ได้เที่ยวนอกเมืองจนหนำใจพักผ่อนแบบเต็มอิ่มกว้างขวางไปแล้วก็ได้เวลากลับไปเมืองกันต่อแล้วหละ ในตอนนี้เป็นบทความตอนที่ 5 สำหรับตอนอื่นๆติดตามได้ในสารบัญเน้อ
สารบัญ: ญี่ปุ่นไปรอบๆ
คลิกเพื่อดูสารบัญบทความ
ญี่ปุ่นไปรอบๆ
- ตอนที่ 8: เดย์ทริปที่โยโกฮาม่าแล้วมาจบที่ฮาราจูกุ
- ตอนที่ 7: วันอิสระสอยของที่อากิบะ+อิเคะฯ
- ตอนที่ 6: นาคาโนะบรอดเวย์และกิบลิมิวเซียม
- ตอนที่ 5: เที่ยวสวนสนุกสไตล์ญี่ปุ่นฮานะยาชิกิ
- ตอนที่ 4: ไปมรดกโลกที่นิกโก้ในวันฝนพรำ
- ตอนที่ 3: ประสบการณ์เข้างานโดจิน ~เลิฟไลฟ์! นิชิคิโนะมากิจังออนลี่อีเวนท์~
- ตอนที่ 2: ยามดึกที่อากิบะและดูแสงสีที่มิไรคัง
- ตอนที่ 1: กว่าจะถึงโตเกียว
วันที่ 21 เมษายน 2558
จากตอนที่แล้ว พวกเราได้ตระเวนเที่ยวนิกโก้โดยรอบๆและพักกันที่ นารุซาว่า ลอด์จ เช้านี้จึงเป็นเช้าที่สดใสและพลังกายฟื้นคืนเต็มร้อยเป็นอย่างยิ่ง (ฟ้าใสมากด้วย มากอย่างน่าเจ็บใจ) ก็เปิดด้วยมื้อเช้ากันก่อน เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ซื้อมาเมื่อคืนนั่นหละ
หลังจากโซ้ยข้าวกันเสร็จพวกเราก็กลับไปที่สถานีรถไฟโทบุนิกโก้เพื่อเตรียมตัวกลับโตเกียวกัน แต่ว่าคราวนี้ไม่ต้องใช้แทกซี่แล้วเนื่องจากยูจิซังเจ้าของที่พักได้พาไปส่งให้ อ้อ ต้องทำเรื่องจองตั้งแต่เมื่อคืนไว้ด้วยนะ ถึงจะได้บริการรับส่งฟรีจากโอนเนอร์ (ดีมากๆ) ระหว่างทางกลับเอง ยูจิซังได้ชี้ให้ดูต้นซากุระต้นหนึ่ง และต้นเดียว ที่ได้เห็นระหว่างทางกลับ แกบอกว่าเป็นต้นที่น่าจะสวยที่สุดในนิกโก้นี้ที่เห็นมา เมื่อลองมองตามแกบอกก็ได้พบว่าเป็นต้นซากุระที่ใหญ่และสวย ยืนต้นอยู่เดี่ยวๆข้างคลองอย่างแข็งแรงจริงๆตามคำบอก
ถึงจะไม่ได้เจอต้นซากุระเลยก่อนหน้านี้ แต่ได้มาจากที่นี่ แม้เพียงต้นเดียวก็เถอะก็อาจจะเรียกได้ว่ามาถึงญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิจริงๆซักทีหละนะ
ก่อนจะแยกขึ้นรถไฟไป ขออนุญาตยูจิซังถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก 1 รูป ขอบคุณมากครับสำหรับการบริการที่อบอุ่น หลังจากนั้นก็เป็นมหกรรมเดินทางกลับแบบงงๆเล็กน้อย เหมือนว่าจะเช็คตารางเวลารถไฟผิดพลาด ขึ้นเร็วกว่ากำหนดมาซะงั้น ทำให้หลังแทนที่จะนั่งยาวๆกลับมาลงสถานีโทบุอาซากุสะ กลับต้องลงต่อรถอยู่หลายทีมาก (นับได้ราวๆ 3 ต่อ) แถมไปแบบมั่วๆเล็กน้อย แต่ว่าก็ถือว่าสนุกดีในระดับหนึ่ง ยังไงซะวันนี้ก็ฟ้าใสดีซะด้วย
กลับสู่โตเกียว เที่ยวย่านอาซากุสะและอุเอโนะ
หลังจากใช้เวลาตะกุกตะกักอยู่กับการต่อรถไฟเสียนาน ก็ได้กลับสู่โตเกียว นครหลวงอันเดินทางแสนสะดวกสบายและไม่ต้องกังวลเรื่องตารางเวลาเดินรถอีกครั้ง โดยจุดมุ่งหมายในวันนี้จะอยู่ที่การแวะเที่ยวแถวๆอาซากุสะ และตามด้วยการไปตลาดอาเมโยโกะอีกซักนิดเป็นพิธีตามสไตล์การเที่ยวที่คนไทยนิยม
ก่อนอื่น เมื่อมาถึงอาซากุสะนี้ แน่หละ ยังไงก็ต้องไปวัดเซนโซจิ (Sensoji Temple, 金龍山浅草寺) กันก่อนเลย แน่ว่าเป็นวัดที่มีประตูที่มีโคมสีแดงๆอันใหญ่ๆเจ้าเก่าที่เป็นสัญลักษณ์เหมือนบอกว่ามาถึงโตเกียวแล้วนั่นหละ จากนั้นก็เดินถ่ายรูปแวะดูของข้างทางที่ถนนนากามิเสะ (Nakamise-Dori, 仲見世通り) ตามประสานักท่องเที่ยวปกติทั่วไป ที่มีจุดประสงค์แอบแฝงคือมาถ่ายรูปมุมเดียวกับที่วงมิวส์ในเลิฟไลฟ์! มาเที่ยวกันในซีซั่นที่ 2 ตอนที่ 11
จริงๆแถวนี้ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าของจุกจิกตามสไตล์ของฝากสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะโดนอัพราคาขึ้นไปเล็กน้อย จริงๆการเดินละแวกนี้อย่างละเอียดตัวผู้เขียนเคยได้เขียนไว้แล้วใน เที่ยว 0 โตเกียว: อาซากุสะ-นาคาโนะ-ชินจูกุ-ชิบุย่า ลองแวะไปอ่านกันได้ แต่ทั้งนี้การเดินทางแต่ละครั้งย่อมมีไฮไลท์แตกต่าง เช่นคราวก่อนกินขนมนินเกียวยากิ คราวนี้ก็กินซาลาเปาทอดแทน ลูกละ 170 เยนก็พอจะบันเทิงแทนข้าวเที่ยงไปได้แล้วหละ
และแบบที่เกริ่นไป ในบางมุมของวัดนี้มีฉากเดียวกับในอนิเมไอดอลด้วย เช่นฉากกระถางธูปใบนี้ที่ โทโจ โนโซมิ (東條希) พาเพื่อนๆมารับพลังเพื่อความเป็นสิริมงคล
แต่จุดประสงค์หลักของการมาแถวนี้คือตอนแรกตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมสวนสนุกฮานะยาชิกิ (花やしき) ด้วยเหตุผลเดิมที่ตั้งใจจะไปตามรอยที่เที่ยวอีกแล้วน่ะหละ แต่เมื่อไปถึงหน้าสวนสนุกก็ดันต้อง เอ่อ ตกใจเล็กน้อยกับแพนด้าที่อยู่หน้าสวนสนุก
แพทตี้ทักขึ้นมาว่าเจ้าแพนด้าตัวนี้มันแพนด้าที่มิโมริน (三森 すずこ นักพากย์ที่พากย์อุมิจังใน LL!) ขี่ในไลฟ์ของมิลกี้โฮล์มสครั้งนึงนี่นา เลยถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน แต่ที่ดันน่าตกใจกว่าเดิมคือหันไปแล้วเจอโปสเตอร์เต็มตา.. โปสเตอร์ที่ว่านั้นคือ
จากเดิมที่ลังเลว่าจะเสียเงิน 1,000 เยน เพื่อเป็นค่าเข้าสวนสนุกดีรึเปล่า.. ก็ควักจ่ายแบบไม่คิดมาก โอกาสที่สวนสนุกจะมาคอลาโบกับนักพากย์ที่ติดตามแบบนี้คงไม่ได้มีบ่อยๆ (มาเช็คเวลาทีหลังว่ามีแค่ 18 วันเท่านั้นเอง โชคดีไม่เบา) โดยเมื่อได้เข้าไปแล้วก็ไม่ผิดหวัง เพราะที่นี่เป็น “สวนสนุกที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น” เปิดทำการมาตั้งแต่ปี 1853 เลยทีเดียว (ในช่วงแรกเป็นสวนดอกไม้แต่เปลี่ยนมาเป็นสวนสนุกในภายหลัง อ่านอย่างละเอียดได้ในลิงค์นี้) ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศเครื่องเล่นเก่าๆ เวทีการแสดงขบวนการห้าสีแปลงร่าง รถไฟเหาะเล็กๆ หรือบ้านผีสิงสไตล์ญี่ปุ่น ที่มักจะพบในมังงะญี่ปุ่น คุณจะหาได้จากที่นี่แน่นอน
โดยก่อนอื่นเครื่องเล่นที่เด่นที่สุดในสวนสนุกอย่าง Beeทาวเวอร์ (Beeタワー) เป็นจุดที่ตรงไปถ่ายรูปก่อนเลยตามสไตล์ติ่งแบบที่พวกวงมิวส์แวะมาเล่นกัน นับว่าบรรลุวัตถุประสงค์ได้ 1 อย่าง
ก่อนจะเดินกันต่อขออธิบายหลักการเล่นเครื่องเล่นในนี้กันก่อน แต่ละเครื่องเล่นจะต้องการจำนวนตั๋วที่ต่างกัน เช่น Beeทาวเวอร์ใช้ 3 ตั๋ว เราก็ตรงดิ่งไปเครื่องขายตั๋ว กดมา 3 ใบ ใบละ 100 เยน ก็จะเล่นได้แล้ว! (มีโปรโมชั่นตั๋ว 11 ใบ 1,100 เยนด้วย) จริงๆจะมีตั๋วพาสสำหรับเล่นได้เยอะกว่านี้แต่ว่าไม่ได้ทดลอง ฉะนั้นจะอธิบายก็ใช่ที่.. เอาเป็นลองกันดูเน้อ ซึ่งเครื่องเล่นต่างๆในสวนนี้ก็จะไม่ได้อลังการมากนักแต่ก็พอจะน่าสนใจหลายอย่าง (อย่าลืมว่ามันเก่าแล้ว!)
และเมื่อเดินๆไปจึงได้พบกับไฮไลท์ของคอลาโบ มิโมริน×ฮานะยาชิกิ (みもりん×浅草花やしき) ที่ว่ากันเอาไว้ตอนแรกว่าเป็นการร่วมมือเล็กๆระหว่างสวนสนุกและอัลบั้มที่ 2 แฟนตาสติกฟันแฟร์ (Fantasic Funfair) นั่นเอง
กิจกรรมที่มีจัดในสวนสนุกก็ไม่มีอะไรมาก เช่น ตามหาเครื่องเล่นที่มีแฝงคำว่ามิโมริน หรือเครื่องเล่นบางตัวที่แอบเปลี่ยนป้ายชื่อไปใช้เป็นชื่อเพลงแบบในอัลบั้ม เช่น Traveling Kit และยังมีชุดคอสตูมสำหรับขึ้นไลฟ์คอนเสิร์ตที่แอบซ่อนไว้ในสวนสนุก..!! (พวกเราอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกเลยพลาดการตามหาชุดไปโดยปริยาย น่าเสียดาย :cry:) แต่อีกกิจกรรมที่เห็นได้ง่ายๆก็จะเป็นกิจกรรม “มิโมรินแสตมป์แรลลี่” ที่ให้ตามหาแสตมป์รูปมิโมะทั้ง 5 รูปในสวนสนุกที่จะวางอยู่ในที่ต่างๆ
ตอนแรกก็ปั๊มลงสมุดไปก่อนด้วยความติ่ง.. แต่เดินๆหาไปซักพักก็พบว่าเขามีแบบฟอร์มตารางมาให้ปั๊มกันด้วย เลยขอมาปั๊มเล่นเป็นที่ระลึกและแจกทาสตามไปด้วย (..) นอกจากจะได้กระดาษปั๊มมาแล้วยังพบว่ามีสินค้าที่ระลึกเกี่ยวกับคอลาโบนี้ขายด้วย เป็นจำพวกเสื้อและผ้าขนหนู พวงกุญแจ ราวๆนี้
หลังจากได้แบบฟอร์มก็เดินวิ่งตามหาแสตมป์ที่เหลือกันซักพัก บางอันก็หายาก บางอันก็หาง่าย ที่แอดวานซ์คือต้องขึ้นตึกไปหาด้วยนี่หละ บางทีขึ้นกันถึงดาดฟ้า แอบตกใจที่ญี่ปุ่นนี่ใช้พื้นที่คุ้มค่ามาก กระทั่งแต่ละชั้นของตึกก็แฝงเครื่องเล่นและโซนสวนสนุกเอาไว้ บนดาดฟ้าก็มีสวนหย่อม อะไรประมาณนั้น
ตามล่ากันซักแปปก็ครบถ้วน เป็นกิจกรรมคอลาโบเล็กๆที่ทำให้ได้เดินสำรวจสวนสนุกอย่างครบถ้วนครบทุกที่ทุกชั้นจริงๆ (แผนการตลาดเขาไม่ธรรมดา) เป็นอันว่าในที่สุดตราแสตมป์พวกเราก็ครบถ้วนมีเก็บไว้อย่างสบายใจ อา ใช่แล้ว ได้เจอกับแพนด้าสำหรับขี่ตัวเป็นๆด้วย แต่ไม่กล้าหยอดเหรียญนั่ง
อนึ่งในระหว่างที่ตามหาแสตมป์ก็ได้เจอกับโซน “บ้านหลอน~การแก้แค้นของวิญญาณต้นซากุระ (お化け屋敷~桜の怨霊~)” ด้วย โดยผู้เขียนตั้งเป้าว่าอยากเข้าไปเล่นนี่หละ บ้านผีสิงแบบญี่ปุ่นๆ เลยชักชวนปาร์ตี้สาวๆแต่ปรากฎว่าไม่มีใครเข้าด้วยเลย..! เลยจัดแจงเข้าเองซะดีกว่า
จ่ายเงินเข้าบ้านผีสิงราคา 3 ตั๋ว เดินเข้าไปหาพนักงานหน้าบ้านผีสิง ผลปรากฎว่านอนหลับอยู่ (อ้าวเฮ้ย) พอยื่นไปก็ได้รับบัตรกลับมาใบนึง ฟังคร่าวๆด้วยภาษาญี่ปุ่นผสมอังกฤษพบว่าเดินเข้าไปในสุดให้เอาบัตรเสียบเข้าไปรับพรกับท่านฟุโดเมียวโอเพื่อรับพร และถ้าไม่เสียบจะออกไม่ได้ เลยลองเข้าไป
บ้านผีสิงสไตล์ญี่ปุ่นนี้ช่าง..หลอนได้ใจ ด้วยบรรยากาศที่จัดมาสไตล์หนังผีญี่ปุ่น เช่นตุ๊กตาวางเรียงกันเต็มผนัง ผ้าขาวโรยลงมาจากเพดาน เสื่อทาทามิ บลาๆ หลายจุดก็ตกใจตามสเต็ป ไอ้ที่น่าแค้นคือบัตรรับพรจากท่านฟุโดเมียวโอที่น้องพนักงานแจ้งไว้พอเสียบเข้าไปแล้วมันมีลมอัดลงมาให้ตกใจอีกต่อ สรุปโดนหลอกตั้งแต่พนักงานเลยนี่หว่า..
ตอนก่อนออกก็เกือบหาทางออกไม่เจอด้วยช่างซับซ้อนเหลือเกิน + ไปคนเดียวไม่มีใครให้เดินตาม ยังดีที่พอตาชินกับความมืดแล้วจะค่อยๆคลำทางจนหาทางออกมาได้ รอดไป หลังจากจบจากบ้านหลอนก็ไม่มีอะไรมากแล้วสำหรับสวนสนุกแห่งนี้ แวะกินเฟรนฟรายง่ายๆจากร้านลุงข้างในสวนสนุกอีกซักหน่อยก็ได้บรรยากาศดีๆ
กินเสร็จ เล่นเสร็จ ล่าแสตมป์เสร็จก็ออกจากสวนสนุกกันแล้ว แต่ก่อนจะออกก็พบว่ามีร้านขายของที่ระลึกคอยดักทางอีกนิดก่อนออกด้วย โดยในสวนสนุกฮานะยาชิกินี้จะมีคอลาโบที่เอาตัวละครต่างๆมาขี่แพนด้า (แบบที่มิโมรินขี่นั่นหละ) โดยที่เห็นชัดๆก็มีทั้งร็อคแมน, ไอรูจากมอนฮัน, คิตตี้ บลาๆ น่ารักและเหมาะเป็นของฝากที่ไม่ซ้ำใครมาก
ตามที่ได้บอกกันไป ในวันนี้เนื่องจากยังมีเวลาเหลือมากมาย หลังจากออกจากส่วนสนุกฯเลยจะไปหาข้าวหาขนมและเดินเล่นกันที่ตลาดอาเมโยโกะ (Ameyoko Market, アメ横) แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตระดับสุดๆที่ชาวไทยนิยมไปกัน โดยจากอาซากุสะนี่เดินทางมาอุเอโนะง่ายมากๆ เพียงแค่ขึ้นกินซ่าไลน์ (Ginza Line) ก็จะมาถึงสถานีอุเอโนะ (Ueno Station) ได้ในเวลาไม่นาน ประมาณ 3 ป้ายสถานีเท่านั้นเอง
หลังจากมาถึงสถานีอุเอโนะ เปิดกูเกิ้ลแมปกันซักนิดก็จะเดินตรงเข้ามาที่ตลาดอาเมโยโกะได้ โดยปกติแล้วตลาดอาเมโยโกะจะมีถนนเส้นหลักถนนเส้นรอง สองเส้นนี้ของขายเยอะน้อยต่างกันพอสมควรด้วยนะ
ถ้ายังจำได้ พวกเรายังไม่ได้กินข้าวอะไรกันตั้งแต่เช้าเลย และเนื่องจากที่มาญี่ปุ่นคราวก่อนเองก็กินข้าวหน้าปลาดิบที่ร้านมินาโตยะ (みなとや) คราวนี้ก็เลยไปกินอีกนั่นหละกับเมนูข้าวหน้าโอโทโร่ ราคา 850 เยน ตามด้วยทาโกะยากิ (อีกแล้วหรอ) ตามสเต็ป ทีนี้เนื่องจากยังกะเพาะยังไม่ได้สัมผัสถึงความอิ่มเลยจำเป็นต้องจัดเกาลัดมากินอีกถุงนึงด้วย–
ทีนี้เนื่องด้วยความที่มันเป็นตลาดนั่นหละ พวกเราก็เลยเดินเล่นดูของกันซักพัก สมาชิกเองก็ได้สอยรองเท้าคู่ใหม่กันมาด้วยซึ่งยังคงยืนยันว่าราคามันถูกจริงๆ แม้กระทั่งจะซื้อแบรนด์อเมริกาแบบนิวบาลานซ์หรือว่าคอนเวิร์ส ตอนเดินเล่นแถวๆนี้เริ่มพบว่ามีคนเรียกไปทำแบบสอบถามที่พูดภาษาอังกฤษกับเราแล้วก็เคยชินกับนักท่องเที่ยวไทยด้วย สมเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของชาวไทยไม่น้อย
ที่สนุกแบบแปลกๆคือเจอร้านขายสัตว์เลี้ยง ที่ญี่ปุ่นนี้ราคาสัตว์เลี้ยงเข้าขั้นมหาโหดเลยทีเดียว ลูกแมวตัวนึงประมาณ 390,000 เยนขึ้นไปสำหรับพันธ์ยุโรปดีๆมีเพทดีกรี เห็นแล้วอยากขอลองอุ้มแต่ว่าเนื่องด้วยสื่อสารกันไม่ได้ อะไรหลีกเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเสียดีกว่า..
ไอ้ที่อยากเล่าจริงๆคือการรับฝากซื้อของจากน้องสาวที่ไทย ได้ลิสรายการสำหรับฝากซื้อเครื่องสำอางมาเยอะมาก โดยน้องสาวได้ระบุว่าซื้อที่ญี่ปุ่นนี่ถูกกว่าเห็นๆ แต่สำหรับผู้ชายอย่างเราๆการเดินไปซื้อเป็นเรื่องลำบากเล็กน้อยเพราะว่าปริมาณเครื่องสำอางในแต่ละร้านมันเยอะมาก อนึ่งร้านง่ายๆที่น่าจะมีให้ซื้อกันก็เป็นร้านขายยาและเครื่องสำอางแบบแฟรนไชส์ มัตสึโมโต้คิโยชิ (マツモトキヨシ, Matsumoto Kiyoshi)
โดยไม่ยาก.. เพียงแค่กรุณาให้ผู้ฝากซื้อของท่านถ่ายรูปสินค้ามา หลังจากนั้นก็ไปเดินทาง อนึ่งเบอร์สีอาจจะหายากหรือไม่ตรง ได้มาบ้างไม่ได้มาบ้างก็อาจจะแล้วแต่บุญพาวาสนาส่ง แต่ร้านพวกนี้สามารถรูดบัตรเครดิตจ่ายได้โดยตรงโดยเสียค่าดำเนินการไม่มากนัก ราวๆเดียวกับเราซื้อของทางเน็ตนั่นหละ แถมถ้าซื้อราคาหลักหมื่นเยนยังสามารถทำเรื่องของภาษีคืนได้อีกด้วย
เดินตลาดกันเสร็จสิ้นกันจนพอใจก็ได้เวลาส่วนตัวกลับที่พักกันได้แล้ว ต่างฝ่ายในปาร์ตี้ต่างแยกกันไปเดินเล่นตามความชอบใจ โดยทางผู้เขียนและแพตตี้เลือกที่จะไปเที่ยวย่านโอโตเมะโร้ดเพื่อหาสินค้าติ่งๆเกี่ยวกับอนิเมกันในรอบเย็น โดยหลักๆแล้วพวกเราแทบจะเดินร้านอนิเมช็อปในย่านนี้กันทะลุปรุโปร่งกันมาก.. คิดว่าจะเขียนรวมๆกันในบทความหนึ่งไปเลย อนึ่งไม่ใช่ว่าแถวโอโตเมะโร้ดนี่จะมีแต่สินค้าสำหรับสาววาย สินค้าสายปกติเองก็มีไม่น้อยและราคาถูก บางแห่งก็ปิดดึกมากด้วยเหมาะกับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ
ปิดท้ายวันด้วยมื้อเย็น วันนี้ขอฝากท้องกับร้านเดิมแถวอิเคะบุคุโระอีกครั้งหนึ่ง ร้านข้าวหน้าเนื้อแบบแฟรนไชส์มัตสึยะ (松屋) กับเมนูช่วงนี้ แกงกะหรี่เนื้อวัว ราคา 870 เยน อ้อ ถ้าเทียบกับแถบอาซากุสะที่เคยพักแล้ว บริเวณอิเคะบุคุโระฝากที่เป็นย่านที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวนี่ร้านอาหารเยอะมากและปิดดึกมากด้วย ไม่มีปัญหาสำหรับการหาอะไรกินยามดึกแน่นอน
ปิดท้ายวันนี้ ขากลับยังเจอร้านต้นแบบของยาโยอิที่มาเปิดในไทยด้วย เหมือนว่าที่ญี่ปุ่นจะชื่อยาโยอิเค็น (Yayoiken, やよい軒) ด้วย..เลยไหนๆแล้วแวะไปลองก็พบว่าทุกเมนูเหมือนไทยหมดเลย!!! แต่ว่าดูสบายๆกว่าแล้วก็มีข้าวให้เดินไปตักเพิ่มเอง ซุปมิโซะเดินไปตักเพิ่มเองได้ด้วย ดูเป็นร้านง่ายๆสบายๆกว่าเยอะ
พรุ่งนี้จะเป็นวันพักผ่อนสบายๆในโตเกียว เราไปซื้อของที่นาคาโนะและแวะเที่ยวกิบลิมิวเซียมที่ได้จองตั๋วกันไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทางกัน~~