หลังจากตอนที่แล้วได้ไปทำกิจกรรมที่ดูมีความรู้เต็มเปี่ยมกันแล้ว วันนี้ก็ไปทำกิจกรรมกันแบบติ่งๆกันเถอะ สำหรับบทความนี้เป็นตอนที่ 3 สามารถติดตามตอนอื่นๆได้จากสารบัญเน้อ
สารบัญ: ญี่ปุ่นไปรอบๆ
คลิกเพื่อดูสารบัญบทความ
ญี่ปุ่นไปรอบๆ
- ตอนที่ 8: เดย์ทริปที่โยโกฮาม่าแล้วมาจบที่ฮาราจูกุ
- ตอนที่ 7: วันอิสระสอยของที่อากิบะ+อิเคะฯ
- ตอนที่ 6: นาคาโนะบรอดเวย์และกิบลิมิวเซียม
- ตอนที่ 5: เที่ยวสวนสนุกสไตล์ญี่ปุ่นฮานะยาชิกิ
- ตอนที่ 4: ไปมรดกโลกที่นิกโก้ในวันฝนพรำ
- ตอนที่ 3: ประสบการณ์เข้างานโดจิน ~เลิฟไลฟ์! นิชิคิโนะมากิจังออนลี่อีเวนท์~
- ตอนที่ 2: ยามดึกที่อากิบะและดูแสงสีที่มิไรคัง
- ตอนที่ 1: กว่าจะถึงโตเกียว
วันที่ 19 เมษายน 2015
หลังจากคืนที่ 2 ที่ญี่ปุ่น วันนี้ทางกลุ่ม 4 คนของเราได้แยกเป็น 2 กลุ่มเพื่อไปทำกิจกรรมตามที่แต่ละกลุ่มชื่นชอบ โดยผู้เขียนและแพตตี้เลือกที่จะไปลองสัมผัสประสบการณ์อีเวนท์ขายโดจินชิกัน (อธิบายเพิ่มเติมไว้เล็กน้อยว่า โดจินชิ (Doujinshi, 同人誌) ความหมายคือนิตยสาร/สิ่งพิมพ์แบบมือสมัครเล่น ทำกันเองในหมู่ผู้ชื่นชอบ ไม่ได้มีความหมายว่าการ์ตูนเรท 18+ ตามที่หลายคนเข้าใจ ‘ ‘/)
โดยงานขายโดจินชิที่เราจะไปกันในวันนี้คืองาน ~เลิฟไลฟ์! นิชิคิโนะมากิจังออนลี่อีเวนท์~ (~ラブライブ!西木野真姫ちゃんオンリーイベント~) เรียกย่อๆว่างานมากิทัน (ทันในที่นี่มาจากทันโจบิ (たんじょうび) ที่แปลว่าวันเกิด) ซึ่งจัดได้เป๊ะมากเนื่องจากวันที่ 19 เมษา เป็นวันเกิดของ นิชิคิโนะ มากิ (西木野真姫) หนึ่งในสมาชิกวงมิวส์ ตัวละครหลักของอนิเมชั่นเลิฟไลฟ์! ที่พวกเรากำลังติ่งอยู่

มากิจัง
ถึงสมาชิกวงมิวส์จะมี 9 คน และต่างคนต่างมีสไตล์ต่างกันไป แต่ผู้เขียนชอบทุกคน ฉะนั้นจึงไม่มีสาเหตุให้ต้องปฏิเสธการไปงานโดจินฯแต่อย่างใด และเนื่องจากเมื่อวานนั้น คุณแม่ค้าพี่ยุยให้คำแนะนำมาว่า ให้ไปเช้าๆ ไปถึงตั้งแต่ 6 โมงเลยยิ่งดี พวกเราจึงตื่นตอน 6 โมงเช้าแล้วค่อยเดินทางกัน (เชื่อฟังดีจริงๆ..)
โดยงานนี้จัดขึ้นที่ พลาซ่าอุตสาหกรรมเขตโอตะ PiO (大田区産業プラザPiO) นอกตัวเมืองไปซักเล็กน้อย สามารถเดินทางไปถึงได้ง่ายด้วยการไปสถานีJR ชินากาว่า (Shinagawa) จากนั้นต่อสายเคย์คิวหลัก (Keikyu Main Line) ลงที่สถานีรถไฟ เคย์คิวคามาตะ (Keikyukamata) จากนั้นเดินตามป้ายบอกเรื่อยๆก็จะมาถึงได้โดยไม่ยากนัก
อนึ่งการขึ้นรถไฟสายเคย์คิวที่สถานีชินากาว่าจะมีขบวนรถหลายแบบ ทั้งแบบธรรมดาหวานเย็นจอดทุกป้าย และแบบด่วน ขอให้เลือกดีๆก่อนขึ้น ถ้าต้องการเดินทางด้วยความรวดเร็วก็หาแบบด่วนขึ้นก็จะดีกว่ามากๆ

ระหว่างทางไป PiO จากสถานีเคย์คิวคามาตะ (เห็นตัวตึกพร้อมป้ายในภาพ)
ตอนไปนี้ฝนโปรยเล็กน้อยตั้งแต่เช้า (พวกเรามาถึงประมาณ 9 โมงเช้า งานเริ่ม 11:30) โดยเมื่อมาถึงหน้า PiO ก็ได้พบว่ามีผู้คนมายืนรอกันประมาณ 20 คนแล้ว แต่ไม่ได้มีการตั้งแถวอะไร ทำให้พวกเราอดคิดมากไม่ได้ว่าเขาไปตั้งแถวกันที่ไหนรึเปล่า หรือว่าไปจัดที่อื่น

เหล่าผู้มารอเข้างาน
ตอนแรกพวกเราไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร หนาวก็หนาว เลยเดินเล่นภายในอาคารซะเลยเพื่อเป็นการสำรวจ ก็พบว่าในตัวอาคารฮอลใหญ่มีการตั้งโต๊ะเอาไว้ปริมาณมากพอสมควร แต่ฮอลเล็ก (小展示ホール) ซึ่งเป็นที่จัดงานมากิอีเวนท์ที่จะไปกันอยู่ที่ชั้น 2 ซึ่งตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าตรงไหน..

ทางขึ้นฮอลเล็ก
โดยเดินวนไปมาสำรวจที่ทาง ข้างหน้าตึกก็มีการติดป้ายประกาศแล้วว่าวันนี้จะมีงานอะไรจัดในตึกบ้าง ก็ได้พบว่ามีงานโดจินชิของไอดอลมาสเตอร์ (THE iDOLM@STER) จัดด้วย

แปะกันสดๆ
โดยเมื่อลองดูๆแล้ว พบว่างานไอมาสเปิดก่อน ส่วนงานของฝั่งเลิฟไลฟ์!จะเปิดให้ “ตั้งแถว” ที่เวลา 10:30 น. และเปิดให้เข้างานตอน 12:00 น. เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมพวกเรามาตั้งแต่เช้าจึงไม่พบขบวนตั้งแถว เพราะว่าสตาฟของงานยังไม่ออกมากำหนดว่าตั้งแถวอย่างไรนี่เอง (คงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของการจัดการงานอีเวนท์ในระดับที่ไม่ใหญ่มาก)
อนึ่งการเข้าร่วมงานทั้ง 2 งาน (หรืองานโดจินชิอื่นๆในญี่ปุ่น) จะต้องมีการซื้อบัตรเข้างาน โดยบัตรเข้างานจะมาในรูปแบบของ แคตาล็อก เป็นเล่มๆโดจินเนี่ยแหละ (พวกเราซื้อกันตั้งแต่วันก่อนนี้แล้ว จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการเข้าคิวซื้อแคตาล็อก แค่รอเข้างานก็พอ)

ตัวแคตาล็อกเข้างานจะเปิดขายตั้งแต่ก่อนตั้งแถวแล้ว สำหรับทั้ง 2 งาน ใครไม่มีเข้าไม่ได้

หน้าตาของแคตาล็อกเข้างานมากิออนลี่อีเวนท์

มาโต๋เต๋รอเรียกแถว แฟนๆเลิฟไลฟ์!เป็นสาวๆเยอะทีเดียว
ไฮไลท์อยู่ตรงนี้ พอถึงเวลาเรียกให้เข้าแถว ทางสตาฟของงานจะออกมาบอกกันสดๆตรงนั้นหละ ว่าเข้าแถวกี่แถว แถวละกี่คน หัวแถวอยู่ตรงไหน พวกเราก็ตามๆไปเข้าแถวกับเขาด้วย (งานนี้ไม่มีภาษาอังกฤษใดๆหลุดมาแม้แต่ประโยคเดียว คาดว่าไม่มีใครคิดว่าจะมีไกจิน 2 คนมาแฝงแถวๆนี้ด้วยหละมั้ง..) ก็มั่วๆเข้าไป เป็น 4 แถวๆละ 25 คน เป็นขบวนแถวแรกสำหรับเข้างาน
ทีนี้แถวไหนจะได้ไปก่อน คำตอบคือ ขึ้นกับการ เป่า ยิ้ง ฉุบ ของหัวแถวนั่นเองงง (ดีนะไม่ได้อยู่หัวแถว) แล้วบังเอิญหนักตรงที่ว่าแถวที่พวกเรายืนอยู่เป็นแถวที่ชนะพอดี ได้เข้าที่ 1 (และเป็นอันดับ 5 และ 6 ของงาน..) ตรงนี้สนุกและตลกดี คนที่เป่าแพ้ก็ขอโทษลูกแถวอย่างจริงจังด้วยนะ เมื่อถึงเวลาสตาฟก็พอแถวไปนั่งข้างบนต่อ รอเข้างานตอน 12:00 น.
ทีนี้คั่นด้วยเรื่องเล่า ว่าระหว่างที่เข้าแถว 4 แถวอยู่ข้างล่าง ก็เหมือนจะเจอชายผู้สะพายเป้โฮโนกะ หูฟังขาว เสื้อส้มลายตาราง คนเดียวกับที่เราเจอกันที่อากิบะฯทั้ง 2 วันที่ผ่านมา (อ่านได้ใน ญี่ปุ่นไปรอบๆ: วันที่ 1 ยามดึกที่อากิบะ และวันที่ 2 ที่มิไรคัง) คือตกใจมาก ทำไมพวกเราถึงเจอกับเขาได้หลายครั้งขนาดนี้ นี่สินะที่เขาบอกว่าติ่งมักจะดึงดูดกันเอง

เดินเข้าไปรอข้างในอีกที
ตอนนี้เริ่มคิดถูกว่าที่รีบมาอาจจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง (แม้ไม่ได้ควรมาเร็วขนาด 6 โมงเช้า แต่คิดว่าเกี่ยวกับสเกลของงานด้วย ยิ่งงานใหญ่ ยิ่งควรมาเช้าถ้าต้องการเข้างานเร็วๆเพื่อแย่งชิงโดจินชิ) โดยเมื่อมารอๆ แถวนี้จะพบว่ามีบรรยากาศของพวกมาเนีย.. หรือเขาชอบเรียกกันว่าโอตาคุ รุนแรงมาก เช่นพูดคุยเกี่ยวกับมากิจังและการจับคู่จิ้นอย่างสนุกสนาน เทรดของ บลาๆ บ้างก็ฆ่าเวลาด้วยการกดสคูลเฟส (スクフェス) อย่างเข้มข้น แต่ที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็น “การวางแผนซื้อโดจินชิ” ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากหนังสือของค่ายดังๆ จะหมดในเวลารวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
แพทตี้: ป๋า พอเข้าไปแล้วไปต่อคิวที่ซุ้มของโทโมะซังให้หน่อยนะ ไวๆเลย (ป๋า=Wซัง, โทโมะซัง=คนเขียนโดจินค่ายดังที่แพทตี้ต้องการ..)
Wซัง: แล้วหลังจากนั้นหละ
แพทตี้: ถ้าซื้อได้แล้วรีบไปต่อของอีอาร์ซัง ฯลฯ
Wซัง: โอเค ป๋าคงไม่ได้ซื้ออะไรมากเดี๋ยวไปต่อให้
ประมาณนี้ ฉะนั้นใครคิดจะมางานโดจินควรหาลูกจ้างต่อคิว เพื่อนสนิทมิตรสหายให้มาด้วยกันเพื่อประสิทธิภาพในการซื้อของ แต่ยอมรับว่าไม่ได้คิดว่าของจะหมดอะไร..แม้ว่าตอนนี้มองหันหลังไปจะเจอผู้คนที่มารอกันเรื่อยๆน่าจะหลัก 400 – 500 คนแล้ว
เมื่อถึงเวลา 12:00 น. สตาฟก็มาพาแถวแรกอย่างพวกเราไปที่หน้าประตูเพื่อเตรียมเข้างาน บรรยากาศก่อนเข้างานนั้นเรียกว่า.. เหมือนสงคราม (กระทั่งผู้จัดงานยังบอกออกมาเอง)

หน้าฮอลเล็ก สถานที่จัดงาน

เหล่าสตาฟที่คอยคุมแถวผู้คน
โดยกฎกติการการเดินในงานมีง่ายๆ เช่น ห้ามวิ่ง และให้เดินเป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกาเพื่อไม่ให้ขวางผู้อื่น นอกนั้นก็ไม่ได้มีอะไรมาก (อากาศร้อนมากต่างกับข้างนอก คงเพราะปริมาณคนมหาศาล และความรักที่มีให้มากิจัง)

เตรียมเข้างาน
อนึ่ง เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันเกิดมากิจัง สตาฟจึงพูดอวยพรให้มากิจังก่อนด้วย (ฮา) และเมื่อถึงเวลา 12:00 น.ตรง แถวแรกก็ปล่อยให้เข้าไปซื้อโดจินชิได้ตามอัธยาศัย บรรยากาศตอนนี้เรียกว่าฮึกเฮิมสุดๆ หลายคนยังบอกว่าโอ้ ยังกับบรรยากาศสงคราม

บรรยากาศภายในอีเวนท์
แล้วก็เหมือนสงครามจริงๆนะ บรรยากาศคือคนเยอะมาก เซอร์เคิลชื่อดังคนต่อคิวไวมากถึงมากที่สุด แปปๆก็คิวล้นแล้วล้นอีกจนต้องมีป้ายกลางแถว (เหนือชั้นกว่าป้ายท้ายแถว) คนช่างเบียดเสียดเพื่อจับจ่ายซื้อของที่ตัวเองรักกันอย่างดุเดือด (หรือเอาไปขายต่อก็ไม่อาจทราบได้) การซื้อของกับเซอร์เคิลต่างๆในงานโดจินนั้นไม่ยาก เราไม่ต้องสนทนาอะไรมากเพราะคนมหาศาล ดูป้ายราคา บวกลบ จ่ายเงิน แล้วเดินออกอย่างรวดเร็วก็พอเพียงแล้ว อยากได้กี่เล่มก็บอกเอาแบบง่ายๆภาษามือนี่หละ ส่วนมากก็จะจำกัดให้ซื้อได้คนละ 3 เล่ม

หน้าเซอร์เคิลชื่อดังสวีทพี (スイートピー) ที่ได้รับการไหว้วานมาให้ต่อแถว
พอได้ซื้อของตามไหว้วานสำเร็จ (ของแถมที่มีเฉพาะในงานนี้หมดลงในเวลาประมาณ 10 นาทีแรกเท่านั้นเอง) ก็เดินดูเซอร์เคิลอื่นๆ พบลายเส้นที่คุ้นตาจากการเคยอ่านแสกนมากมาย (ขอโทษเหล่าอาจารย์ผู้ขยันขันแข็งปั่นโดจินด้วยฮะ) หลายลายเส้นก็มาถูกใจกันในงานนี่หละ

เซอร์เคิลนิราทามะ (にらたま) อาจารย์คนเขียนเรียบร้อยมาก (?)

เซอร์เคิลคัสตอมไซส์ (カスタムサイズ) เผลอซื้อมาครบทุกเล่มเลย..

ค่ายนี้น่ารักนะะ (อวย)
ถึงตัวผู้เขียนไม่ได้โอชิมากิจัง แต่ว่าก็จ่ายตังไปอย่างสติหลุดๆไปจำนวนมาก ดราม่าเหลือเกิน บรรยากาศของอีเวนท์ช่างพาให้เสียเงินได้แบบง่ายๆ หลังจากเดินจับจ่ายใช้สอยกันอย่างพอใจในเวลารวดเร็วก็รีบถอยออกจากอีเวนท์เพราะคนเยอะมาก และยังเติมเข้ามาแบบไม่หยุด ในงานเองก็เบียดเสียดแบบสุดๆเดินชนไปชนมากันมากมาย
อนึ่งเงินตราที่เสียไปในงานนี้อย่าเพิ่งไปนับเลยจะทำให้เที่ยวในทริปที่เหลือได้สบายใจกว่าเยอะ จบจากตรงนี้ก็เดินกลับไปที่สถานีรถไฟเคย์คิวคามาตะเหมือนเดิม (มีฝนตกโปรยปรายลงมาช่วงนี้ แน่นอนว่าต้องปกป้องโดจินก่อน..) ขากลับไม่พลาดแบบตอนขามาแล้ว เลือกรถไฟสายด่วนพิเศษเพื่อกลับไปที่สถานีชินากาว่าได้อย่างรวดเร็ว

เลือกดีๆ มันจะบอกอยู่ที่แถวๆประตูว่าเป็นรถสายด่วนหรือธรรมดา

เช่นในรูปนี้เป็นสายธรรมดา (Local) ไปถึงจุดหมายเหมือนกัน แต่ไปช้าๆแบบหวานเย็น
ช่วงบ่ายของวันนี้ไม่มีอะไรมาก แต่ที่แน่ๆคือระบบอินเตอร์เน็ตของพวกเราสองคนเดี้ยงไปแล้ว เนื่องจากใช้งานเกินโควต้า (100 mb/วัน รีเซตตอนเที่ยงคืน) จึงไม่สามารถติดต่อสมาชิกคนอื่นๆได้ทั้งๆที่มีจุดมุ่งหมายว่าจะมาเดินอากิฮาบาระแบบเต็มวันกันในวันนี้ ไม่เป็นไร การเดินเล่นสำคัญกว่านัดเจอ ฉะนั้นเมื่อมาถึงสถานีอากิบะกันแล้วก็ต้องซื้อร่มกันเสียก่อน.. เพราะฝนเริ่มตกจนเดินชิลๆไม่ไหว แล้วก็ต้องเอาโดจินฝากไว้กับตู้ล็อคเกอร์หยอดเหรียญเพื่อความสบายในการเดินทาง

มาถึงอากิบะก็ซื้อร่มแล้วเดินเที่ยวกันต่อโลด

อย่างที่บอกว่าวันนี้เป็นวันเกิดมากิจัง ร้านแถวๆนี้มักจะจัดบูทอวยกันเยอะเป็นพิเศษ

ที่น่าประทับใจสุดคือทุกร้านจะมีที่ฝากร่มให้ได้ใช้งานกันด้วย สบายต่อทั้งคนซื้อ (ไม่ต้องถือ) และคนขาย (ไม่ต้องทำความสะอาด)
แต่ยังไม่ได้ซื้ออะไรมากมายนัก เนื่องจากในวันนี้ที่ศาลเจ้าคันดะ (神田明神) ที่ไปมาช่วงดึกในวันแรกนั่นหละ มีขายสินค้าที่คอลาโบร่วมกับเลิฟไลฟ์! พวกสแตรปยางชุดพิเศษ เลยแวะไปดูกันว่ายังมีมั้ย รวมถึงเป็นการไปเดินไปสักการะครั้งแรกของแพตตี้ด้วย ก็เลยเดินในบริเวณเขตช็อปปิ้งของอากิบะกันแค่แปปเดียว แล้วก็เดินฝ่าฝนไปศาลเจ้าคันดะกันต่อเลย

นิตยสารแจกฟรีปกไอมาส

ขวดชาเขียวยังพิมพ์ลายเลย

รุมบ้า (Roomba) หุ่นยนต์ทำความสะอาดพื้นบ้าน

ร้านโคโตบุกิยะ (Kotobukiya) แหล่งที่จะมาเสียตังจำนวนมากในวันต่อๆไป

เดินออกจากส่วนกลางไปทางศาลเจ้าคันดะ

ระหว่างทางพบเจอเลิฟไลเวอร์แบบเข้าเส้นจำนวนหนึ่ง..

มาถึงหน้าบันไดสคูลไอดอลอีกแล้ว!
ถ้าเข้าศาลเจ้าคันดะจากประตูหลักก็คงเป็นคนปกติทั่วไป แต่ถ้าเข้าจากด้านบันไดนี้แล้วยกกล้องขึ้นถ่ายรูปละก็ ไม่ต้องสงสัย เป็นคนที่มาตามรอยจากอนิเมเลิฟไลฟ์! แน่นอน..เพราะมันไม่มีอะไรนอกจากบันไดหินธรรมดาๆเลย อนึ่ง อย่าได้ทดลองวิ่งกันเลยนะมันชันมาก

มุมมองจากด้านบน
มาถึงศาลเจ้าคันดะในวันนี้พบว่าไม่มีบรรยากาศของการต่อคิวใดๆ ซึ่งผิดคาด ตอนแรกคิดว่าจะมีคนมาต่อคิวเพื่อซื้อแสตรปยางคอลาโบกับศาลเจ้าคันดะ (เซตชุดมิโกะ) กันเสียอีก แต่ว่าดูสงบเงียบดั่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น

บรรยากาศสบายๆ
อาจจะเพราะฝนตก ไม่ใช่หรอก! เพราะของหมดไปแล้วตั้งนานยังไงหละ ตอนที่พวกเราไปเริงร่าที่อีเวนท์โดจิน ตรงนี้ก็ต่อคิวซื้อของจนหมดเกลี้ยงไปแล้ว เหลือเพียงแต่ขนมคาสเทล่ามันจูไส้ช็อคโกแลตให้ได้ซื้อกันกินปลอบใจ

แถวๆบริเวณซื้อของคอลาโบเลิฟไลฟ์!

กินขนมมั้ย ขนมทาส สำหรับทาส

ธงคอลาโบ อยากเก็บกลับบ้าน

ส่วนขายเครื่องรางอื่นๆตามปกติสำหรับมักเกิ้ล

ปกติจริงรึเปล่า.. มีโอมาโมริที่ดูเฉพาะทางขายด้วย แผ่นไม้เอมะสำหรับขอพร (絵馬) ลายนนตันนั่นอีก

อันนี้พวกสินค้าที่ระลึกแบบปกติๆ

เครื่องรางที่เหมาะเป็นของฝาก

รูปแบบแผ่นไม้ขอพรอีกแบบ เหมือนจะให้เขียนชื่อแล้วโยนในกล่องหละมั้ง?

เอบิสึ หนึ่งในเจ็ดเทพเจ้าโชคลาภ

ซุ้มประตูหลัก
ตอนที่ไปนี่ได้พบเจอกับงานแต่งงานด้วย! ถึงจะมีคนบอกว่าพบเจอได้บ่อยๆทุกวันอาทิตย์ แต่ได้เจออีเวนท์ก็เป็นเรื่องน่าประทับใจ ดูเป็นพิธีการที่เรียบง่าย มีแขกจำนวนไม่มากดีจัง

ขบวนเจ้าบ่าวเจ้าสาว

เจ้าสาวในชุดแบบญี่ปุ่นแท้

มาทำพิธีเพื่อความเป็นศิริมงคล
อนึ่งภาพพิธีแต่งงานเอามาจากอีกวันหนึ่งที่ได้มาศาลเจ้าคันดะ (เจอเช่นกัน) อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นไฮไลท์ของศาลเจ้าคันดะคือ มากี่ครั้งก็สนุกไปกับการเดินดูแผ่นไม้เอมะ ที่แฟนๆอนิเมเรื่องต่างๆมาแขวนไว้เพื่อขอพร (ศาลเจ้านี้น่าจะเป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่มีการแขวนป้ายขอพรที่วาดเป็นรูปอนิเมต่างๆมากสุดแล้ว) แบบพวกเราๆเลยเดินสนุกมาก เดินไป ดูไป เพลิดเพลินไม่น้อยเลย เช่น

รวมฮิตมิโมริน

คิวตี้แพนเธอร์

นนตันเลิฟไลฟ์! ภาพนี้น่ารักมาก

รินเนี๊ยว นิโกะแพนด้า นนทานุกิ

น่าจะเป็นเทพโชคลาภอีกองค์หนึ่่ง
เดินเล่นจนสนุกพอใจก็เดินออกทางประตูหลักของศาลเจ้าคันดะ แวะถ่ายรูปเรื่อยเปื่อยก่อนเดินกลับเข้าส่วนช็อปปิ้ง แถวๆบริเวณนี้พวกเราได้แวะตามรอยอนิเมกันอีกซักเล้กน้อยโดยส่วนมากเป็นฉากยิบๆย่อยๆในเรื่อง โดยคิดว่าจะเอาไปเขียนรวมๆกันในบทความเดียวอยู่แล้วด้วยเลยจะขอข้ามไปก่อน

ทางเข้าหลัก

มีแรคคูนประหลาดๆแถวหน้าศาลเจ้าด้วย

ผ่านสะพานเหล็กสีเขียวสุดคุ้นตา

ข้ามมาทางสะพานคนเดินข้ามแม่น้ำที่พวกสคูลไอดอลใช้เดินกลับบ้านกัน

แม่น้ำดูนิ่งและสงบมาก บรรยากาศออกแนวเหงาๆเล็กน้อย

ส่วนแถวนี้เป็นหนึ่งในซีนจากอนิเม เลยถ่ายไว้เสียหน่อย

แมนชั่นของนิโกะอยู่แถวๆนั้น

แท่นหินสำหรับนั่งและถุงโดจินที่ไปสอยกันมา

สะพานโชเฮย์ (昌平橋) ถึงจะไม่ได้ติ่งอนิเม แต่สะพานนี้ก็มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน

เดินข้ามฝั่งกันอีกนิด
ถ้าเป็นที่ไทยแล้วหละก็ การพาสาวๆไปออกเดทนี่มีรถส่วนตัวจะถือว่าเท่มากเลยทีเดียว (?) แต่ว่าในญี่ปุ่นที่การขนส่งระบบรางเป็นใหญ่แล้ว รถน่ะ เรื่องรอง จะอวดสาวเขาพาไปขับเจ้านี่กัน (หัวเราะ)

เรือส่วนตัว!!
ตั้งใจจะเดินไปดูร้านขนมทาเคมุระ (竹むら) ร้านขนมต้นแบบของร้านขนมโฮมุระ (穂むら) บ้านของหัวหน้าวงมิวส์ โคซากะ โฮโนกะ เป็นร้านขนมเก่าแก่ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1930 ลองมองขึ้นไปที่ชั้นสอง บางทีอาจจะได้เห็นมุมมองที่คุ้นเคยก็ได้นะ ไหนๆก็ไปแล้วอย่าลืมแวะซื้อขนมกันด้วยหละ
แต่ตอนไปเหมือนว่าร้านจะปิด แล้วหน้าบ้านก็มีปิดซ่อมถนนด้วย

ร้านขนมบ้านโฮโนกะ ที่กำลังซ่อมท่อกันหน้าบ้าน

โฮโนกะจ๊าง–
ช่วงที่ไปนี้นอกจากจะเป็นช่วงดอกซากุระเพิ่งร่วงโรยแล้ว ยังเป็นฤดูการเลือกตั้ง สส. ของญี่ปุ่นพอดี เลยมีป้ายหาเสียง แต่น่าแปลกที่ป้ายหาเสียงเขาติดรวมๆกันเป็นบอร์ดเดียวเป็นระยะๆ แล้วก็ไม่ได้แปะในที่สาธารณะด้วย เน้นการหาเสียงด้วยรถคันเล็กๆวิ่งไปทั่วเมือง โบกมือทักทาย ลองดูป้ายหาเสียงที่โดดเด่นเหล่านี้สิ

รักหมา จึงมาสมัคร สส.

พี่จะสมัคร สส. จริงดิ
หลังจากนี้ก็เป็นการตระเวนซื้อของมือสองในร้านชื่อดังอย่าง มันดาราเกะ (Mandarake, まんだらけ) หรือ ลาชินบัง (Lashinbang, らしんばん) ก็ผลาญตังกันไปตามระเบียบ แม้จะติดต่อกับปาร์ตี้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเพราะการซื้อของเป็นหลักใหญ่ใจความสำคัญ ซื้อจนพอใจซักสองทุ่มก็กลับที่พักกันแล้ว
ทำไมวันนี้ไม่ค่อยมีกินอะไร.. ไม่ได้ลืมไปหรอก แต่วันนี้แทบจะไม่ได้กินอะไรเลยจริงๆ!!~ มัวแต่ติ่งกันจนลืมกินข้าว พอกลับถึงที่พักก็ทดลองซักผ้ากันเสียหน่อยด้วยเครื่องหยอดเหรียญ แล้วเมื่อติดต่อกันได้จึงไปกินร้านอาหารเสียบไม้แกล้มเหล้าแบบอิซากายะชื่อ โทริคิโซคุ (Torikizoku, 鳥貴族) โดยกินที่สาขาอิเคะบุคุโระนี่หละ ใกล้ๆ จุดขายของร้านอยู่ที่ไม่ว่าจะเป็นอาหารอะไรก็สนนราคาที่จานละ 280 เยนเท่านั้น (จานนึงมี 2 ไม้) โดยวันนี้มีแขกเจ้าบ้านอย่างน้องวินและยุกกี้มาเสริมด้วย ยิ่งทำให้ทั้งโต๊ะมีแต่ความติ่งทะลุขีดจำกัดไปแล้ว
ได้สติ๊กเกอร์ลายเอริจิจากศาลเจ้าคันดะมาด้วย ขอบคุณน้องวินมากเน้อ ‘4’/

ร้านโทริคิโซคุ สาขาอิเคะบุคุโระ

ตอนกินหิวมากจึงไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปแล้ว
จากนั้นก็ตรงดิ่งกลับที่พักเพื่อไปนั่งชิล พร้อมของขวานล้างปากเป็นพุดดิ้งจากแฟมิลี่มาร์ทราคา 210 เยนที่เคลมว่าเป็นระดับพรีเมี่ยม รสชาติดีเลยทีเดียว มีหอมกลิ่นน้ำตาลไหม้ด้วย

พุดดิ้งที่ดี
แถมพก: การใช้เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญที่ญี่ปุ่น
การซักผ้าที่ญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องยาก กรณีเดินทางหลายๆวันก็เตรียมใจซักไว้ได้เลย สะดวกสะอาดและรวดเร็ว..! โดยปกติแล้วที่ร้านซักผ้าหยอดเหรียญเราจะต้องทำเองทั้งหมด ขั้นตอนง่ายๆคือตอนแรกเราต้องเข้าใจก่อนว่าจะมีเครื่องอยู่ 2 ประเภท
- เครื่องซักผ้าและปั่นแห้ง
- เครื่องอบผ้า
หลักการซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้าและปั่นแห้งในญี่ปุ่นนี่แทบจะไม่มีอะไรเลย เตรียมผ้าที่จะต้องซักไป ปริมาณไม่ต้องเยอะมาก เอาแค่ราวๆ 50% ของถังซักก็เต็มที่แล้ว (ถ้างกมากจะปั่นแห้งกันนานเป็นปี) หยอดตังตามที่กำหนดประมาณ 200 เยน แล้วรอเวลาเสร็จ (โดยมากจะอยู่ที่ 35 – 40 นาที อ้อ ไม่ต้องใส่ผงซักฟอกนะถ้าที่ฝาเครื่องมีคำว่า Detergent Included หรือ 洗剤不蔓 เป็นป้ายสีฟ้าๆ) จากนั้นก็หยิบผ้าที่ซักและปั่นแห้งเสร็จแล้วเข้าเครื่องอบผ้า หยอดไปอีก 200 เยน (ปั่นประมาณ 20 นาทีต่อ 100 เยน) แต่ 20 นาทียังไงก็ไม่แห้ง ขนาดซักแค่ 30% ของถังซักยังต้องหยอด 40 นาทีเลย)
รอเวลาให้เสร็จ จะไปกินข้าวเดินเล่นก่อนก็ได้ โดยมากถ้าเราปั่นเสร็จแล้วไม่มาเอาเสื้อผ้าออก จะโดนคนอื่นจับใส่ตะกร้าวางไว้แถวๆนั้นแทน โปรดระวังด้วย! แค่นี้ก็ได้เสื้อผ้าหอมๆสะอาดๆมาใส่แล้วหละ