จาก Wซัง (@wpotion) ผู้เขียนไปเที่ยวแต่โตเกียวมาเมื่อเดือนมกราคม (อ่านบันทึกเดิมได้ใน เที่ยว 0 โตเกียว) วันนี้กลับมากับซีรีส์เที่ยวไปบ่นไปที่ญี่ปุ่นอีกแล้ว! และแน่นอนก็จะเป็นสไตล์เล่าๆเรื่องไปเรื่อยๆไม่ได้มีแก่นสาระหรือว่าอะไรที่ใกล้เคียงกับไกด์.. แค่ว่าเป็นบันทึกไว้เป็นความทรงจำดีๆมากกว่า!? อนึ่งบทความนี้เป็นบทเริ่มต้นของซีรีส์ ติดตามตอนอื่นๆได้ในสารบัญ
สารบัญ: ญี่ปุ่นไปรอบๆ
คลิกเพื่อดูสารบัญบทความ
ญี่ปุ่นไปรอบๆ
- ตอนที่ 8: เดย์ทริปที่โยโกฮาม่าแล้วมาจบที่ฮาราจูกุ
- ตอนที่ 7: วันอิสระสอยของที่อากิบะ+อิเคะฯ
- ตอนที่ 6: นาคาโนะบรอดเวย์และกิบลิมิวเซียม
- ตอนที่ 5: เที่ยวสวนสนุกสไตล์ญี่ปุ่นฮานะยาชิกิ
- ตอนที่ 4: ไปมรดกโลกที่นิกโก้ในวันฝนพรำ
- ตอนที่ 3: ประสบการณ์เข้างานโดจิน ~เลิฟไลฟ์! นิชิคิโนะมากิจังออนลี่อีเวนท์~
- ตอนที่ 2: ยามดึกที่อากิบะและดูแสงสีที่มิไรคัง
- ตอนที่ 1: กว่าจะถึงโตเกียว
เผาลูกทัวร์ก่อน
ลูกทัวร์ (ไม่นับข้าพเจ้า) ในคราวนี้ประกอบด้วยสาวๆ 3 คนคือคุณแพทตี้ (@pattieez) คุณเมคุง (@Maykunn) และคุณฟาซึ่งเป็นน้องสาว โดยถ้าเรียกกันด้วยภาษาในวงการอนิเมแล้ว.. ทัวร์ครั้งนี้มีทาสการตลาดอนิเมไอดอลเลิฟไลฟ์! ถึง 3 คน และมีมนุษย์ปกติชนอีก 1 คน ธีมหลักในการท่องเที่ยวครั้งนี้ช่างคลุมเครือเล็กน้อยระหว่างการเที่ยวชม การไปตามรอยอนิเม หรือการไปช็อปปิ้ง แต่ไม่เป็นไร ถ้าได้ไปญี่ปุ่นก็สนุกหมดหละ พวกเราคิดเช่นนั้น เลยฟอร์มๆทีมซื้อตั๋วเครื่องบินกัน คราวนี้พวกเราจะเดินทางด้วยสายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิก (Cathay Pacific) ซึ่งเป็นสายการบินของฮ่องกงและเป็นแบบฟูลเซอร์วิส โดยมีค่าใช้จ่ายในด้านการจัดหาตั๋วเครื่องบินอยู่ที่ 13,725 บาทถ้วน
การเตรียมการอื่นๆในทริปนี้ออกจะชิลๆ มีแผนไปเที่ยวไหนต่อไหนแปลนไว้พอสมควร (ทำจริงได้หรือไม่เป็นเรื่องของอนาคต) ทริปนี้กินเวลารวมทั้งสิ้น 10 วันถ้วน (ออกเดินทางคืนวันที่ 16 เมษายน กลับถึงเย็นวันที่ 26 เมษายน 2015) พวกเราตัดสินใจแลกเงินกันโดยเฉลี่ยคนละ 45,000 บาท (แปลงๆแล้วได้ประมาณ 162,000 เยน)
ออกเดินทางจาก BKK
เนื่องจากเครื่องจะออกราวๆ ตี 1 และคราวนี้ไม่ได้ไปโดยสายการบินโลว์คอส จึงออกเดินทางจากสุวรรณภูมิ (BKK) ซักราวๆ 3 ทุ่มพวกเราก็เจอกันหมด เช็คอินจากตู้คีออสแถวๆนั้น เลือกที่นั่งใกล้ๆหน้าต่าง แล้วก็ไปฝากกระเป๋าได้
คีออสสำหรับเช็คอินด้วยตัวเอง) ที่สุวรรณภูมินั้นสะดวกใช้ได้ คนก็ใช้น้อย แต่พนักงานที่คอยดูแลอยู่บางทีก็เมาๆ.. เอาเป็นอ่านที่ตู้กันด้วยตัวเองเลยสะดวกสุด ปกติแล้วจะชอบการเช็คอินด้วยตัวเองเพราะนอกจากจะเลือกที่นั่งได้เองแล้วยังทำให้คิวตอนเช็คอินนั้นสั้นกว่ามาก เพราะไปโยนกระเป๋าก็เข้าไป ตม. ต่อได้เลย
บรรยากาศที่สุวรรณภูมินั้นคึกคักดีทีเดียว ดึกๆดื่นๆร้านก็ไม่ปิด ราคาก็โหดจัดเหมือนเดิม คณะทัวร์คราวนี้กินอิ่มกันมาเรียบร้อยเลยไม่ต้องเสียตังอะไรมาก เน้นไปซื้อน้ำแก้วจากแดรี่ควีนกิน (ราคา 3 เท่า) แล้วก็นั่งเลื้อยกับโซฟาเล่นมือถือเล่นโซเชียลไปตามเรื่องตามราว พอใกล้ได้เวลาก็ออกเดินทางกัน~
รีวิวคาเธ่ย์แปซิฟิกและคณะทัวร์สามประเทศ (?)
ไม่ได้ถ่ายรูปบนตัวเครื่องมาเลยเพราะขี้เกียจ หลังจากออกเดินทางตอนตี 1 ก็ได้โอกาสนอนเล็กๆ ที่นั่งสบายดีทีเดียว มีหนังมีเกมให้เลือกเล่นระหว่างเดินทาง การยืดเท้าทำได้สบายกว่าสายการบินโลว์คอสเป็นอย่างมาก อาหารต่างๆมีกินได้ไม่ขาด.. เครื่องดื่มเช่นน้ำเปล่าก็ไม่ต้องซื้อเพิ่มเติมแต่อย่างใด และไม่ต้องทนกับการเดินขายของในตัวเครื่องด้วย
โดยเมื่อเดินทางซักพักก็มาถึงสนามบินนานาชาติฮ่องกง (HKG) เพื่อต่อเครื่อง ส่วนกระเป๋านั้นเช็คตรงไปที่ญี่ปุ่นเรียบร้อย พวกเราเลือกที่จะไม่ออกไปเดินเล่นข้างนอกเพราะขี้เกียจยุ่งยาก เลยเน้นเดินเล่นอยู่ในสนามบินฮ่องกงนี่หละ โดยพอตรวจผ่าน ตม.ฮ่องกงเข้ามาในส่วนหน้าเกท (ตม.ฮ่องกงหน้าตาบอกบุญไม่รับมากบอกเลย) ก็ไปหาฟู้ดคอร์ทเพื่อนั่งฆ่าเวลากัน
พอนั่งฟู้ดคอร์ทก็ได้พบว่าที่นี่มีอะไรน่ากินๆพอสมควร เช่น แมคโดนัลด์ (อีกแล้วเรอะ), อาหารชุดสไตล์ฮ่องกง, อาหารฝรั่ง ฯลฯ อ้อ อาหารญี่ปุ่นแบบซาโบเต็น (หมูชุบแป้งทอด) ก็มี โดยมากก็จ่ายด้วยบัตรเครดิตได้นั่นแหละ แต่ด้วยหลายๆอย่างพวกเราเลยไม่อยากจะรูดบัตรตั้งแต่หัววัน.. เลยเอาเงินคนละ 1,000 เยน รวมเป็น 4,000 เยน ไปเปลี่ยนที่ร้านรับแลกเงินมา ซื้ออาหารได้คนละ 1 เซตโดยประมาณ
ตรงนี้ต้องขอบันทึกไว้ว่าตอนเอาเงินไปแลก หน้าพนักงานนางบอกบุญไม่รับถึงขั้นสูงสุดเลย.. ไม่รู้ว่าเป็นสไตล์ฮ่องกงหรืออะไร แต่การบริการต่างๆในสนามบินฮ่องกงจัดว่าได้รับอัธยาศัยที่ไม่เข้าท่าไม่น่าประทับใจ..
ตอนแรกกะจะกินแมคฯ แต่จู่ๆก็คิดว่าไม่เข้าท่าเท่าไร เลยเลือกกินร้านอาหารฮ่องกงซุยวาอีทเทอรี่ (Tsui Wah EATery) สั่งยากนิดหน่อยเพราะพอเข้าคิวเสร็จดันไม่มีเมนูให้เลือกตรงหน้าเคาท์เตอร์ ต้องดำน้ำเอา.. ได้ก๋วยเตี๋ยวมาชามนึง จัดว่ารสชาติโอเคอยู่
ส่วนชาวคณะเลือกกินอาหารเช้าสไตล์ฝรั่ง ประเด็นคือเรายังไม่รู้เกทที่จะต้องไปรอ (ต้องรออีกเกือบ 4 ชั่วโมงเครื่องถึงจะมา เดินไปเช็คที่บอร์ดก็ไม่ขึ้นว่าต้องไปรอเกทไหน) เลยต้องเดินเล่นในสนามบินรอไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปเพื่อค้นหาความเป็นฮ่องกงในสนามบิน แต่ได้พบว่าที่มันบ่งบอกว่าฮ่องกงสุดก็ไอ้ซุ้มแสดงไข่อีสเตอร์เขียนว่า HK นี่แหละ (ฮา)
แต่เดินเล่นยังไงก็ถึงขีดสุดของความเบื่อ เลยบากหน้าไปถามประชาสัมพันธ์ว่าเครื่องลำที่จะออกนี่ต้องไปรอที่เกทไหน จะได้ไปนอนไหลแถวๆนั้น พอถามไป ก็ได้คำตอบว่า “ถ้าขึ้นที่บอร์ดก็รู้เอง” อือ.. เลยไปหาโซฟายาวๆกลิ้งๆ นอนพักอยู่หลายชั่วโมงจนหมายเลขเกทที่ต้องไปขึ้นที่บอร์ด
สุดท้ายเลขที่เกทก็ปรากฎว่าเราต้องไปที่เกท 1 แต่ทว่ามันมีขึ้นว่าปลายทางเป็น | ไต้หวัน-ญี่ปุ่น เลยสงสัยขึ้นมา.. ก็ถึงบางอ้อว่ามันต้องไปรับคนที่ไต้หวันด้วยย (โดยพวกเราไม่รู้มาก่อน) ก็เลยกระจ่างว่าทำไมเดินทางกันนานมากขนาดนี้
พอขึ้นเครื่องเพื่อจะไปไต้หวันก็ได้พบกับของว่างเป็น หมี่ฮ่องกง ที่เขาร่ำลือกันว่าอร่อยเหลือเกิน แต่พอตักกินคำแรกถึงขั้นประทับใจในความแข็งเด้งของเส้นหมี่.. สอบตกสำหรับคุณภาพอาหารจากสนามบินฮ่องกง บอกเลย.. หลังจากใช้เวลาซักพักก็ถึงท่าอากาศยานนานาชาติไต้หวันเถาหยวน เดินเพื่อเปลี่ยนเครื่องกันอีก 1 แว้บ ก็ได้ไปต่อ (ต่อเครื่องแว้บเดียวเท่านั้น จริงๆคือเครื่องเดิมด้วยนะ)
แอบนินทาคุณเมคุงผู้ร่วมทริปไว้ตรงนี้ คือนางอยากจะได้พี่สาวสวยๆมานั่งข้างตอนเดินทางบนเครื่อง แต่เจอแต่คุณลุงล้วนๆตลอดการเดินทางทุกครั้งบนเครื่อง หึ ขากลับก็ไม่เว้นจะสปอยไว้ตรงนี้ก่อนเลย
ที่นี่เป็นสนามบินเล็กๆไม่มีอะไรแปลกมากนัก แต่ที่น่าประทับใจคือพวกเราทำไมได้ไปเที่ยวเพิ่มเติมมาจากเดิมอีก 1 ประเทศเนี่ยย กลายเป็นคณะทัวร์จีนไปแล้ว!!! ทีนี้อีกไม่นานเท่าไรก็มาถึงญี่ปุ่น (พร้อมข้าวอีก 1 มื้อ บินกับสายการบินฟูลเซอร์วิสมีดีที่ความอิ่ม) การทัวร์ครั้งนี้แตะแผ่นดินญี่ปุ่นที่เวลา 17:20 นาฬิกา ซึ่งเลทกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อยเพราะสภาพอากาศมีหมอกลงจัดตอนบินในไต้หวัน
ถามว่าจะมาด้วยสายการบินนี้อีกไหม คำตอบคือ ก็ไม่เสียหาย การบริการดีงาม แต่ไม่อยากต่อเครื่องทรหดขนาดนี้อีกแล้ว..เสียเวลาชีวิตมากๆ
การเดินผ่านเข้าประเทศผ่าน ตม. เป็นไปได้ด้วยความราบรื่นเป็นอย่างดีไม่มีอะไรที่ยากกว่าเดิม ปัจจุบันนี้ชาวไทยจำนวนมากเดินทางเข้ามาเที่ยวญี่ปุ่นกันเป็นเรื่องปกติด้วยการเปิดเสรีวีซ่าด้วย ใครๆก็เข้าได้โดยไม่มีปัญหามากแล้วหละ
และแข่งกับเวลาเล็กน้อย พวกเราได้ทำการซื้อบัตรโดยสารรถไฟสายเคย์เซย์ (Keisei Line) โดยเลือกแบบเอ็กเพรส ตรงนี้พนักงานอำนวยความสะดวกได้ดีพอสมควรแม้จะโก๊ะๆหน่อยแต่ว่าด้วยบุคลิกน่ารักก็พอจะให้อภัยกันไปอย่างเฮฮา และในทริปนี้พวกเราจะไปเที่ยวเมืองนิกโก้ (Nikko) ที่อยู่จังหวัดโทชิกิ (Toshigi) กันด้วย เลยได้ทำการซื้อบัตรพาสสำหรับการเที่ยวในนิกโก้ไว้ตั้งแต่ตอนซื้อบัตรรถไฟสายเคย์เซย์นี้เลย เนื่องจากเป็นผู้ให้บริการรายเดียวกัน
จุดพีคอยู่ตรงที่เราหอบหิ้วสัมภาระขามาโดยที่เป็นช่วงเวลาเร่งด่วนนิดๆ.. คนเต็มรถไฟจนต้องยืน แถมไปทำขายหน้าดึงภาพโฆษณาที่เขาติดอยู่บนรถไฟหลุดติดมาด้วย.. อายมาก!!
เมื่อรถไฟใต้ดินสายเคย์เซย์มาถึงสถานีอาซากุสะ (Asakusa) ก็ต้องเปลี่ยนไปนั่งใต้ดินสายกินซ่า (Ginza Line) เพื่อไปลงสถานีสุเอะฮิโระโช (Suehirocho) ไม่อยากบอกว่าสถานีรถไฟเก่าๆมักจะมีบันไดเป็นส่วนสำคัญ ฉะนั้นต้องเหนื่อยกันพอสมควรด้วยหละนะควรเตรียมใจเล็กน้อย แต่สาวๆในทริปก็แบกผ่านกันมาได้ เก่งมาก!
สุดท้ายพวกเราถึงสถานีสุเอะฮิโระโชที่เวลาประมาณทุ่มนึง และนี่จะถือว่าเป็นจุดที่ทริปได้เริ่มต้นอย่างแท้จริง (ที่จะเริ่มในตอนหน้า)
แถมพก: โปรเจคท์ระหว่างเดินทาง
ด้วยการที่ในทริปนี้มีทาสการตลาดเลิฟไลฟ์เดินทางมาด้วยกัน จะให้ถ่ายรูปเฉยๆก็ใช่ที่ คุณแพทตี้จึงคิดมาตั้งแต่ก่อนเดินทางว่าจะเอาเนนโดรอยด์ โฮชิโซระ ริน (จัง) เดินทางติดกระเป๋ามาถือมาราคัสจัมป์ปิ้งในที่ต่างๆ ออกจะครีเอทดีทีเดียว (ประทับใจ) ติดตามการจัมป์ปิ้งของรินจังได้ในแฮชแท็ก #jumpingRinchan ได้ ‘3’/
ลองหาโปรเจ็คอะไรแบบนี้มาใช้ประกอบการเดินทางเพื่อให้มีรสชาติมากขึ้นดูสิ~ อาจจะทำให้ความสนุกจากการเดินทางเพิ่มขึ้นได้มากกว่า 240% เลยทีเดียวนะ
แถมพก: ความมหัศจรรย์ของคำว่า ฟรีไวไฟ และการใช้งานอินเตอร์เน็ตที่ญี่ปุ่น
ในสนามบินทั้งของฮ่องกง ไต้หวัน และญี่ปุ่นนั้น ไวไฟฟรีไม่ต้องลงทะเบียน นักท่องเที่ยวอย่างเราๆแค่กดเชื่อมต่อก็สามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทะเบียนบ้าบอใดๆทั้งสิ้น.. แต่ไม่ใช่สำหรับสนามบินสุวรรณภูมิของประเทศไทยที่ต้องลงทะเบียน ข้างนอกเป็นของทรู ข้างในเป็นของเอไอเอส สับสนและลำบากล็อกอิน ความเร็วก็ช้า ปรับปรุงซักนิดน่าจะเป็นประโยชน์กับนักท่องเที่ยวมากๆเลย..
อีกเรื่องคือการใช้งานอินเตอร์เน็ต เมื่อครั้งที่แล้วผู้เขียนใช้พ็อคเกตไวไฟแบบหารกันกับเพื่อน แล้วพบว่าประสบความลำบากชีวิตขึ้นมามากพอสมควร เนื่องจากเดินแยกกันก็ไม่ได้.. ต้องชาร์จไฟซ้ำซ้อน และเสียแรงแบกเพิ่มอีก 1 ชิ้นอีก คราวนี้จึงเลือกใช้อินเตอร์เน็ตซิมของเครือข่าย NTT docomo ของญี่ปุ่นที่ซื้อไปจากไทย (ลองหาข้อมูลกันดู อัตราค่าบริการอยู่ที่ 15 วัน 900 บาทโดยประมาณ ใช้ได้วันละ 100mb) พอเหยียบแผ่นดินญี่ปุ่น แอคติเวทซิมก็ใช้การได้ทันที สะดวกสบายมากๆเลย