ในบรรดาทุกวันของการเที่ยวของพวกเรา วันนี้หละที่ซื้อของกันแบบโหดสุดๆ มาติดตามกันต่อกับบทความตอนที่ 7 ของซีรีส์ “ญี่ปุ่นไปรอบๆ” สำหรับตอนอื่นๆติดตามได้ในสารบัญเน้อ
สารบัญ: ญี่ปุ่นไปรอบๆ
คลิกเพื่อดูสารบัญบทความ
ญี่ปุ่นไปรอบๆ
- ตอนที่ 8: เดย์ทริปที่โยโกฮาม่าแล้วมาจบที่ฮาราจูกุ
- ตอนที่ 7: วันอิสระสอยของที่อากิบะ+อิเคะฯ
- ตอนที่ 6: นาคาโนะบรอดเวย์และกิบลิมิวเซียม
- ตอนที่ 5: เที่ยวสวนสนุกสไตล์ญี่ปุ่นฮานะยาชิกิ
- ตอนที่ 4: ไปมรดกโลกที่นิกโก้ในวันฝนพรำ
- ตอนที่ 3: ประสบการณ์เข้างานโดจิน ~เลิฟไลฟ์! นิชิคิโนะมากิจังออนลี่อีเวนท์~
- ตอนที่ 2: ยามดึกที่อากิบะและดูแสงสีที่มิไรคัง
- ตอนที่ 1: กว่าจะถึงโตเกียว
วันที่ 23 เมษายน 2558
นั่งดูกำหนดการณ์เที่ยว ในวันนี้จริงๆตามแผนเลยคือพวกเราจะไปฮาโกเน่ แล้ววันศุกร์เป็นวันอิสระ (ประมาณนั้น) แต่ว่าด้วยความเมื่อยล้าสะสมมานาน ประกอบกับอยากสัมผัสความเจริญและติ่งในตัวเมืองมากกว่า วันนี้จึงฉีกกำหนดการณ์ทิ้งแล้วก็เข้าอากิฮาบาระกันแบบง่ายๆเลย!! จุดประสงค์มีอยู่แค่ว่าเดินเล่น ซื้อของ อะไรประมาณนั้น รวมถึงตระเวนดูร้านมือสองมือหนึ่งให้ได้จับจ่ายกันสมใจ
แวะซื้อสินค้าอนิเมร้านไหนดี
จริงๆพวกเราไม่ได้มีจุดหมายเด่นชัดมากนัก คิดซะว่ามาเดทแบบติ่งๆเสียมากกว่า จุดประสงค์หลักคือเราจะมาเดินหาสินค้าจากอนิเมต่างๆเช่นฟิกเกอร์, โดจินชิ, พวงกุญแจ, ของจากเครนเกมต่างๆ เป็นต้น โดยเน้นอีกนิดว่าถ้าเป็นสินค้ามือสองคุณภาพดีราคาถูกได้ยิ่งดีเลย.. เมื่อตั้งเป้าเช่นนั้นเราจึงเดินๆไปเรื่อยๆในอากิบะฯ และเจอร้านน่าสนใจหลายร้านก็แวะตรวจสอบราคากัน เริ่มด้วยร้านแรกที่แวะเริ่มจากร้าน เกมเมอร์สสาขาอากิฮาบาระ (AKIHABARAゲーマーズ) ก่อนเลย ในช่วงที่ไปนี้มีการจัดงานอีเวนท์วันเกิดมากิจังอยู่ด้วย ก็จะมีซุ้มๆรวบรวมสินค้ามาเสนอขายอย่างบริสุทธิ์ใจ ลักษณะเด่นของร้านเกมเมอร์สนี้คือขายสินค้ามือหนึ่งทั่วๆไป เข้าง่ายไม่ลำบากใจ บางทีจะมีสินค้าแถมที่เป็นเอกลักษณ์ประจำร้านด้วย แต่ถ้าถามถึงว่ามีอะไรโดดเด่นไหมต้องบอกว่าไม่โดดเด่นเท่าใดนัก เดินๆเอาเพลินได้
หลังจากเดินซักแปปก็แวะข้างทางบ้าง เดินเล่นบ้าง ในวันนี้แม้จะไม่ได้เป็นวันเสาร์-อาทิตย์ คนก็ยังเยอะอยู่ดี และยังคงมีน้องเมดมาแจกใบปลิวตามฟอร์ม (จะเดินผ่านกี่รอบก็โดนแจก) ในช่วงที่ไปรอบนี้อากาศไม่ได้หนาวมากแล้วจึงไม่แปลกใจที่เห็นคุณน้องเมดใส่กระโปรงสั้นและโชว์ต้นขาที่น่าจะสะท้านความหนาว (ฮา) ปกติแม้คุณเมดจะยืนแจกตามถนน แต่ว่าบางร้านก็อยู่ไกลหรือชั้นสองชั้นสาม ใครสนใจก็อาจจะต้องเดินตามไปอีกทีด้วยนะ
เดินมาอีกซักพักก็ได้แวะร้าน โคโตบุกิยะ (コトブキヤ) ซึ่งเป็นร้านหลักของค่ายฟิกเกอร์หนึ่ง ในร้านเน้นขายของมือหนึ่งเช่นกัน (แหงหละ) จุดเด่นสุดของร้านคือสินค้าจะไม่ได้แยกตามประเภทผลิตภัณฑ์แต่จะแยกตามอนิเมเป็นเรื่องๆไป มีกระทั่งอนิเมนอกกระแสหน่อยๆแบบ ทันเทย์โอเปร่ามิลกี้โฮล์มส (探偵オペラ ミルキィホームズ) ซึ่งแพตตี้ซังต้องการมาดูบูทที่ร้านนี้แหละ (ฮา) นอกจากนั้นยังมีพวกซุ้มจากอนิเมของกิบลิสตูดิโอด้วยนะ ‘ ‘
อีกข้อเด่นของการช็อปที่โคโตบุกิยะคือได้รับพอยต์การ์ดสำหรับใช้ลดราคามาด้วย (มีภาษาอังกฤษหลังการ์ดให้อ่านนับว่าดีมาก) บางทีร้านอื่นๆเห็นเราเป็นชาวต่างชาติจะไม่ได้เอาให้ แต่ร้านนี้ให้มานับว่าสร้างความประทับใจดีๆได้มากเลย
ถัดไปใกล้ๆกันก็จะมีร้าน ลาชินบัง (らしんばん) สาขาอากิบะดั้งเดิม ไม่ค่อยมีใครได้แวะเข้ามาเท่าไรเพราะตัวร้านนี้มันอยู่ชั้น 2 (เริ่มเคยชินกับวัฒนธรรมโตเกียวที่แต่ละชั้นเป็นแต่ละร้านกันรึยังเอ่ย) สมเป็นสังคมแนวตั้งจริงๆ ต้องเหลือบตามองกันซักนิดนะเนี่ย
ส่วนชั้น 1 เป็นร้านราเม็ง..ชั้นใต้ดินเป็นร้านอาหารชุด ไหนๆแล้วก็อยากจะลองกินร้านอาหารชุดที่เหล่าคุณลุงซาลารี่แมนมาโซ้ยกันอย่างบ้าคลั่งจึงพากันลงไป แม้จะต้องทนกับกลิ่นบุหรี่อันตลบอบอวลซักเล็กน้อย (ไม่สิ ไม่น้อย)
ตัว Wซังสั่งราเม็งและข้าวผัดเล็ก ส่วนแพตตี้สั่งข้าวผัด ผลคือแทบจะเสียชีวิตเพราะว่าปริมาณมหาศาล.. แน่นอนว่าควรจะกินให้หมดจึงแทบจะวายปราณตรงนั้นนน ทั้งนี้เนื่องจากไม่สามารถสื่อสารได้จึงหมดอโอกาสที่จะเลือกจานเล็ก (ฮา) แต่ความอร่อยอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ถ้าไม่ได้มาตอนเที่ยงอาจจะดีกว่านี้เพราะจะได้ไม่มีกลิ่นบุหรี่ด้วย
หลังกินกันอิ่มหนำจึงได้เวลาเข้าไปเดินเล่นที่ลาชินบังชั้นบน ในร้านนี้เป็นร้านจำหน่ายสินค้ามือสองล้วนๆ สินค้ามีหลากหลายทุกรูปแบบทั้งเรท ไม่เรท ทั้งโดจินชิ อนิเม ซีดีเพลง เกม ฟิกเกอร์ เรียกได้ว่าครบเครื่องวัฒนธรรมมาเนีย
ถ้าให้ประเมินกันแล้วในร้านลาชินบังนี้เดินสนุกมาก ของดีและถูกมากมาย หลากหลาย จัดเป็นร้านที่ควรแวะมาถ้าจะหาสินค้าที่ชื่นชอบ โดยเฉพาะโดจินชิมือสองจะมีดีๆเยอะเลยเช่นกัน หลังจากเดินลาชินบังเสร็จพวกเราก็ไปที่ตึก อากิบะคัลเจอร์โซน (AKIBAカルチャーズZONE) ที่เป็นตึกรวมร้านรวงหลายๆร้านเข้าด้วยกัน มีทั้งร้าน อนิเมท (Animate) ทั้งลาชินบัง ทั้งกู้ดสไมล์คาเฟ่ (GOOD SMILE x animate Cafe) ร้านขายอุปกรณ์คอสเพลย์ต่างๆ เป็นต้น ในตึกนี้ยังรวมไปถึงร้านเล็กย่อย อีกหลายร้าน จัดว่าเดินสนุกใช้ได้
บันทึกเรื่องราวไว้เล็กน้อยว่าตอนเดินไปหาของมือสองที่ลาชินบังสาขาตึกคัลเจอร์ แล้วมีตำหนิบางอย่างแปะไว้ที่กล่องแล้วอ่านไม่ออก.. เดินไปถามคุณพนักงาน คุณพนักงานก็ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษกับเราได้ เลยทำการแกะห่อให้ดูกันจะจะ นับว่าเป็นการบริการที่ช่างทุ่มเท แพตตี้เลยเผลอซื้อมาแบบไม่ต้องคิดมากตามไป (?!) ส่วนอีกตึกที่อยากแนะนำมากๆสำหรับที่นี่คงจะเป็นตึก มันดาราเกะ (Mandarake, まんだらけ) ที่สาขาอากิบะนี้จะเป็นตึกสีดำขนาดใหญ่ที่ดูแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เดินช็อปปิ้งได้อย่างสนุกสนานกับสินค้ามือสองทุกชั้นเช่นกัน แต่ไม่ได้ถ่ายรูปตึกมาเนื่องจากพอเดินๆไปก็มีบางจังหวะที่เกิดขี้เกียจจะยกกล้องถ่ายซะงั้นนั่นหละ (!?)
เดินๆไปก็เหนื่อยเลยแวะกินกาแฟและขนมฟื้นฟูพลังขาใน ร้านกาแฟเฟรนไชส์ เอกเซลซิออร์ คาเฟ่ (Excelsior Caff’e) ตามที่เคยบอกไปแล้ว กาแฟในเกรดเดียวกันจะราคาเท่าๆกันกับในไทย ฉะนั้นก็ดื่มได้โดยสะดวกใจสุดๆ
จากนี้แทบจะไม่ได้ถ่ายรูปแล้วในอากิบะเพราะได้แต่เดินวนไป วนมา หาของ ซื้อของ ฝากของในล็อกเกอร์ (อันนี้สำคัญมากไม่เช่นนั้นจะเมื่อยมาก) ร้านที่วนๆก็สลับกันทั้งมือหนึ่งมือสองตามวิสัยทั่วไป อ้อ ได้แวะไปห้างโยโดบาชิอากิบะ (ヨドバシAkiba) เพื่อซื้ออุปกรณ์กล้องมาทดแทนที่พังไประหว่างเดินทางเล็กน้อยด้วย อนึ่งที่นี่น่าจะเป็น 1 ใน 3 ร้านอุปกรณ์กล้องและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว ไม่มีที่นี่ก็คงไม่มีที่ไหนแล้วหละ
จากนั้นเมื่อถึงเวลาเย็นย่ำซักนิดก็ได้เวลาลาจากอากิบะเพื่อไปตามรอยเลิฟไลฟ์! ต่ออีกซักหน่อย โดยจากสถานีรถไฟ JR อากิฮาบาระ เราก็ขึ้นสายยามาโนเตะเจ้าเก่าไปที่สถานี JR รถไฟโตเกียว (Tokyo) จากนั้นเดินออกมาแค่ไม่นานผ่านอากาศเย็นๆ
ก็จะมาถึงสถานที่ถ่ายทำ PV ของเพลง “Snow halation” กันแล้ว เทียบตำแหน่งแล้วเป๊ะๆแน่นอนเสียแค่ว่าไม่มีซุ้มประดับไฟแบบในอนิเม จริงๆถ้ามาตอนหนาวกว่านี้หรือหิมะตกอาจจะได้บรรยากาศเต็มร้อยก็ได้ อนึ่งแถวนี้ดูเงียบสงบไม่ค่อยมีคน เพราะว่าเป็นย่านออฟฟิศแล้วรึเปล่านะ
จากนี้ไปเป็นความผิดพลาดจากการดูกูเกิ้ลแมปแล้วย่ามใจ โดยก่อนที่จะมาตรงบริเวณถ่ายรูป PV นี้พวกเราเดินมาจากสถานี JR โตเกียวแค่ราวๆ 10 – 15 นาทีเท่านั้นเอง มันคงจะดีถ้าพวกเราคิดจะกลับทางเดิมกัน แต่ก็จู่ๆอยากเดินเล่นเลยเลือกที่จะไปอีกทางหนึ่ง ผลก็สมใจคือได้เดินเล่นในบรรยากาศแปลกๆ คล้ายๆวินโดวส์ช็อปปิ้งของแถบยุโรป (พูดเหมือนเคยไป)
คลาสสิคมากๆเลยเชียวคุณ รู้สึกเหมือนมาเดทเลยทีเดียวหละ (?) ทีนี้เดินไม่นานก็มาถึงสถานีเมโทรนิจูบาชิมาเอะ (Nijubashimae) จริงๆเรื่องมันก็ไม่น่าจะมีอะไรใช่ไหมหละ แต่พอลงไปปรากฎว่ายังต้องเดินทางใต้ดินกันอีกยาวเพราะว่าไม่มีรถไฟที่เชื่อมกันได้จากตรงนั้น อา..ไม่สิ..หรือตอนนั้นพวกเราอาจจะแค่งกค่าเดินทางกันก็เป็นได้ เมื่อเห็นว่าทางเดินมันต่อไปได้เรื่อยๆก็เดินกันขาลาก 900 เมตร เพื่อให้ถึงสถานีที่ต่อรถน้อยสุดและไม่อ้อม
สุดท้ายคือหมดแรงจนไม่เหลือ..กดน้ำตู้มากินประทังชีวิตและแรงกระทั่งจะยกกล้องถ่ายรูปยังไม่มี! แต่ระหว่างการเดินใต้ดินนี่ได้พบว่าชาวโตเกียวเองมีวิถีชีวิตผูกพันกับใต้ดินมาก เดินๆไปก็เจอออฟฟิศบ้าง เจอร้านอาหารหลากหลายเกรดบ้างทั้งถูกและแพง เจอร้านขายของก็มี.. คือหลากหลายเหลือเกิน ก็นับว่าแลกเปลี่ยนพลังงานแลกประสบการณ์กันไป
แต่ทว่า หลังกลับไปถึงอิเคะบุคุโระ พวกเราเช็คเวลากันแล้วก็ยังไม่ดึกเกินไปนักเลยวนเที่ยวแถวๆย่านขายสินค้าอนิเมได้อีกนิด ก็ได้พบว่ามีหลายร้านที่ปิดดึกเหลือเชื่อ เช่น โทระโนะอานะ สาขาอิเคะบุคุโระ (とらのあな) นั้น สาขา B จะเปิดถึง 23:00 น. เลยทีเดียว (ไม่ใช่ส่วนขายสินค้าบอยส์เลิฟด้วย) ทำให้ถ้าใครมาพักแถวอิเคะบุคุโระนี้สามารถใช้เวลาช่วงดึกในการซื้อสินค้าเกี่ยวกับอนิเมได้อีกนิดก่อนนอน
ก่อนเข้าที่พักก็อย่าลืมแวะหาอะไรกินเล็กๆน้อยๆ กาแฟสดที่ 7-11 และไอศครีมโคนแบบที่ในไทยไม่มีขายก็เข้ากันสำหรับของกินยามดึกนะ ลองดูสิ
สำหรับในวันต่อไปพวกเราจะไปต่างจังหวัดกันอีกแล้ว คราวนี้เป็นคราวของการไปเยือนเมืองท่าโยโกฮาม่า เมืองแห่งวัฒนธรรมหลากหลาย! และแน่นอน ไม่พ้นเรื่องติ่งอีกนั่นหละ
แถมพก: การเดินเที่ยวยามดึกตามสไตล์คนไม่ประสีประสา
ช่วงดึกๆในอิเคะบุคุโระบางส่วนแลดูน่ากลัวจริงๆนะ (อา) ตามแยกบางทีจะเห็นผู้ชายใส่สูทมาเดินหน้าร้านหรือสุมหัวคุยกัน จริงๆก็น่าจะเป็นพนักงานเรียกแขกของพวกตามดริงค์บาร์ต่างๆ ถ้าเป็นไปได้ก็เดินหลบๆกันเนอะ (?) อีกอย่างคือควรตรวจสอบเส้นทางเดินให้ดีด้วยว่าส่วนที่เป็นย่านการค้าหลักกลับมายังโรงแรมเดินยังไง ผ่านทางใด เพื่อความสะดวกในการช็อปจนดึกและรีเทิร์นที่พักได้อย่างสะดวก
ยามดึกที่อิเคะบุคุโระในส่วนย่านการค้าและย่านโรงแรมนั้นเต็มไปด้วยร้านรวงเปิดยามดึก คือไม่เหงาแน่ๆหละ แต่อย่างไรถ้าไม่มีเพื่อนที่พูดญี่ปุ่นได้พานำก็ระมัดระวังด้วย