวๆ ได้บรรยากาศแปลกๆไปอีกแบบ
กินเสร็จเดินเล่นอีกซักนิด ผ่านวัดจีนมาซุ (Mazu Temple, 横濱媽祖廟) ก็แวะถ่ายรูปเป็นที่ระลึก จุดเด่นของวัดอยู่ที่การจัดให้มีโคมไฟโยงออกมาจากอารามหลัก ถ้ามมาตอนดึกๆถ่ายรูปน่าจะสวยงามกว่านี้ตามสไตล์ที่ท่องเที่ยวแบบวัฒนธรรมจีน
ตัวผู้เขียนชื่นชอบบรรยากาศสีแดงๆส้มๆของการเปิดไฟกับบรรยากาศยามเย็นยามดึกมาก อดคิดไมม่ได้ว่าถ้าได้มาที่นี่อีกทีต้องขอรีเควสเป็นหลังพระอาทิตย์ตกดินจริงๆน่าจะเหมาะกับการตั้งขาตั้งกล้องแล้วถ่ายรูปให้เป็นภาพเนี๊ยบๆซักรูปสองรูป
จริงๆไปถ่ายที่เยาวราชก็น่าจะได้ฟีลราวๆเดียวกันแหละ (ฮา)
แถวๆไชน่าทาวน์นี้ยังเชื่อมไปยังแหล่งช็อปปิ้งอีกส่วน (ห่างกันเพียงแม่น้ำเล็กๆกั้น) และด้วยการที่สถานที่ตามรอยมิลกี้โฮล์มสของเราก็อยู่ในย่านนั้นด้วยจึงได้เดินไปดูกันอีกซักนิด ย่านที่เราจะไปกันนี้เรียกย่าน โยโกฮาม่า โมโตมาชิ (横浜元町) ซึ่งให้บรรยากาศแนวยุโรปตัดกับฝังไชน่าทาวน์อย่างสิ้นเชิง
การที่ย่านโมโตมาชินี้ที่บรรยากาศดูสไตล์ยุโรปก็เป็นเพราะเหตุผลในการเปิดประเทศของญี่ปุ่นในช่วงยุคเอโดะเช่นกัน หลังจากโยโกฮาม่าเปิดรับการค้าขายจากต่างชาติ ต่างกลุ่มต่างทวีปก็รวมตัวกันสร้างที่พักขึ้นมา จีนก็อยู่ส่วนหนึ่ง ชาวยุโรปก็อยู่ส่วนหนึ่ง อนึ่งพื้นที่ของชาวยุโรปนี้จะอยู่ติดภูเขามากกว่าด้วย (ตามประวัติศาสตร์บอกว่าเป็นการยึดพื้นที่สูงๆไว้ข่มชาวจีน ประมาณนั้น) และด้วยเหตุผลของการสร้างที่พักอาศัยต่อเนื่องกันมาหลายปี ทำให้วัฒนธรรมของพื้นที่ส่วนโมโตมาชินี้ดูเป็นสไตล์ยุโรปอย่างช่วยไม่ได้
ที่พวกเราเดินมาแถวๆนี้เพื่อจะมาตามหาร้าน อุชิกิ ปัง (Uchiki Pan, ウチキパン) ร้านขนมปังอังกฤษแบบดั้งเดิม หรือจะกล่าวให้ละเอียดก็คือ ร้านขนมปังแห่งแรกในประเทศญี่ปุ่น (เปิดทำการตั้งแต่ปี 1888 โดยคุณโรเบิร์ต คล้าก จากนั้นเมื่อคุณโรเบิร์ตกลับไปยังอังกฤษ ชาวญี่ปุ่นคุณ อุจิกิ ฮิโกะทาโร่ ก็ดำเนินการต่อมายังปัจจุบัน) โดยสูตรขนมปังที่ยังคงดำเนินมาดั้งเดิมตั้งแต่ยุคแรกก็คือขนมปังขาวสูตรอังกฤษ
ร้านนี้จัดเป็นร้านดังร้านหนึ่งของโยโกฮาม่าเลยทีเดียว และยังเป็นร้านที่พวกนักพากย์ของมิลกี้โฮล์มสเคยมาทำรายการชิมกันนี้หละพวกเราเลยแวะมาตามรอยและลองชิมขนมปังกัน
ไหนๆก็มาเดินตามรอยแล้วก็เอาให้สุดหน่อย แถวๆเขตนี้จะมีหอคอยชมวิวที่โดดเด่นมากของโยโกฮาม่าที่ปรากฎในมิลกี้โฮล์มสบ่อยๆอยู่นั่นคือ โยโกฮาม่ามารีนทาวเวอร์ (Yokohama Marine Tower, 横浜マリンタワー) และในเมื่อมันอยู่ในรัศมีที่สามารถเดินไหวก็ไม่รอช้าที่จะเดินไปดู
ประเด็นคือเมื่อเดินมาแถวนี้แล้วลมแรงมาก.. ไม่ได้มีฟ้าฝนตกแต่อย่างใดแต่ลมแรงระดับเหรียญเยนลอยได้ จึงได้แต่รีบถ่ายรูปแบบลวกๆแล้วลงสถานีรถไฟใต้ดินเพื่อไปต่อกัน โดยคราวนี้โผล่ที่สถานีนิฮง-โอโดริ (Nihon Odori Station) ของสายมินาโตะมิไร
มาอยู่แถวๆริมทะเลแล้วหละตอนนี้ ลมก็พัดแรงดี (หนาว) แต่ว่าก็น้อยกว่าตะกี้พอสมควร ตอนนี้เวลายังมีพอสมควรเลยเลือกที่จะเดินเล่นแบบสบายๆเพื่อชมวิวแลนด์มาร์คที่สำคัญๆของโยโกฮาม่าอีกซักสามสี่แห่ง เช่น กลุ่มหอคอย 3 สหายโยโกฮาม่า อันประกอบด้วย
- อาคารศุลกากรโยโกฮาม่า (Yokohama Customs building) หรือ หอคอยควีน
- ที่ทำการจังหวัดคานางาว่า (Kanagawa Prefectural Office) หรือ หอคอยคิง
- หออนุสรณ์รำลึกการเปิดท่าเรือโยโกฮาม่า (Yokohama Port Opening Memorial Hall) หรือ หอคอยแจ็ค
ตามประวัติฯที่ไปค้นจากหนังสือนำเที่ยวมาก็บอกว่าอาคารพวกนี้แหละที่ก่อสร้างมาตั้งแต่สมัยเปิดประเทศ แต่ดันแถมพ่วงด้วยตำนานที่ว่า “ถ้ายืนอยู่ในจุดที่เห็นทั้งสามหอคอยพร้อมกันได้ ความปรารถนาจะเป็นจริง” อะไรแบบนี้ด้วย ซึ่งถึงจะไปเดินจริงๆก็ไม่ได้พบว่าจะมีจุดไหนที่เห็นอาคารพวกนี้ได้ครบเลย คงต้องมองจากบนฟ้าแน่ๆ (หรือจะเป็นแคมเปญให้ขึ้นจุดชมวิวแถวๆนี้อีกกันนะ ฮา)
หลังจากนั้นก็เป็นการเดินลัดเลาะริมทะเลเพื่อไปชมวิวอีกสองจุด จุดแรกเห็นชัดเจนมากและจัดเป็นตึกที่เมื่อเห็นแล้วจะอ๋อทันทีว่านี่หละโยโกฮาม่า นั่นคือตึก โยโกฮาม่าแลนด์มาร์คทาวเวอร์ (Yokohama Landmark Tower, 横浜ランドマークタワー) ส่วนอีกจุดจะเป็นย่านอาคารโกดังก่ออิฐสีแดงขนาดใหญ่ที่เรียก โยโกฮาม่าเรดบริคแวร์เฮาส์ (Yokohama Red Brick Warehouse, 横浜赤レンガ倉庫)
ตัวแลนด์มาร์คทาวเวอร์นั้นคงไม่พูดถึงมากเพราะเป็นอาคารสมัยใหม่ที่โดดเด่น แต่โกดังอิฐแดงรายการหลังนี่หละที่มีประวัติศาสตร์โดดเด่นเพราะเป็นงานก่อสร้างโกดังเก็บของของทางรัฐบาลญี่ปุ่นไว้รองรับการเข้ามาของต่างชาติในช่วงเปิดประเทศเช่นกัน (ก็ดูเป็นกลุ่มเซ็ตอาคารเดียวกับศุลกากร เหมือนสร้างมาใกล้กันเพื่อทำหน้าที่ซึ่งกันและกันเพื่อรองรับท่าเรือใหญ่) และปัจจุบันนี้กลายเป็นย่านการค้าที่เป็นบรรยากาศย้อนยุคๆ ดูเก๋ๆ ไปแล้วหละ
มีรูปมากิจังจากเลิฟไลฟ์!โผล่มาตอนถ่ายกับโกดังนี่ไม่ใช่อยากจะหยิบก็หยิบนะ แต่ว่าเนื่องจากมุมนี้และมากิจังเคยเป็นรูปที่ใช้ในตั๋วของ LL! หนังโรงเวอร์ชั่นพิเศษ (ตามรูปด้านล่าง)
เลยจำเป็นต้องให้แพตตี้หยิบมากิจังมาโพสท่าสวยๆไปโดยปริยาย และตอนที่มาเดินแถวๆนี้นับว่าคนเยอะเลยทีเดียวเพราะมีเทศกาลเบียร์มาจัด คนครึกครื้นและฟุ้งไปด้วยกลิ่นเบียร์เลยทีเดียว
เดินจนพอใจและเย็นย่ำพอควรก็ได้เวลากลับโตเกียวกัน โดยเดินลัดเลาะมาลงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินมินาโตะมิไร (Minatomirai Station) จากนั้นนั่งสายฟุคุโทชินสายเดิมเมื่อเช้าตรงยาวเข้าเมืองมาเลย.. มาลงอีกทีที่สถานีรถไฟฮาราจูกุ (Harajuku Station) แน่นอนว่าเรายังไม่จบทริปวันนี้ง่ายๆ
ยามดึกกับฮาราจูกุและเลิฟไลฟ์!คอลาโบฯช็อป (2015)
จริงๆคือพวกเราไม่ได้กะจะมาเที่ยวย่าน ฮาราจูกุ (Harajuku, 原宿) ที่เป็นไอคอนของแฟชั่นหลุดโลกของวัยรุ่นญี่ปุ่นกันยามดึกแต่อย่างใดหรอกนะ.. แต่จริงๆแล้วคือตอนที่เดินทางมาเนี่ยก็ได้ข่าวจากเว็บจากเพื่อนฝูงมาว่ามันมีร้านพิเศษของเลิฟไลฟ์! มาเปิดที่ย่านนี้ และเปิดวันนี้ พอดี แต่ว่ามันต้องทำการจองตั๋วเข้ามาจากในเว็บก่อน (?…) แต่ว่าพวกเราไหนๆก็มาญี่ปุ่นแล้วก็ไม่อยากจะเสียโอกาส ถึงไม่ได้เข้าขอเห็นหน้าร้านก็พึงพอใจ เลยทำการค้นหาแผนที่แล้วก็เดินตามกันมา โดยการจะไปช็อปต้องผ่านถนนช็อปปิ้งชื่อดัง ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Dori, 竹下通り)
เป็นถนนที่ดูมีชีวิตชีวาไปด้วยบรรยากาศวัยรุ่นมากๆ ร้านค้าในย่านนี้ดูขายของที่ราคาไม่แพงมากนักเหมาะกับการช็อปปิ้งของเด็กนักเรียน ให้บรรยากาศราวๆเดินสยามร้อนบ้านเรานั่นหละ ถ้าสาวๆที่ชอบแต่งตัวจุกจิกหรือชอบของน่ารักๆมาเดินน่าจะปลื้มมากเลยทีเดียว–
แต่เนื่องด้วยไม่ได้กะจะมาเดินย่านนี้ทำให้พวกเราเดินฉับๆกันอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าร้านคอลาโบฯจะปิดเสียก่อน.. เดินวนหาทางอยู่ไม่นานก็เจอกับหน้าร้านที่ประดับด้วยภาพตัวละครจากในอนิเมแบบเห็นแต่ไกล
ดูคนไม่ค่อยเยอะเพราะร้านดึกแล้ว.. ไปด้อมๆมองๆอยากเข้าร้านกับเขาบ้างแต่ว่าพูดญี่ปุ่นไม่สะดวก เลยลองไปสปีคอิงลิชกับน้องพนักงานว่าจะเข้าต้องทำอย่างไร ต้องจองอย่างไร ดูเหมือนคุณน้องพนักงานจะงงๆกับภาษาอังกฤษของพวกเรา เลยโดโซะๆ เชิญพวกเราเข้าไปแบบสบายผ่านตลอด คงต้องคนน้อยจริงๆด้วยถึงได้รับการยกเว้นแบบนี้ ขอบคุณคุณพนักงานเอาไว้ด้วย ณ ที่นี้
ภายในร้านคอลาโบฯช็อปนี้ก็เป็นร้านขายของแบบเพียวๆเลย มีสินค้าที่เป็นตัวล่าสุดมาขาย บางอย่างก็หาได้ยากเช่นเสื้อยืดลายยูนิตหรือถุงผ้าดิบลายตัวละครรายคน ที่เด่นคือถ้าช็อปครบตามที่กำหนดก็จะได้ถุงกระดาษสวยๆเก๋ๆมาถือกันด้วยแหละ
ไม่ใช่แค่ขายของ แต่ว่าในชั้นสองเองก็มีส่วนแสดงชุดขึ้นไลฟ์ของเซย์ยูให้ดูด้วยทั้ง 9 คน ตรงนี้ไม่รู้มาก่อนเลย!! แต่ก็นับว่ารู้สึกคุ้มค่าที่ลองเสี่ยงมา อยากถ่ายรูปอย่างมากแต่ว่าเค้ามีป้ายแปะตัวเบ้อเริ่มว่าห้ามถ่ายรูปชุดหละ…
ได้ถุงกระดาษลายพิเศษๆมากับได้ดูชุดของเซย์ยูแบบนี้ก็นับว่าคุ้มแล้วหละ ถ้านับตัวผู้เขียนจนปัจจุบันนี้ (2016) ก็ได้ดูชุดขึ้นไลฟ์ของนักพากย์ไป 3 เซ็ตแล้ว จะมีโอกาสได้เห็นมากกว่านี้ไหมนะในอนาคต
ช็อปปิ้งเสร็จก็ได้เวลากลับโรงแรมกัน อ้อ ของกินที่ขึ้นชื่อของย่านฮาราจูกุนี้แน่นอนว่าต้องเป็นเครปญี่ปุ่น มาย่านนี้ครั้งแรกก็กิน ครั้งนี้ก็ต้องกินอีกแน่นอน โดยคราวนี้เห็นว่าร้าน มาริออนเครป (Marion Crapes) ที่หน้าร้านโดดเด่นและมีป้ายเขียนว่าเปิดมาตั้งแต่ปี 1976 นั้นคนเยอะและดูมีกลิ่นหอมดี เลยแวะซื้อเครปมาเดินกินไป 1 ชิ้น ราวๆ 390 เยน
แต่มันพีคตรงหันหลังจากร้านนี้ไปก็เจออีกร้าน แปะป้ายว่าเปิดมาตั้งแต่ปี 1975.. อ้าว กะจะกินร้านที่เก่าแก่สุดเสียหน่อย..
สำหรับทริปเที่ยวยาวเช้ายันมืดในบทความนี้ก็คงตัดบทจบกันแค่นี้ ท่านที่ไปโตเกียวแล้วอยากสนุกกับเดย์ทริปหลากหลายรสชาติลองลอกทริปนี้กันได้นะ น่าจะเป็นทริปที่ดีและทำให้ประทับใจได้มากเลยทีเดียว~อนึ่งถ้าไม่ได้มีธุระต้องกลับมาหาคอลาโบฯช็อปหรือร้านติ่งๆแบบในบทความนี้ ก็ลองปรับตารางให้อยู่ไชน่าทาวน์หรือริมทะเลโยโกฮาม่ากันจนดึกๆซัก 3 – 4 ทุ่มแล้วขึ้นชมวิวจากตึกแลนด์มาร์ค ก็น่าจะเป็นทริปที่ลงตัวได้เลย