ในตอนนี้ก็เข้าสู่ตอนที่สองของซีรีส์ “ญี่ปุ่นไปรอบๆ” แล้ว เริ่มถึงแผ่นดินญี่ปุ่นกันซักที! ทั้งนี้ตอนนี้เป็นตอนที่ 2 สามารถติดตามตอนอื่นๆได้ในสารบัญเน้อ
สารบัญ: ญี่ปุ่นไปรอบๆ
คลิกเพื่อดูสารบัญบทความ
ญี่ปุ่นไปรอบๆ
- ตอนที่ 8: เดย์ทริปที่โยโกฮาม่าแล้วมาจบที่ฮาราจูกุ
- ตอนที่ 7: วันอิสระสอยของที่อากิบะ+อิเคะฯ
- ตอนที่ 6: นาคาโนะบรอดเวย์และกิบลิมิวเซียม
- ตอนที่ 5: เที่ยวสวนสนุกสไตล์ญี่ปุ่นฮานะยาชิกิ
- ตอนที่ 4: ไปมรดกโลกที่นิกโก้ในวันฝนพรำ
- ตอนที่ 3: ประสบการณ์เข้างานโดจิน ~เลิฟไลฟ์! นิชิคิโนะมากิจังออนลี่อีเวนท์~
- ตอนที่ 2: ยามดึกที่อากิบะและดูแสงสีที่มิไรคัง
- ตอนที่ 1: กว่าจะถึงโตเกียว
(คืน) วันที่ 17 เมษายน 2015
จากตอนที่แล้ว ในที่สุดคณะทัวร์ไต้หวันก็เดินทางมาถึงญี่ปุ่นจนได้.. โดยเมื่อเราลงกันที่สถานีสุเอะฮิโระโช (Suehirocho) เรียบร้อย ก็ได้เวลาหาที่พักสำหรับคืนแรก โดยที่พักที่หาไว้คือ 1/3 เรสซิเดนท์ เกสเฮาส์ ยาชิกิ (1/3rd Residence Guest House Yashiki) ที่อยู่ใกล้กับย่านอากิฮาบาระแบบสุดๆ ตามแผนที่ด้านล่างนี้
โดยก่อนจะไปที่พัก ต้องไปที่ส่วนออฟฟิศของที่พักที่อยู่อีกที่ก่อนด้วยนะ.. (รายละเอียดของที่ตั้งออฟฟิศได้รับการบอกกล่าวอย่างคร่าวๆผ่านทางเมล์ตอนที่จองกับ Booking.com) ตอนไปหาออฟฟิศของที่พักนี่ออกจะลึกลับซักเล็กน้อย ห่างกันประมาณ 3 บล็อก และอยู่ชั้น 6 อีกต่างหาก (โอ้)
โดยเมื่อทำการเช็คอินจ่ายตังเรียบร้อย (ห้อง 1 คืน 4 คน 14,500 เยน) ริวซัง พนักงานเกสท์เฮาส์ก็มาเดินนำพวกเรามาบ้านพักตามในรูปข้างบนนั่นหละ พร้อมอธิบายรหัสเข้าพัก สถานที่แถวๆนั้น.. (อารมณ์ตอนนั้นคือริวซังอธิบายโคตรละเอียดแต่พวกเราอยากไปเดินเล่นร้านอนิเมที่ใกล้จะปิดและหิวข้าวแล้ว)
หลังจากวางสัมภาระไว้ที่ห้องก็ได้เจอกับคุณแม่ค้ารุ่นที่ 1 ยุยซัง (@iimiuy) พาออกไปเดินแถวๆอากิบะยามดึกและแยกไปเป็นไกด์ให้คุณน้องฟาได้ซื้อกล้องใหม่ที่โยโดบาชิคาเมร่า (ヨドバシカメラ) สาขาอากิฮาบาระ ที่ปิดดึกซักเล็กน้อย หลังจากปล่อยไปซื้อกล้องกันพวกทาสก็เริ่มเริงร่ากับร้านแถวๆนั้นที่ยังไม่ปิด.. อารมณ์ราวๆไม่สามารถมีอะไรหยุดยั้งความติ่งได้อีกแล้ว (!)
แต่พอดึกๆหน่อยร้านรวงก็เริ่มปิด โดยมากร้านจะปิดที่ 2 – 3 ทุ่ม ถ้าเป็นร้านใหญ่จริงๆถึงจะปิดกัน 4 ทุ่ม โดยแม้จะเป็นช่วงดึกอากิบะก็ยังมีหลายๆอย่างให้เดินเล่นได้อยู่นะ
เดินๆไปก็แวะกินทาโกะยากิของกินดาโค (Gindaco) เจ้าเดียวกับที่ขายในไทยนั่นหละ รสชาติเดียวกันมาก คุ้มราคาพอสมควร (ตอนอยู่ไทยจะคิดว่ามันแพง)
ตอนกินทาโกะยากิมีเรื่องต้องฮานิดนึงคือว่า.. ปลาแห้งที่อยู่บนหน้าทาโกะมันบินไปใส่หัวคนแถวนั้นที่นั่งพักอยู่พร้อมสะพายเป้โฮโนกะ (เลิฟไลฟ์!) พอดี.. และคนๆนี้ยังมีวีรกรรมตามมากับพวกเราอีกซักพัก ต้องลองติดตามอ่านดูนะ!
พอร้านรวงเริ่มไม่ให้เข้าค่อยหารวมพลหาข้าวเย็นกินกัน โดยมื้อแรกกินที่ร้านฮิดะกายะ (日高屋) ร้านราเม็ง-เกี๊ยวซ่า-อาหารชุด แถวๆนั้น ราคาไม่แพงมาก รูปแบบการสั่งเป็นแบบสั่งกับพนักงาน แต่ยังไงวันนี้กินแบบมีล่าม ฉะนั้นไม่ต้องคิดมาก (ฮา) เลือกสั่งชุดปลาทอดกับเกี๊ยวซ่ามากินประเดิมให้หายหิว (890 เยน) จากนั้นแวะซื้อขนมเล็กๆน้อยๆที่แฟมิลี่มาร์ทข้างๆ
จากนั้นตัว Wซัง ขอแวะเดินไปศาลเจ้าคันดะเมียวจิน (ศาลเดิมที่เคยมาแล้วในทริปก่อน ศาลเจ้าที่ตอนนี้กลายเป็นจุดแสวงบุญเลิฟไลเวอร์น่ะหละ) เพราะไหนๆแล้วโอกาสที่จะมาเตร็ดเตร่ในช่วงเวลาเกือบๆเที่ยงคืนแถวศาลเจ้าคันดะฯ นี้คงไม่ได้มีเท่าไร พอขึ้นไปก็พบกับกลุ่มคนจำนวนหนึ่งแวะมาถ่ายรูป แวะมาขอพร เป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับศาลเจ้าที่ญี่ปุ่นที่จะเปิดไฟถึงดึกดื่นให้คนแวะมาขอพรกัน
สิ่งหนึ่งที่ออกจะหลอนๆคือที่นี่จะมีตู้หยอดเหรียญให้ทำบุญดูเจ้าชิชิไม (สิงโตเชิด) ส่ายหัวไปมาเคล้าเสียงเพลง.. ดีนะที่มีคนอื่นอยู่แถวๆนั้นด้วยไม่งั้นหลอนตาย
หลังจากเดินถ่ายรูปจนจุใจ (และหนาว อุณหภูมิประมาณ 8-9 องศา) ก็ได้เวลากลับที่พัก กลับไปปุปเจอชาวคณะกำลังทำที่นอนสไตล์ญี่ปุ่นกันอยู่อย่างเข้มข้น ได้ความว่าไอ้ที่นอนสไตล์ญี่ปุ่น (ฟูก หรือ ฟุตง) เนี่ยทำยากกว่าที่คิดมาก (ฮา) พอได้ฟังแบบนั้นตัว Wซัง ก็ขี้เกียจ..เอาผ้ามาปูนอนๆไปก่อนแบบง่ายๆละกัน เหนื่อยแล้ว..
เป็นอันโชคดีเล็กน้อย ที่ห้องที่พวกเราได้มานั้นได้รับความกว้างเป็น 2 เท่า จากที่ควรจะได้ เนื่องจากแขกในห้องข้างๆไม่มีพักในคืนนั้น (จึงได้ที่นอนเพิ่มมาอีก) เป็นความสบายดีๆที่มีให้กันในคืนแรกจากที่เดินทางมาไกลแสนไกล รีวิวที่พักที่นี่ก็ต้องบอกว่า
- ใกล้อากิบะมาก เหมาะกับการช็อปปิ้งสินค้าอนิเม
- ต้องทำที่นอนเอง ลำบากพอสมควร ถ้าพัก 4 คนต่อห้องตามปกติจะจัดว่าเล็ก
- ห้องน้ำรวม แยกเป็นฝั่ง ชายหญิง และฝั่ง หญิง กลอนห้องน้ำไม่ค่อยแข็งแรงนัก แต่ความสะดวกสบายและสะอาดของห้องน้ำดีมาก
- มีไมโครเวฟให้ใช้งาน ไวไฟฟรีใช้บริการได้เฉพาะส่วนห้องนั่งเล่นรวม
- สไตล์ญี่ปุ่น เสื่อทาทามินุ่มเท้า ทางเดินแคบ
เทียบกับราคาแล้วจัดว่าโอเคเลย ทั้งนี้ด้วยการออกแบบสไตล์ญี่ปุ่นที่เป็นชนชาติเน้นมารยาท กลอนห้องน้ำและห้องส้วมนั้น บอบบางมาก เนื่องจากจะเน้นให้คนต้องมีการเคาะก่อนเปิดทุกครั้ง ตรงนี้มีเหตุการณ์ที่อยากบันทึกไว้ว่าตัว Wซัง เองตื่นมาเช้าตรู่ แล้วไปใช้ห้องส้วม.. ระหว่างกำลังนั่งอยู่นั้นเองมีมือลึกลึบกระชากประตูเลื่อนของห้องส้วมเปิดออก และกระชากแรงมากจนกลอนพังเลยทีเดียว…!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ต้องเอาเท้าไปยันไว้ไม่ให้เปิดเข้ามา อันตรายๆ ตื่นเต้นกันตั้งแต่คืนแรก
ในคืนแรกของคณะทัวร์เราก็จบลงด้วยประมาณนี้หละ~ วันนี้นอนกันดึกหน่อยแต่ว่าก็ไม่ได้มีภารกิจอะไรเช้าตรู่ในวันต่อไปอยู่แล้ว
ปล. จนตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าที่กระชากนั่นคนรึเปล่า
วันที่ 18 เมษายน 2015
วันนี้ภารกิจแรกคือต้องย้ายโรงแรมไปแถวอิเคบุคุโระ.. เหตุผลที่ต้องย้ายเพราะนับวันที่ต้องจองโรงแรมผิดไป 1 งัน เกือบไม่มีที่นอน ฉะนั้นที่ได้นอนในคืนที่แล้วนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ตั้งใจ! ตื่นมาก็เก็บสัมภาระลงกระเป๋าเหมือนเดิมแล้วก็แบกไปสถานีใต้ดินสุเอะฮิโระโชวเช่นเคย
โดยในการเดินทางในคราวนี้จะไม่ได้เน้นการใช้ฟรีพาสเป็นวันๆแต่เน้นการเติมตังในบัตร พาสโม (PASMO) ที่เป็นบัตรเติมเงินสารพัดประโยชน์ โดยไปทำบัตรพาสโมได้กับตู้ที่มีสัญลักษณ์พาสโมสีชมพูๆ เปลี่ยนเมนูเป็นภาษาอังกฤษแล้วก็ลองทำกันได้เลย
เคยคำนวนค่าใช้จ่ายในการเดินทางไว้ราวๆหมื่นเยน ก็เลยเติมซะเลย พอเติมมาก็ไม่ได้ผิดหวังใดๆเพราะบัตรพาสโมนี่มันสะดวกมาก.. จะเข้าออกรถไฟก็แค่ใช้มันแตะๆที่ป้ายก็พอแล้ว ทำงานรวดเร็ว จ่ายได้กระทั่งตู้หยอดน้ำที่มีสัญลักษณ์พาสโม นอกจากนี้ร้านสะดวกซื้อหลายๆร้านอย่างลอว์สันหรือแฟมิลี่มาร์ท กระทั่งร้านขายของเล่นบางร้าน ก็จ่ายด้วยบัตรนี้ได้ด้วยนะ!
สำหรับข้อแตกต่างระหว่างบัตรพาสโมของเมโทรกับบัตรซุยกะของ JR แทบจะไม่มีข้อแตกต่างเท่าไรแล้วในช่วงนี้ คุ้นๆว่าเขาทำความร่วมมือกันให้ใช้ร่วมกันได้ทั้งหมด..อันนี้ไม่แน่ใจเท่าไร
จากสถานีสุเอะฮิโระโชว ผ่านมาทางกินซ่าไลน์ ซักพักพวกเราก็มาถึงสถานีเมโทรอิเคะบุคุโระ (Ikebukuro) เป็นสถานีที่ใหญ่พอสมควร..ทำให้ต้องเสียเวลางมทางไปโรงแรมพอสมควร ซักพักพวกเราก็เดินงมๆกันจนมาถึงที่พักหลักในทริปนี้ ซากุระโฮเต็ลอิเคะบุคุโระ (Sakura Hotel Ikebukuro) อยู่ใกล้ทางออก C6 นั่นเอง
แต่ตามปกติโรงแรม จะเช็คอินได้ช่วงบ่าย (15:00 น. เป็นต้นไป) อยู่แล้ว เลยเอากระเป๋าฝากไว้ก่อน แล้วก็ออกไปตระเวนดุ่ยๆแถวบริเวณนี้ โดยจุดมุ่งหมายแรกคือหาข้าวกิน แล้วก็แวะร้านอนิเมท (Animate) สาขาอิเคะบุคุโระซักเล็กน้อยก่อนจะไปโอไดบะกันในช่วงบ่าย
อ้อ แถวบริเวณใต้ดินของอิเคะบุคุโระนี่ใหญ่โตมากเลยทีเดียว พวกร้านเล็กๆหลายร้านก็น่าสนใจมาก เช่นร้าน MR.waffle ขายแต่วาฟเฟิล..เริ่มต้นชิ้นละ 160 เยน จ่ายด้วยพาสโมได้ด้วย
เดินๆใต้ดินซักพักก่อนจะออกไปข้างนอกบริเวณ ช่วงเมษาตอนปลายที่มานี้อากาศกำลังดีเลย อยู่ที่ราวๆ 18 องศาในช่วงกลางวัน ไม่หนาวไป ไม่ร้อนไป ข้างในใส่เสื้อตัวเดียวแล้วก็คลุมด้วยเสื้อกันหนาวบางๆก็เอาอยู่แล้ว
ไหงมีแต่รูปของกิน.. เอาเป็นว่าใต้ดินแถวนี้ไม่อดตายแน่ๆ
มื้อเที่ยงก็กินกับแถวๆร้านอนิเมทสาขาอิเคะบุคุโระนั่นแหละ โดยกินที่คาเฟ่เรสเตอรองค์ กัสโต (Cafe’ レストラン ガスト) ร้านในเครือสกายลาร์ค (คุ้นๆมั้ย) กินกันที่ราวๆ 1,000 เยนต่อคน โดยร้านนี้มีดริงค์บาร์เหมาะกับการเอาไว้นั่งชิลๆด้วย ทีนี้พอกินเสร็จ ร้านอนิเมทที่พวกเราส่องอยู่ตะกี้ว่าจะเดินไปก็หายไปจากสายตา.. (จริงๆคือมุมตึกสูงบังกันเอง)
ถึงจะไม่ได้ตั้งใจจะซื้อของในตอนนี้ แต่ว่าอิทธิพลของกล่องสุ่มก็ทำให้หยิบแสตรปยางกันมาคนละ 2 กล่องซะแล้ว.. บางท่านก็เสียตัง 500 เยนกับตู้หยอกสติ๊กเกอร์ลุ้นลายเซนต์นักพากย์ (โอ้) ที่แน่ๆคือสินค้าเมนสตรีมสำหรับพวกเราอนิเมสายปกติจะไม่ได้เน้นมากนักในอนิเมทสาขานี้ เนื่องเพราะบริเวณนี้ก็อยู่ใกล้ๆกับโอโตเมะโรด (乙女ロード) สวรรค์ของสาววาย ฉะนั้นการเลือกอนิเมมาจัดวางหรือว่าสินค้าจัดวางในสาขานี้จึงเน้นหนุ่มหล่อเป็นจำนวนมาก..! สำหรับการช็อปปิ้งในโอโตเมะโรดนี้จะมาเขียนถึงอย่างละเอียดในตอนต่อๆไป..
ตัดตอนไปที่ไฮไลท์ประจำวันนี้ก่อน วันนี้กะจะไปหาสาระเข้าตัวกันพวกเราเลยจะไปที่ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์สมัยใหม่แห่งชาติ (The National Museum of Emerging Science and Innovation, 日本科学未来館) หรือเรียกย่อในภาษาญี่ปุ่นว่า มิไรคัง (Miraikan) โดยตำแหน่งที่ตั้งของมิไรคังจะอยู่ที่เมืองโอไดบะ
การเดินทางหลักๆคือจะต้องไปลงที่สถานีชินบาชิ (Shimbashi) แล้วต่อโมโนเรลสายยูริคาโมเมะ (Yurikamome) โดยตามปกติแล้ว โมโนเรลสายยูริคาโมเมะนี้จะคิดค่าบริการแพงกว่าแต่ละสถานี JR หรือเมโทรมาก จึงควรซื้อวันเดย์พาสเอาไว้เพื่อความประหยัดในการเดินทางด้วย
โดยสถานีที่ต้องลงคือสถานี ฟุเนะ โนะ คางาคุคัง (Fune-no Kagakukan) จากนั้นเดินตามป้ายแถวๆนั้นว่าไปมิไรคังมาเรื่อยๆ ก็จะมาถึงได้โดยการเดินประมาณ 5 นาที อนึ่งแถวนี้ลมแรงมาก หนาวมาก เพราะเป็นเกาะกลางทะเล..ถ้ามาในหน้าหนาวๆกว่านี้ จำเป็นจะต้องเตรียมตัวและเตรียมใจรับลมแรงเอาไว้ด้วย
วันที่ไปมีแข่งรถดริฟท์กันในแถวๆนั้นด้วย คนตรึม บรรยากาศก็ดูคึกครื้น ไม่รู้ว่าเข้าฟรีรึเปล่า จริงๆน่าจะยื่นหน้าไปดูซักหน่อย
พอมาถึงก็ได้รู้ว่า วันนั้นค่าเข้าปกติจะยกเว้นให้เข้าฟรี แต่ว่ามีส่วนจัดแสดงนิทรรศการพิเศษครั้งแรกของ teamLab กลุ่มจัดแสดงสื่อผสมชื่อดังของประเทศญี่ปุ่นในชื่องาน “teamLab Shake! Art Exhibition & Learn and Play teamLab Future Park” มาจัดในช่วงนี้พอดี เลยจ่ายค่าเข้าไปชมในส่วนนี้กันด้วยคนละ 1,800 เยน (รายละเอียดแบบลึกๆลองอ่านได้จาก ลิงค์นี้)
ก่อนอื่นก็จะไปดูส่วนนิทรรศการพิเศษกันก่อนนี่หละ หลักๆจะเกี่ยวกับการแสดงแสงสีและสื่อมัลติมีเดียแปลกๆ อาร์ตๆ และที่สำคัญคือนอกจากจะเน้นด้านศิลปะแล้ว มีการผสมสื่อให้เด็กๆ ได้สนุกสนานกันด้วย ลองไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง
หลังจากโซนแรกๆที่เน้นโชว์เสียมากกว่าก็เข้ามาสู่โซนที่ 2 ที่เป็นเหมือนสวนสนุกสำหรับเด็กๆ (ยอดเลย) โดยมากมักจะเป็นส่วนจัดแสดงที่ให้เด็กๆมีส่วนร่วม เช่นระบายสีเฟรมภาพเป็นสิ่งของ/สัตว์ แล้วไปแสกนขึ้นหน้าจอเป็นโมเดล 3 มิติ
หลักๆของโซนนิทรรศการเสียเงินของ teamLab ก็ประมาณที่ได้เขียนไป ยังมีอีกส่วนอยู่ชั้นบนสุด โดยระหว่างนี้ก็ไปเดินดูส่วนนิทรรศการประจำ (Permanent Exhibition) ของมิไรคังกันก่อน อนึ่งเมื่อเข้ามาในตัวอาคารแล้วมักจะรู้สึกว่าอาคารนี้ให้ฟีลอนาคตหน่อยๆ (ฮา)
พอมาถึงชั้น 3 ส่วนที่สะดุดตาก่อนเลยก็คือตัวซิมโบลหลักของมิไรคัง ลูกโลกกลมลอยจำลองที่แสดงสภาพอากาศแบบเรียลไทม์ สวยงามอลังการมากเลยทีเดียว ใครๆก็แวะชื่นชมถ่ายรูปกัน
ส่วนจัดแสดงถาวรของมิไรคังจะเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีใหม่ๆ ตามชื่อของพิพิธภัณฑ์นั่นแล ซึ่งแม้จะเป็นหน่วยงานของรัฐบาล แต่ความเอาใจใส่ในการจัดแสดงนั้นเต็มร้อยมาก จะบูทต่างๆหรือว่าสตาฟเองก็ทุ่มเทเต็มที่ เทคโนโลยีจากฝั่งเอกชนเองก็มาโชว์ด้วย เช่น หุ่นอาซิโมรุ่นใหม่ล่าสุดของฮอนด้า
ที่ไม่ได้มาตั้งเฉยๆแต่ว่าจัดแสดงให้ดูเป็นรอบๆ (แบบที่เคยมาแสดงในไทยน่ะหละ) อาซิโมนี่นับวันยิ่งเก่ง ยิ่งถ้าต่อไปมันมีเปลือกนอกแบบคุณแอนดรอยด์สาวด้านล่างนี้ คงจะแปลกๆพิลึก (ฮา)
นอกจากจะมีเกี่ยวกับหุ่นยนต์ ทางมิไรคังยังมีจุดจัดแสดงเทคโนโลยีด้านอวกาศ มีสถานีอวกาศนานาชาติ ISS แบบจำลองมาตั้งให้ดู รวมถึงเครื่องยนต์ตัวจริงของกระสวยอวกาศ ไปจนถึงตัวจำลองของเรือดำน้ำลึกมาจัดแสดง นับว่าตื่นตาตื่นใจสำหรับผู้ชื่นชอบในวิทยาศาสตร์มาก
นอกจากจะเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับเด็กๆที่พ่อแม่พากันมาเที่ยวเล่นแล้ว มิไรคังยังเป็นสถานที่เดทสำหรับคู่รักอีกด้วย..! ปกติในไทยคงเป็นเรื่องยากทีเดียวที่จะหาคู่รักพากันไปเดทที่พิพิธภัณฑ์ (ฮา) อดคิดไม่ได้ว่าเพราะภาครัฐให้ความสำคัญ ประชาชนจึงให้ความสำคัญตามไปด้วย
สำหรับในเกือบบนสุดเป็นส่วนจัดแสดงพิเศษอีกส่วนหนึ่งของ teamLab ที่พวกเราไม่ได้เข้า เพราะต้องใช้เวลารอถึง 80 นาที (ขี้เกียจ แต่ก็สงสัยว่าคืออะไรจนไปหายูทูปมาดู) พักกินคาลพิสแบบเขย่าแล้วก็ไปเดินเล่นแถวๆนี้กันต่อ
หลังจากออกมาจากมิไรคัง ก็คิดว่าจะไปตรงชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่กัน (โอไดบะเป็นศูนย์รวมห้างสรรพสินค้าด้วย ไม่แปลกที่จะมีอะไรแบบนี้) โดยเราเดินกันไปอีกนิด ประมาณ 10 – 15 นาทีก็ไปถึง วีนัสฟอร์ท (Venus Fort) หนึ่งในห้างขนาดใหญ่ในโอไดบะ แวะเดินเล่นดูร้านเรือยเปื่อยจนมาทะลุที่ชิงช้าสวรรค์ใหญ่ประจำโอไดบะ
เดินมาซักพักก็จะมาถึงส่วนของชิงช้าสวรรค์โอไดบะ (Odaiba Ferris Wheel, パレットタウン大観覧車) หนึ่งในชิงช้าสวรรค์ความสูง 115 เมตร เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1999 คราวก่อนที่มาแถวนี้ไม่ได้มีโอกาสมาเดินใกล้ๆบริเวณฐาน.. คราวนี้ก็มาแล้ว แต่ไม่ได้ขึ้น! ส่งให้เมคุงกับฟาขึ้นไปนั่งเล่นกันแทน
เลยใช้เวลาช่วงนี้ไปเดินเล่นในโตเกียวเลชเชอร์แลนด (Tokyo Leisureland) เกมเซนเตอร์ขนาดใหญ่ที่อยู่ฐานชิงช้าสวรรค์แทน มันก็ใหญ่จริงๆนะ ทั้งปริมาณตู้ ปริมาณเครนเกม ความหลากหลายเพียบ แต่ที่แปลกใจคือบริเวณนี้มีเลเยอร์มาคอสเพลย์เดินไปมากันพอสมควรเลย
ที่ตลกคือตอนไปเดินเล่นชั้นสองก็คาดหวังว่าจะได้เจอเกมตู้ปริมาณมากหรือว่าอะไรไฮเทคแปลกๆ แต่มันดันเป็น
ก็ผิดคาดกันไปเล็กน้อย แถมหิว เลยแวะซื้อป๊อปคอร์นมาแทะกิน แต่ว่ามีแต่ขายจากตู้อันปังแมน.. ถึงจะสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าทำไมอันปังแมนไม่ขายขนมปังถั่วแดง แต่ก็ลองกดดู พบว่าเมื่อกดไปแล้วก็จะได้ดูอนิเมสั้นๆเกี่ยวกับการคั่วป๊อปคอร์นของอันปังแมน แล้วก็ให้คนซื้อได้หมุนตู้คั่วตามไปด้วย (คิดว่าหมุนไปงั้นๆหละไม่หมุนก็ไม่ได้ทำให้ป๊อปคอร์นไหม้แต่อย่างใด)
หลังจากกินเสร็จก็มีจุดมุ่งหมายกันว่าคืนนี้พวกเราจะไปอากิฮาบาระกันอีกรอบเพื่อซื้อแคตตาล็อกสำรับเข้างานโดจินชิอีเวนท์ในวันพรุ่งนี้ แต่ก่อนนั้นก็เลือกที่จะไปจุดชมวิวสวยๆประจำโอไดบะกัน เลยนั่งโมโนเรลไปลงที่สถานี ไดบะ (Daiba) จากนั้นก็เดินเข้าสวนริมทะเลโอไดบะ บริเวณนี้จะเห็นชัดทั้งสะพานเรนโบว์บริดจ์ (Rainbow Bridge) และเทพีเสรีภาพจำลอง รวมถึงถ้าอยู่ดึกพอก็จะได้เห็นการเปิดไฟเล่นแสงสีของตึกฟูจิทีวีด้วย
อนึ่งในบริเวณนี้เป็นที่ถ่าย PV ตัวนึงของเลิฟไลฟ์! เช่นกัน รายละเอียดของการตามรอยจะเขียนแยกอีกบทความเช่นเคย
แถวๆริมทะเลนี่อากาศหนาวสั่นใช้ได้เลย แต่ว่าคู่รักมากมายก็นิยมมานั่งชมบรรยากาศ กลุ่มผู้ชื่นชอบการถ่ายภาพเองก็ด้วย ปัจจัยที่ทำให้บริเวณนี้หนาวมากคงเพราะลมทะเลมากกว่า อนึ่งถ้ามาในช่วงหน้าหนาวจัดๆ จะเหมือนตกอยู่ในช่องแช่แข็งของตู้เย็นเลยทีเดียว
หลังจากชมวิวกันพอใจก็ตรงไปสถานีชินบาชิ (Shimbashi) ต้นทางที่ขึ้นมานั่นแหละแล้วก็นั่งตรงจาก JR ชินบาชิไปที่ JR อากิฮาบาระ โดยตรง ใช้เวลาไม่นานมากพวกเราก็มาที่อากิบะเรียบร้อยแล้ว เดินตรงไปตามทางออกอากิฮาบาระอิเลคทริคทาวน์ (Akihabara Electric Town) ก็จะมาโผล่หน้าตึก UTX UDX อีกหนึ่งโลเคชั่นจากเลิฟไลฟ์! เช่นกัน..
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ตอนนี้คือหิวมาก เลยเดินมาใต้ตึก UDX นั่นหละเพื่อกินร้านทงคัตสึ (หมูชุบแป้งทอด) ร้านอร่อย ทงคัตสึ วาโค (Tonkatsu Wako, 和幸) แล้วก็อร่อยสมราคาคุยและที่ต้องรอจริงๆ รสชาติของหมูก็เด่นชุด สดใหม่ ทอดได้กรอบ กะหล่ำปลีก็หวานกรอบใช้ได้ เสียแค่ว่าน้ำสลัดไม่ค่อยถูกปากไปเล็กน้อย (เป็นพอนสึรสชาติเดียวที่โดดๆไปหน่อย)
ข้าวและน้ำซุปและน้ำชาเขียวเติมได้ไม่อั้นตามมาตรฐานร้านญี่ปุ่น ถูกใจใช้ได้เลย ถ้าแวะมาอากิบะอย่าลืมแวะทานกันเน้อ ส่วนหลังจากนี้ก็เป็นการเดินซื้อของในร้านติ่งๆตามประสาและตามล่าแคตตาล็อกสำหรับเข้างานโดจินฯ ซึ่งจะเล่าต่อในบทความต่อไป
อนึ่งอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ แต่วันนี้แวะไปจุดเดิมก็เจอคนเดิมที่เคยทำปลาป่นกระเด็นใส่หัว.. สะพายเป้โฮโนกะ รออยู่ที่เดิมด้วยนะ มหัศจรรย์จริงๆ เป็นเรื่องที่บ้ามาก!!!!!!!!!!!!!!!!!!
อนึ่งก่อนจะจบบทความนี้ ฝากไว้สำหรับร้านอาหารไทยในต่างแดน ควรเช็คคำก่อนโฆษณาด้วย เช่น
แถมพก: รีวิวที่พัก ซากุระโฮเต็ลอิเคะบุคุโระ
หลังจากซื้อแคตาล็อกเสร็จดึกๆก็ได้เวลากลับสู่ที่พักที่ซากุระโฮเต็ลอิเคะบุคุโระ (คราวนี้ไม่หลงแล้วตอนไปถึงอิเคะบุคุโระ) เช็คอิน จ่ายค่าที่พักสำหรับ 9 คืนถัดไปเป็นเงิน 108,800 เยน (ราคา 4 คน ฉะนั้นตกคนละ 27,200 เยนหรือ 7,480 บาท ที่อัตราแลกเปลี่ยน 0.475) โดยห้องที่พักเป็นห้องแบบสี่คนแบบแชร์ห้องน้ำ (Quadruple Room with Shared Bathroom)
- พวกเราได้ที่พักที่ชั้น 1 ซึ่งมันเป็นห้องหัวมุมพอดี รูปร่างของห้องทำให้รู้สึกเล็กมาก ขอขนานนามว่าห้องรูหนู
- ห้องแบบ 4 คนเป็นเตียง 2 ชั้น ไม่ควรพักกับญาติผู้ใหญ่หรือผู้ขี้เกียจปีน
- ไม่มีชุดนอนและผ้าเช็ดตัวให้ แต่มีให้เช่าในราคา 100 เยน
- ประตูห้องเป็นแบบล็อกออโต้ เปิดด้วยคีย์การ์ด แจกให้ทุกคน ทำให้สะดวกในการเข้าออก
- ห้องน้ำเป็นแบบแชร์กันทั้งชั้น แต่สะอาดดี มีปัญหาจากนิสัยส่วนตัวของผู้เข้าพักคนอื่นๆเล็กน้อย เช่น วางอุปกรณ์อาบน้ำส่วนตัวเกะกะ (แนะนำให้เก็บทิ้งขยะไปเลยแล้วจะไม่เห็นอีก)
- ห้องน้ำและห้องส้วมแยกกัน ห้องส้วมแยกชายหญิง ห้องน้ำไม่แยก ล็อกแน่หนาดี..
- สตาฟพูดอังกฤษได้ทุกคน
- มีห้องครัวให้ใช้งาน อุปกรณ์พร้อม ตู้เย็นพร้อม แต่อยู่ที่ชั้น 6
- มีบริการเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ซึ่งดี
ถ้ามากันแบบวัยทำงานตอนต้นไม่เกิน 35 – 40 ก็สบายๆลุยๆได้ แต่ขอแนะนำอย่างสุดซึ้งว่าไม่ควรพาญาติผู้ใหญ่หรือคุณพ่อคุณแม่มาพักเพราะอยากแค่ประหยัดเลย ทรมาณเปล่าๆ เพราะเอาไว้นอนแบบล้วนๆก็ว่าได้