จู่ๆการท่องเที่ยวในเมืองของพวกเราก็ตัดรสชาติอย่างแรงด้วยการเที่ยวในวันนี้! มาติดตามกันต่อกับบทความตอนที่ 4 ของซีรีส์ “ญี่ปุ่นไปรอบๆ” สำหรับตอนอื่นๆติดตามได้ในสารบัญเน้อ
สารบัญ: ญี่ปุ่นไปรอบๆ
คลิกเพื่อดูสารบัญบทความ
ญี่ปุ่นไปรอบๆ
- ตอนที่ 8: เดย์ทริปที่โยโกฮาม่าแล้วมาจบที่ฮาราจูกุ
- ตอนที่ 7: วันอิสระสอยของที่อากิบะ+อิเคะฯ
- ตอนที่ 6: นาคาโนะบรอดเวย์และกิบลิมิวเซียม
- ตอนที่ 5: เที่ยวสวนสนุกสไตล์ญี่ปุ่นฮานะยาชิกิ
- ตอนที่ 4: ไปมรดกโลกที่นิกโก้ในวันฝนพรำ
- ตอนที่ 3: ประสบการณ์เข้างานโดจิน ~เลิฟไลฟ์! นิชิคิโนะมากิจังออนลี่อีเวนท์~
- ตอนที่ 2: ยามดึกที่อากิบะและดูแสงสีที่มิไรคัง
- ตอนที่ 1: กว่าจะถึงโตเกียว
วันที่ 20 เมษายน 2015
ตื่นเช้ามากเป็นพิเศษ เพราะตามตารางทริปและตั๋วที่จัดแจงซื้อมาตั้งแต่มาถึงญี่ปุ่น วันนี้ทั้งคณะของเราจะออกไปที่เมืองนิกโก้ (Nikko, 日光) ที่อยู่ในจังหวัดโทชิกิกัน โดยตัวเมืองนิกโก้นี้ห่างจากโตเกียวไปทางทิศเหนือประมาณ 140 กิโลเมตรและเป็นเมืองในทิวเขาที่ภูมิทัศน์สวยงาม มีมรดกโลกขนาดใหญ่หลายแห่งให้ได้เที่ยวชม เรียกว่าเป็นการมาเที่ยวในอีกรสชาติจากสองสามวันแรกโดยสิ้นเชิง
โดยสำหรับการเตรียมตัวเพื่อไปทริปนิกโก้ในวันนี้เราทำการซื้อตั๋วออลนิกโก้พาส (ALL NIKKO PASS) มาจากที่สนามบินนาริตะเรียบร้อยแล้วในราคา 4,520 เยน ซึ่งจะทำให้พวกเราสามารถเดินทางด้วยรถไฟจากโตเกียวไปนิกโก้ได้ 1 รอบไป-กลับ รวมกับค่ารถบัสในเขตตัวเมืองนิกโก้ที่มีราคาสูงมาก โดยเมื่อเทียบค่าเดินทางและคำนวนมาแล้วก็คุ้มค่าที่จะสอย สำหรับการเตรียมตัวอื่นๆก็จะเป็น เตรียมกระเป๋าใส่เสื้อผ้าสำหรับไปค้าง 1 คืน การเตรียมแผนที่รถบัสและตารางเวลา
อนึ่งการไปเที่ยวต่างจังหวัดโดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นที่ท่องเที่ยวของชาวญี่ปุ่นเองแบบนี้ ชาวต่างประเทศแบบเราๆควรจัดสรรวันเดินทางไม่ให้ตรงกับเสาร์-อาทิตย์ด้วยจะเป็นการดี เนื่องจากจะได้หลีกเลี่ยงคลื่นมหาชนและรถติดที่จะทำให้การเดินทางล่าช้ากว่าที่ควรเมื่อไปขึ้นรถบัสในตัวเมือง
การเดินทางเริ่มอย่างเช้าตรู่ เหลือบดูท้องฟ้าหม่นๆเล็กน้อยเริ่มต้นเดินทางโดยไปที่สถานีรถไฟใต้ดินอาซากุสะ แล้วออกประตู 7 เพื่อไปสู่สถานี โทบุ อาซากุสะ (Tobu Asakusa) โดยรถไฟที่จะไปนิกโก้นั้นจะเป็นสายโทบุนิกโก้ (TOBU NIKKO Line) หรือในตัวโตเกียวจะเรียกสายโทบุสกายทรี (TOBU SKYTREE Line) ในแถวๆนี้ผู้คนมักจะสับสนกัน เพราะคำว่าสถานีอาซากุสะแต่มีหลายสถานีนี่แหละ มีทั้งสายกินซ่า สายโทเอย์ สายโทบุ.. แอบงงตอนแรกเช่นกัน
พอไปถึงก็ไปดูตารางเวลากันก่อน และพบว่ายังพอมีเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงให้เลือกซื้ออาหารขนมเครื่องดื่มไปนั่งกินบนรถไฟกันได้ แถวๆบริเวณนี้อยู่ใกล้กับตึกอาซาฮีที่มีฟองเบียร์สีทองขนาดยักษ์บนตึกด้วย เลยแวะถ่ายรูปซักหน่อยด้วยตามเวลาที่ยังมี
บังเอิญว่าร้านนี้ดูเป็นร้านที่ไม่ใช่เชนใหญ่ๆแบบลอว์สัน เลยมีพวกกับข้าวทำเองมาวางด้วย เป็นการสร้างจุดเด่นที่ชัดเจนดี
ที่ตลกคือน้องพนักงานพาร์ทไทม์ของร้านนี้คิดเงินไวมากดั่งสำเร็จสกิลค้าขายเลเวลเต็ม อาจจะแวะมาทำงานพิเศษก่อนไปเรียนมหาลัยต่อก็เป็นได้ หลังจากซื้อเสบียงเสร็จก็ไปรอขึ้นรถกันที่สถานี โดยเมื่อรอๆก็ได้พบว่าตอนนี้เป็นชั่วโมงเร่งด่วนที่ขึ้นชื่อของญี่ปุ่นนี่เอง (7:30 น.) คนจำนวนมหาศาลหลั่งไหลออกมาจากรถไฟแบบที่เพิ่งเคยเห็นตอนนี้ครั้งแรก
พอได้เวลาก็ไปรอขึ้นรถไปนิกโก้กัน โดยรถที่เราจะขึ้นเป็นรถแบบธรรมดาสุดจากพาส (Rapid (快速)) ไปแบบไม่ไวนัก และต้องขึ้นให้ถูกตู้ด้วย (ตู้ 5 และ 6) เพราะระหว่างทางไปจะมีการแยกส่วนรถออกเป็นสองปลายทาง ถ้าขึ้นผิดต้องเสียเวลากันอีกมากมาย
การเดินทางด้วยรถไฟสายโทบุนิกโก้แบบธรรมดาๆนี้แม้จะไม่ต้องจ่ายเพิ่มแต่ก็แลกมาด้วยความไม่สบายในการนั่งเล็กน้อย ถ้ามีงบจ่ายเพิ่มกันคนละประมาณ 800 กว่าเยนก็สามารถอัพเกรดไปนั่งรถด่วนได้ แต่ว่าถ้าเดินทางในวันธรรมดาคนน้อยๆก็เฉลี่ยกันไปแต่ละเก้าอี้ได้ไม่เสียหาย
ระหว่างการเดินทางก็ได้พบเจอวิวต่างๆตั้งแต่ในตัวเมืองไล่ออกนอกเมืองไปเรื่อยๆ เพลิดเพลินตามประสาคนต่างชาติ แม้ว่าจะมีหลายเวลาที่นอนงีบไปก็เถอะ
ระหว่างการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงก็ได้พบว่าสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุดอย่างฝน ก็เริ่มโปรยปรายมาแล้ว พลางคิดว่าขออย่าให้ตกหนักมากไปจนเดินไม่ได้ เอาพรำๆก็พอ (ต่อรองกับใคร) แต่การพบเจอสิ่งที่ไม่เป็นไปตามคาดก็นับเป็นรสชาติของการเดินทาง
แต่วันนี้อาจจะคิดถูกที่ออกมานอกเมืองก็ได้ เพราะจากที่ทราบมา โตเกียวในวันนี้ฝนตกหนักมากๆจนเดินเที่ยวอะไรไม่ได้เลย เรียกได้ว่าเป็นโชคในคราวเคราะห์ละกัน พอเวลาล่วงเลยไป ถึงจุดหมายที่นิกโก้ ก็ลงมาสัมผัสบรรยากาศของต่างจังหวัดญี่ปุ่นกันเป็นครั้งแรก
พอมาถึงภายในตัวอาคารรองรับของสถานีก็ได้พบว่ามีฝนตกพรำๆ แต่ยังพออยู่ในวิสัยที่กางร่มเดินได้สบายๆ เลยจัดแจงซื้อร่มกันก่อน (300 เยน ร่มใสมาตรฐาน) หยิบแผนที่และตารางรถบัสจากแถวนั้นมาประกอบการเดินทางๆ จากนั้นก็ตรงไปขึ้นรถบัสไปเที่ยวชมธรรมชาติกันเลย~!
นิกโก้: ภาคเที่ยวชมธรรมชาติ
ก่อนเข้าสู่การเที่ยวชม ต้องเข้าใจหลักการเดินทางด้วยรถบัสในนิกโก้ก่อน หลักๆของการเดินทางด้วยรถบัสในเมืองนิกโก้นั้นแบ่งเป็นสาย 2A, 2B และ 2C โดยเส้นทางเป็นดังนี้
- สาย 2A ไปสุดส่วนที่ไกลสุดและลึกสุดของนิกโก้คือ ยูโมโตะออนเซน (Yumoto-Onsen, 湯元温泉) แหล่งเที่ยวน้ำพุร้อน น้ำตก และโรงแรมรีสอร์ต
- สาย 2B ไปสุดที่ป้ายชูเซนจิออนเซน (Chuzenji-Onsen, 中禅寺温泉) ป้าย 24 และวนกลับมาที่เดิม โดยสาย 2A เองก็ไปถึงป้ายนี้ได้ด้วยเช่นกัน
- สาย 2C เป็นสายมรดกโลก จะวนในเขตตัวมรดกโลกเท่านั้น
ตามที่วางแผนไว้คือจะไปแค่ที่ทะเลสาบชูเซนจิ แล้วกลับมาตอนเที่ยงๆบ่ายๆ ช่วงบ่ายถึงเย็นเที่ยวมรดกโลก ฉะนั้นช่วงเช้าเราจึงขึ้นรถบัสสาย 2A จากป้าย 2 กันเลย โดยรถบัสในเขตตัวเมืองนิกโก้นี่เราขึ้นได้ทั้งหมดด้วยการโชว์ตั๋วออลนิกโก้พาสที่ได้ซื้อไว้ (อย่าเผลอเอาพาสโมการ์ดไปแปะตอนขึ้นหละจะเสียทรัพย์เอาเปล่าๆ ค่ารถบัสแพงด้วย)
การขึ้นรถบัสในญี่ปุ่นตามปกติแบบไม่ใช้พาส ตอนขึ้นเราก็เอาพาสโมหรือซุยกะไปแปะ.. แล้วตอนลงก็แปะอีกที โดยราคาที่จะโดนหักจะขึ้นบนบอร์ดในรถที่จะแสดงให้เห็น เช่น เราขึ้นจากสถานี 2 ราคาในช่องสถานี 2 ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามระยะทางที่เราเดินทางไป ส่วนถ้าไม่มีพาสโม ก็จะได้ตั๋วมาตอนขึ้นให้เก็บไว้จนตอนลงก็ชำระตามราคาเช่นกัน ตู้ทอนเหรียญมีกันในรถนั่นหละ สะดวกและมีประสิทธิภาพแบบไม่น่าเชื่อ
ส่วนการลงนั้นให้กดกริ่งตามป้ายที่จะลง โดยมากจะจอดเฉพาะป้ายใหญ่ๆ ป้ายเล็กๆนั้นถ้าไม่กดก็ไม่ได้ลงนั่นเอง (โดยมากป้ายเล็กๆจะเป็นเชิงเขา ที่ๆไม่มีคน หรือบ้านคนทั่วๆไป ป้ายที่จอดแน่ๆคือแหล่งท่องเที่ยวทั้งหลาย)
หลังจากได้ขึ้นรถบัส จุดมุ่งหมายแรกคือการขึ้นเขาไปชมบรรยากาศโดยรวมที่ป้าย 23 กระเช้าลอยฟ้าอาเคชิไดระ (Akechidaira Ropeway, 明智平ロープウェイ) โดยป้ายนี้จะผ่านเฉพาะขาขึ้นเท่านั้น มีจุดเด่นคือเป็นป้ายที่สามารถนั่งกระเช้าขึ้นไปยอดเขาสูงสุดในเมืองนิกโก้เพื่อชื่นชมบรรยากาศโดยรวมได้ ด้วยเหตุนี้จึงสมควรแวะกันซักหน่อย
อนึ่งค่าใช้จ่ายในการขึ้นกระเช้าอยู่ที่ 730 เยนต่อคนเท่านั้นเอง เทียบกับวิวที่ได้รับถือว่าคุ้มโอเคเลย
ด้านบนที่เป็นจุดชมวิวนั้นสวยกว่าที่คิด วิวในบริเวณทิวเขานี้สะกดสายตาได้ดีเลยทีเดียว บางทีการที่ได้มาในช่วงที่ฝนตกและหมอกลงก็ทำให้ได้รู้สึกถึงธรรมชาติอย่างแท้จริงไปอีกแบบด้วย
ที่ตลกคือแถวๆนั้นมีทางเดินไปยอดเขาพร้อมมีป้ายเตือนว่า “แถวนี้มีโอกาสเจอหมี ระวังตัวกันเอาเอง” ประมาณนี้ด้วย ที่ตลกคือแถวๆนั้นก็มีห้องน้ำให้เดินไปเข้าแบบดูวังเวงมาก นี่ต้องการอะไรกันแน่ (ฮา)
หลังจากกลับลงมา เนื่องจากต้องรอรถบัสมา จึงพอจะมีเวลาให้พวกเราได้เดินเล่นในอาคารขายของฝากแถวนั้น ส่องๆดูยังไม่พบอะไรที่ดูโดดเด่นจนต้องซื้อในทันที แต่ก็ได้เจอกับร้านขายซอฟท์ครีม (ไอศครีมโคน) ที่มีรสท้องถิ่นเป็นรสโทชิงิเลมอนที่ว่าขึ้นชื่อในจังหวัดนี้ จึงสอยมาชิมกันคนละโคน
รสชาติความเปรี้ยวของเลมอนไม่เด่นมาก แต่ความหอมนั้นมาเต็มๆ ใครแวะมาจะมาลองกินก็ไม่เสียหาย โดยตอนที่กำลังกินๆอยู่ก็ปรากฎว่ารถบัสที่รออยู่วิ่งผ่านหน้าไป.. ไม่ทันซะแล้ว ตรงจุดนี้ทำให้ได้รู้ว่าทุกครั้งที่ลงป้ายรถบัสใดๆควรเอามือถือหรือกล้องถ่ายป้ายตารางเวลามาไว้ก่อนเพื่อความชัวร์ รถบัสญี่ปุ่นมาตรงเวลาและจอดกันแปปเดียวด้วยจริงๆ
คือแม้ว่าตอนแรกเราอาจจะหยิบใบตารางเวลามาจากศูนย์บริการท่องเที่ยวที่สถานีรถไฟแล้วก็ตาม แต่บางทีก็ไม่มีป้ายระบุไว้เช่นป้าย 23 นี้หละ ถ้าจะเอาความแม่นจริงๆ ลงป้ายไหนดูที่ป้ายนั้นจะดีที่สุด อย่าประมาทนะ และเมื่อวืดรถปุป พวกเราก็มีเวลาเหลือเฟือแถวๆนั้น นั่งพักนั่งดื่มอะไรกันให้พอใจจนกว่ารถจะมา เพื่อไปถึงป้ายต่อไป ป้ายที่ 24 ชูเซนจิออนเซน (Chuzenji-Onsen, 中禅寺温泉)
โดยเมื่อมาถึงป้ายที่ 24 แล้ว เดินไปตามป้ายแนะนำก็จะมาถึงน้ำตกเคกอน (Kegon Waterfall, 華厳の滝) หนึ่งในสามน้ำตกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
โดยการเยี่ยมชมน้ำตกเคกอนจะแบ่งเป็นการชมจากข้างบน และการลงลิฟต์ไปดูใกล้ๆ ซึ่งถ้าสนใจจะไปดูแบบใกล้ๆต้องเสียค่าบริการเพิ่มเติมเล็กน้อย ตอนแรกคิดว่าจะลองไปชมข้างล่างแบบจ่ายเงินเพิ่ม แต่ในเมื่อมันมีแบบฟรีเลยลองเดินไปดูซะก่อน บริเวณชมน้ำตกมีการบอกให้งดใช้ขาตั้งกล้องด้วย ซึ่งน่าเสียดายเล็กน้อยสำหรับการถ่ายรูปที่อดทำการลากชัตเตอร์สปีดยาวๆให้สายน้ำตกกลายเป็นคลื่นเนียนๆ
โดยเมื่อได้เห็นน้ำตกเคกอนแล้วก็คิดว่าเป็นน้ำตกที่สวยงาม มีพลัง และสูงตามที่ได้รับการบอกเล่ามาจริงๆ (ความสูงของน้ำตกอยู่ที่ 97 เมตร) ต้องถ่ายรูปและชื่นชมธรรมชาติกันซักพัก โดยอดเสียดายไม่ได้ว่าถ้าเป็นฤดูใบไม้ร่วง แถวนี้จะมีความสวยงามมากขึ้นขนาดไหน (ฤดูกาลท่องเที่ยวพีคสุดของนิกโก้คือฤดูใบไม้ร่วง ทุกที่แถบนี้จะเป็นสีส้มเต็มไปหมด)
ชมเสร็จก็ขึ้นมาเดินเล่นอีกซักนิดแถวๆหน้าน้ำตก พบเจอมาสคอตประหลาดๆ เช่น คาราอาเกะคลุง.. หรือไม่ก็ซุ้มขายปลาย่างแบบทั้งตัวเสียบไม้ แบบที่เห็นบ่อยๆในการ์ตูนญี่ปุ่น (ฮา) ที่เสียดายจริงๆคือตู้กาจาปองที่มีเข็มกลัดเฉพาะถิ่นของนิกโก้ของหมด อดไขมาเป็นที่ระลึกซะแบบนั้น
ออกจากบริเวณน้ำตกก็มาเดินที่ย่านขายของแถวๆนั้นเป็นทางเดินยาวไปเรื่อยๆ แถวนี้เดินสนุกดีทีเดียว อุดมไปด้วยของฝากท้องถิ่นแบบขายเฉพาะบริเวณนี้ ขนมแปลกๆก็หาซื้อได้ด้วย ที่ตลกอีกอย่างคือมาสคอตประกอบขนมของฝากบริเวณนี้จะเป็นลิง 3 ตัว (ลิงปิดหู ปิดตา ปิดปาก) โดยทำไมแถวนี้เอาลิงเป็นจุดขาย ถ้าอ่านบทความตอนนี้ไปเรื่อยๆจะได้รู้กัน
เดินรายทางไปซักพักก็ไปถึงทะเลสาบชูเซนจิ (Chuzenji Lake, 中禅寺湖) ไฮไลท์อีกแห่งของนิกโก้ ตามที่ได้อ่านมาคือเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดโทชิงิ โดนจุดเด่นที่บ่งบอกให้เรารู้ก็คือโทริอิ (ซุ้มประตูแบบญี่ปุ่น) สีแดงขนาดใหญ่ที่ตั้งไว้เหมือนจะบอกนักท่องเที่ยวว่าตรงนี้มาถึงทะเลสาบแล้วนะ
เพราะหมอกมันลงเยอะจนแทบมองไม่เห็นผิวน้ำเลยด้วยซ้ำ! ฝนก็แรงด้วย แต่ยังอุตสาห์เดินไปเยี่ยมชมและแวะถ่ายรูป อนึ่งน้ำใสมากจนอดคิดไม่ได้ว่าถ้ามาในวันที่อากาศดีท้องฟ้าสีฟ้าใส บริเวณนี้จะสวยงามได้ถึงขนาดไหนกันนะ
ไม่รู้ว่าสภาพอากาศที่นี่ในปีนึงจะหมอกลงแบบนี้หลายวันไหม แต่ว่าก็ดูเหงาๆไปอีกแบบ ดูสะพานที่ทอดยาวลงไปในทะเลสาบนั่นสิ
ถึงจะดูเหมือนอึด แต่ว่าด้วยสภาพอากาศที่ลมพัดแรง ฝนตก หมอกลง แม้จะตื่นเต้นกับการมาเที่ยวธรรมชาติกันต่างแดนยังไงก็มีลิมิตกัน เลยย้อนกลับไปที่สถานีรถบัสเดิมที่พวกเราขึ้นมาและนั่งสาย 2B เพื่อย้อนกลับไปที่สถานี 2 อันเป็นสถานีที่พวกเราเดินทางมา ก่อนจะหาอาหารกลางวันกินแถวๆนั้นเพื่อเริ่มการเที่ยวในช่วงบ่ายต่อไป
กลับมาที่สถานี 2 หรือสถานีรถบัสโทบุนิกโก้ (Tobu Nikko, 東武日光駅) ก็ได้เวลาในการหาข้าวกินแบบสุ่มๆ โดยเดินกันแถวนั้นแหละ เจอร้านนึงที่ดูเข้าท่าเข้าทางเลยแวะเข้าไปด้วยสัญชาติญาน อีกอย่างคือหน้าร้านเขียนว่ามีเมนูภาษาอังกฤษเลยทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้น
พอไปอ่านเมนูก็พบว่าเจอแต่คำว่า ยูบะ ยูบะ ยูบะ (อาหารอะไรก็แล้วแต่ ล้วนมีคำว่ายูบะ (ゆば) นำหน้า) อ่านๆคำอธิบายเขาบอกว่ายูบะเป็นอาหารขึ้นชื่อของนิกโก้นะ น้ำแร่ในบริเวณนี้ก็สะอาดและอร่อยมากด้วย เลยสั่งยูบะอุด้งบราคา 980 เยน
พอเห็นหน้าตาก็ถึงบางอ้อว่ายูบะมันคือ “ฟองเต้าหู้” นี่เอง อ่านๆมาเลยได้รู้ว่าการที่นิกโก้มีวัดพุทธที่มีนักบวชจำวัดอยู่เยอะเช่นวัดรินโนจิ และนักบวชเหล่านั้นไม่ทานเนื้อสัตว์ เลยกินฟองเต้าหู้พวกนี้แทนเพื่อเป็นโปรตีน จนกลายมาเป็นอาหารท้องถิ่นของนิกโก้ในที่สุด ซึ่งแม้จะบอกว่าเป็นฟองเต้าหู้แต่ก็มีการปรุงรสหวานเค็มมาตามสไตล์ญี่ปุ่นแล้ว อร่อยใช้ได้
พอกินกันเสร็จมาเดินเล่นข้างล่างเรื่อยๆ เลยได้รู้ว่านอกจากยูบะ และเลมอน ที่บอกเป็นของขึ้นชื่อของจังหวัดโทชิงิแล้ว ยังมีสตรอว์เบอร์รี่อีกอย่างหนึ่งที่เป็นของเด่นดัง โดยมีคิทแคทรสพิเศษของจังหวัดนี้โดยเฉพาะมาขายด้วยนะ
นิกโก้: ภาคมรดกโลก
หลังจากกินมื้อเที่ยงกันเรียบร้อยราวๆบ่ายโมงครึ่ง ก็ได้เวลาที่จะขึ้นรถบัสสาย 2C เพื่อไปเที่ยวในส่วนของมรดกโลก โดยรถบัสสาย 2C นั้นจอดไม่กี่ป้ายแต่ว่าล้วนเป็นป้ายที่ใกล้กับพวกวัดมรดกโลกทั้งนั้น ดังเช่นตามลิสท์นี้ (ไม่ได้ลงไว้ทั้งหมด)
- ป้ายรถบัสที่ 2 สถานีโทบุนิกโก้ (Tobu Nikko Station, 東武日光駅) สถานีเริ่มต้น
- ป้ายรถบัสที่ 83 โอโมเตะซังโดะ (Omotesando, 表参道) จะใกล้กับวัดรินโนจิ (Rinnouji Temple, 轮王寺) เดินขึ้นเนินไปจะเจอศาลเจ้าโทโชกุ (Toshogu Shrine, 東照宮)
- ป้ายรถบัสที่ 85 ไทยูอินฟุตาระซังจินจามาเอะ ( Taiyuin Futarasan jinja mae, 大猷院 二荒山神社前) ใกล้กับศาลเจ้าฟุตาระซัง (Futarasan Jinja, 二荒山神社) และสุสานไทยูอิน (Taiyuin Mausoleum, 輪王寺大猷院)
- ป้ายรถบัสที่ 7 ชินเคียว (Shinkyo, 神橋) จะใกล้สะพานชินเคียว (Shinkyo Bridge, 神橋)
ตามปกติที่เคยอ่านๆไกด์มาแล้วก็มักจะลงป้าย 83 แล้วค่อยเดินไปป้ายที่ 85 ตามนั่งรถบัสมาลงป้ายที่ 7 ก่อนกลับกัน (ก็จะเที่ยวได้ครบ) แต่ว่าก่อนจะทำแบบนั้นตามไกด์ที่เคยอ่านๆมา ก็ลองเปิดกูเกิ้ลแมปพบว่า จากป้ายที่ 83 เดินไปยังป้ายที่ 85 นั้น ไม่ไกลมาก แต่มันเป็นเนิน ซึ่งทำให้การเดินเนินลาดๆไปเรื่อยๆแม้จะไม่ไกลมากก็เหนื่อยแหงๆ เลยเปลี่ยนแนวคิดใหม่โดยจะไปป้ายที่ 85 ที่ลึกสุดและสูงสุดกันก่อน แล้วจึงเดินมาที่ป้าย 83 จากนั้นแวะที่ป้ายที่ 7 ก่อนกลับ
หลังจากได้แผนการเดินทางแล้วก็เริ่มทำตามกันเลย~! โดยหลังจากนั่งรถบัสมาซักพักพวกเราก็มาลงที่ป้าย 85 ไทยูอินฟุตาระซังจินจามาเอะ จากนั้นก็ซื้อตั๋วเพื่อเข้าชม สุสานไทยูอิน (Taiyuin Mausoleum, 輪王寺大猷院) หนึ่งในมรดกโลกของนิกโก้
ตามประวัติศาสตร์แล้ว วัดนี้เป็นสุสานของโชกุนโตกุกาว่า อิเอมิตสึ หลานของโชกุนอิเอยาสุ (ถ้าเคยอ่านมังงะแนวๆย้อนยุคยังไงก็ต้องเคยผ่านตาแน่นอน) โดยภายในเป็นสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นแนวผสมชินโตและพุทธ เน้นสีทอง ดำ ในบางส่วนตอนที่เข้าชมนี้มีการปิดทำนุบำรุงด้วย แต่ก็ยังคุ้มค่าที่จะเข้าไปรับชมกัน
โดยปกติแล้ววัดหรือศาลเจ้าสไตล์ญี่ปุ่นเราจะได้เห็นซุ้มประตู (มง, 門) ที่สวยสดงดงาม ยิ่งวัดใหญ่ๆโบราณแบบนี้ความอลังการของซุ้มประตูยิ่งมากขึ้นไปอีก ฉะนั้นจะไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเวลาอ่านบทความนำเที่ยวญี่ปุ่นต่างๆแล้วมักจะมีแต่รูปพวกซุ้มประตู (ฮา)
เริ่มด้วยประตูนิโอมง (Niomon, 仁王門) ที่เป็นตัวบ่งบอกว่าพวกเรากำลังจะเข้าสู่ส่วนของสุสานไทยูอิน ตอนมาถึงแถวนี้ก็เริ่มคิดได้ว่าการที่ฝนตกนั้นดูเหมาะกับสิ่งก่อสร้างแนวญี่ปุ่นแบบนี้มาก ความเปียกชื้นจากฝนที่ลงสัมผัสกับพื้นหินเก่าและมอสสีเขียวที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา เหมือนได้เรียกความธรรมชาติมาผสมกับสิ่งก่อสร้างได้อย่างดี
ตอนมาก็มีทัวร์กรุ๊ปชาวจีนมาขอให้ถ่ายรูปให้ด้วย แต่รู้สึกโชคดีที่เป็นกรุ๊ปที่มีมารยาทเรียบร้อย
โดยหลักจากผ่านประตูแรกของสุสานไทยูอิน ตามด้วยชำระล้างร่างกายและจิตใจจากบ่อน้ำพุก็เข้าผ่านประตูนิเท็นมง (Nitenmon, 二天門) ที่ตอนนี้ปิดบูรณะ (เสียดายเล็กๆ) และเดินขึ้นบันไดหินประมาณร้อยเก้าก็จะมาถึงอีกซุ้มประตู
ประตูที่รออยู่เมื่อขึ้นมาคืออีกหนึ่งประตูใหญ่ของที่นี่ ยาฉะมง (Yashamon, 夜叉門) จุดเด่นคือทั้งสี่ทิศของประตูจะมีเทพเฝ้าอยู่ 4 องค์ 4 สี่ (ขาว, แดง, เขียว, น้ำเงิน) ประตูแห่งนี้มีความสวยงามเป็นอันดับต้นๆของนิกโก้ พอๆกับที่ศาลเจ้าโทโชกุเลยทีเดียว
ผ่านยาฉะมงเข้ามาแค่นิดเดียวก็เจอกับประตูสุดท้ายก่อนถึงตัวศาลาใหญ่ของสุสานไทยูอิน ประตูคารามง (Karamon, 唐門) ที่มีการแปะลงทองสวยงาม แต่ขนาดก็เล็กลงเรื่อยๆตามชั้นที่ลึกเข้ามา
เดินผ่านกันมาหลายชั้น ในที่สุดพวกเราก็มาถึงอาคารใหญ่ของสุสานไทยูอินของโชกุนอิเอมิตสึ ลักษณะสุสานเป็นอาคารสีทองผสนผสานกับสีแดง น้ำเงิน ดำ ให้บรรยากาศที่ดูสงบตัดกับกำแพงสีเขียวมอสข้างหลัง ภายในอาคารไม่อนุญาติให้ถ่ายรูปซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ของโชกุนองค์ดังกล่าว แต่ก็เดินถ่ายภายนอกและทำบุญเพื่อความสบายใจได้
หลังจากเดินตามทางไปเรื่อยๆก็มาถึงประตูเล็กจิ๋วด้านข้างก่อนจะวนออก นามว่า โกกะมง (Kokamon, 皇嘉門) เป็นประตูที่มีลักษณะแบบจีนอย่างชัดเจน ประตูนี้เคยเห็นภาพอยู่ในตั๋วเข้าสุสานไทยูอินด้วย เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ริวงูมง (Ryugamon, 竜宮門) เป็นชั้นในสุดของสุสานอย่างแท้จริงที่ไว้เก็บพระศพ
หลังจากเดินสุสานไทยูอินเสร็จแล้ว ข้างๆกันของสุสานไทยูอินจะมีศาลเจ้าฟุตาระซัง (二荒山神社) แต่ไม่ได้เข้ากัน ได้แต่เดินผ่านหน้าทางเข้าเฉยๆ เพราะยังมีอีก 2 มรดกโลกใหญ่ให้เดินดูกันต่อ
จากนั้นก็เดินผ่านทิวไม้ยาวกันเพลินๆมาเรื่อยๆตามแผนที่ ระหว่างทางนั้นฝนที่หยุดไปก็เริ่มโปรยลงมาอีกที ประโยชน์ของร่มที่แบกมาตลอดตั้งแต่เช้าจึงเริ่มส่งผลอีกครั้งหนึ่ง แม้จะหนาวเล็กๆ ลมพัดหน่อยๆ แต่ประสบการณ์แบบนี้คงไม่ได้มีกันบ่อยนัก
ตอนนี้เวลาบ่ายสามโมงครึ่ง แต่บรรยากาศแถวนี้เหมือนพร้อมจะปิดร้านและเลิกงานกันอย่างน่าอัศจรรย์ (คงเพราะเป็นวันธรรมดาด้วย) แต่กระนั้นตามกำหนดการแล้ว มรดกโลกอีกแห่งที่เดินมาถึงนั่นคือ ศาลเจ้าโทโชกุ (Toshogu Shrine, 東照宮) นั้นยังเปิดให้บริการถึงห้าโมงเย็น แต่พอมาถึงตรงนี้ กลุ่มสาวๆร่วมทริปก็หมดพลังงานกันแล้ว จึงขอตัวแยกไปเดินสำรวจคนเดียวเสียหน่อย อ้อ สัญลักษณที่สังเกตได้ว่าเรามาถึงศาลเจ้าโทโชกุแล้วจะเป็นเจดีย์จีน 5 ชั้นสีแดงที่สูงถึง 34 เมตรท่ามกลางทิวสน ใกล้ๆก็มีสลักลวดลายสวยงามตามคติจีนด้วย
อนึ่งแถวๆนี้มีป้ายบอกว่า เจดีย์นี้ได้อยู่ในระดับความสูงเทียบเท่ากับสกายทรีทาวเวอร์ในโตเกียวเลยนะ! เมื่อวัดจากระดับน้ำทะเลนั่นหละ ฮา
เมื่อจ่ายเงินค่าเข้าชมศาลเจ้าโทโชกุเรียบร้อยก็จะเข้าสู่โซนภายใน แต่ว่า.. มีป้ายประกาศกันตั้งแต่แรกว่าประตูโยเมอิมง (Yomeimon, 陽明門) ประตูที่ได้รับการบอกว่า “สวยงามที่สุด” ในบรรดามรดกโลกของนิกโก้นั้นต้องปิดทำนุบำรุงซักพัก จึงทำให้วืดไปตามระเบียบ
เสียใจนิดๆที่พลาดทั้งทะเลสาบและประตูที่สวยสุด แต่อาจจะทำให้ในอนาคตได้มีโอกาสมาซ้ำที่นี่แบบสนุกมากขึ้นก็ได้นะ
เดินเข้ามาด้านในก็ได้เจอกับลานหินกลมและเสาหินวางเรียงราย ซึ่งนั่นมีความหมายว่าไว้อุทิศให้กับดวงวิญญาณของโชกุนอีกท่านหนึ่งที่หลับอยู่ ณ ที่นี้ ใช่แล้ว สำหรับที่นี่ ศาลเจ้าโทโชกุ มีส่วนหนึ่งเป็นสุสานของท่านโชกุนโตกุกาว่า อิเอยาสุ (ปู่ของอิเอมิตสึที่สุสานไทยูอินที่ไปกันมาก่อนนี้) และเนื่องจากโชกุนอิเอยาสุเป็นผู้ก่อตั้งเมืองเอโดะ เมืองหลวงปัจจุบันของญี่ปุ่น (โตเกียวนั่นเอง) จึงทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีความสำคัญมากที่สุดของนิกโก้เลยทีเดียว
เกร็ดน่ารู้: เมืองนิกโก้นั้นถูกสร้างให้ทั้งเมืองเป็นเมืองศาสนาที่มีศาลเจ้ามากมาย เพราะโชกุนอิเอยาสุอยากให้เมืองนี้ได้คอยปัดเป่าสิ่งที่ชั่วร้ายจากทางทิศเหนือตามความเชื่อโบราณนั่นเอง
เสร็จจากช่วงประวัติศาสตร์ ไปเดินดูกันเรื่อยๆว่าในศาลเจ้าแห่งนี้มีอะไรน่าชมน่าบูชากันดีกว่า
ถัดๆกันกับลานหินและเสาหินแกะสลัก ก็ได้เจอกับต้นกำเนิดของมาสคอตลิง 3 ตัวที่ได้เขียนถึงไว้ก่อนหน้า นั่นคือศาลาไม้เก่าๆที่มีแผ่นไม้แกะสลักเป็นรูปลิง 3 ตัว (三猿) ที่ขึ้นชื่อของศาลเจ้าโทโชกุ โดยแผ่นไม้นี้เป็นภาพปริศนาธรรม มีใจความสำคัญหลักว่าด้วย “การไม่รับรู้โดยการมองในสิ่งที่ไม่ดี การไม่ฟังในสิ่งที่ไม่ดี และการไม่กล่าววาจาในสิ่งที่ไม่ดี” ในบรรดาลิงสามตัว ตัวที่หนึ่งเรียกว่า มิซะรุ (見猿 / 見ざる) มีลักษณะใช้มือปิดตา หมายถึงการไม่รับรู้โดยการมองในสิ่งไม่ดี ตัวที่สอง คิกะซะรุ (聞か猿 / 聞かざる) ใช้มือปิดหู หมายถึงการไม่ฟังในสิ่งที่ไม่ดี ตัวสุดท้าย อิวะซะรุ (言わ猿 / 言わざる) ใช้มือปิดปาก บ่งบอกถึงการไม่กล่าววาจาในสิ่งที่ไม่ดี ในบางโอกาส (ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย)
โดยแม้ว่าลิงสามตัวจะโด่งดังมาจากที่ศาลเจ้านี้ แต่ต้นกำเนิดจริงๆมาจากจีนเสียมากกว่า ถ้าท่านใดสนใจอย่าลืมไปค้นหาข้อมูลกันหละ
ถัดจากศาลาไม้เล็กๆก็จะเป็นไฮไลท์หลัก ประตูโยเมอิมง ที่เป็นประตูใหญ่อันมีความสวยงามจากการแกะสลักไม้ซับซ้อน ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่ามันปิดซ่อมอยู่จบแทบไม่เห็นอะไรเลย
ถัดเข้ามาจะเป็นประตูในก่อนถึงตัวศาลเจ้าหลักของที่นี่ ก็จะมีประตูคารามง (Karamon, 唐門) อีกที่หนึ่ง (ชื่อเดียวกับที่สุสานไทยูอิน โดยปกติแล้วถ้าเรียกเต็มๆจะต้องนำหน้าประตูด้วยชื่อวัดด้วย เช่นที่นี่ก็จะเป็นประตูโทโชกุคารามง (Toshogu Karamon, 東照宮唐門) โดยเป็นประตูแบบจีนอันจะเห็นได้จากภาพวาดที่ดูเป็นจีนอย่างเห็นได้ชัด ทว่าประตูนี้ห้ามเดินผ่าน คาดว่าเพราะขนาดเล็กเกินจนออาจจะเดินแล้วเกิดอุบัติเหตุหรือไม่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้นั่นเอง
โดยในบริเวณของศาลเจ้าโทโชกุศาลาหลักนี้จะมีภาพแกะสลักไม้แมวหลับ (睡眠猫) อันขึ้นชื่อพอๆกับลิงสามตัวเช่นกัน โดยจะต้องขึ้นไปชมจากศาลาสีแดงที่อยู่แถวๆคารามง
โดยเนื่องจากภายในห้ามถ่ายรูป จึงขออนุญาติใช้ภาพแผ่นไม้แมวหลับจาก (http://yunphoto.net/en/) ที่ให้ใช้ได้โดยไม่มีลิขสิทธ์มาประกอบความเข้าใจ
ทำไมต้องแมวหลับ, ว่ากันว่าแมวหลับนั้นเป็นสัญลักษณ์ของความสงบสุขในบ้านเมืองเพราะไม่มีหนูให้ตะครุบใดๆนั่นเอง ถึงจะมีความหมายแฝงว่าจริงๆแล้วแมวยังไม่ได้นอนเพราะจ้องจะตะครุบนกกระจอกที่ทะเลาะกันในแผ่นไม้อีกฝั่งหนึ่งก็เถอะ
โดยเมื่อมีสัญลักษณ์น่ารักๆแบบแมวหลับแบบนี้แล้วก็เลยอดไม่ได้ที่ศาลเจ้าจะมีของที่ระลึกมาให้ได้จับจ่ายใช้สอยกัน (ฮา)
สำหรับผู้เที่ยวชมทั่วๆไปได้ชมแผ่นไม้แมวหลับก็สามารถกลับออกจากโทโชกุได้อย่างสบายใจแล้ว แต่ว่าจริงๆด้านในสุดยังมีสุสานของท่านอิเอยาสุให้ดูอีก ทว่าต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกสองร้อยกว่าขั้นเพื่อไปชม ฉะนั้นถ้าไม่มีแรงหรือว่าเผ็นผู้สูงอายุคงต้องพิจารณากันเอาเอง ทว่าไหนๆมาแล้ว.. ไม่ขึ้นก็จะเสียเที่ยว มาออกกำลังกายกันดีกว่า
เมื่อขึ้นไปจนสุด ทั้งเหนื่อย หอบ และฝนตก ก็ได้พบกับความประทับใจแรกดีๆที่มีให้ นั่นคือ
ช่างรู้ใจ.. เดินมาเหนื่อยๆก็ต้องนั่งกินชาเขียวเพิ่มพลังงานกันก่อนนี่หละถึงราคาจะแพงกว่าปกติไปเล็กน้อยก็พอว่า แถวๆนี้อยู่ในป่ารกครึ้มมากเลยทีเดียว ฝนก็ยังตกอย่างต่อเนื่องอีกด้วย โดยเมื่อซดชาเขียวเสร็จเรียบร้อยก็แวะเดินขึ้นไปชมตัวสุสานโชกุนกัน
และหลังจากเดินเสร็จเหมือนเป็นรางวัลให้ผู้เดินขึ้นมา 200 ขั้นบันได มีของที่ระลึกรูปแมวหลับที่แตกต่างจากข้างล่างให้ซื้อเป็นที่ระลึกกันด้วย ทางผู้เขียนก็เลยได้ซื้อพวงกุญแจแมวหลับทำด้วยผ้าอันเล็กๆมาติดตัวอันนึง น่ารักมาก
หลังจากชมสุสานเสร็จก็เดินกลับกันมารวมกับปาร์ตี้เพื่อเดินออกไปหาวัดมรดกโลกอีกแห่ง โดยเป็นการเดินลงเนินแบบสบายๆ เนื่องจากได้วางแผนการเดินทางเอาไว้ดังกล่าว (ฮา) โดยตอนนี้ก็เย็นย่ำพอสมควร หลายๆที่ก็ปิดกันแล้วหละ ผู้คนก็ทยอยเดินลงกันแล้วด้วย
เดินลงมาซักนิดตามเนินก็มาถึงกับวัดรินโนจิ (Rinnouji Temple, 轮王寺) ซึ่งเป็นวัดพุทธตามที่เคยได้กล่าวไปแล้ว โดยจะมีอยู่ 2 ศาลาหลักๆที่นิยมแวะชมและถ่ายรูปกันนั่นคือ ศาลาหลักซังบุทสึโด (Sanbutsu-do, 三仏堂)
ปิดซ่อมเช่นกันภายนอก แต่ว่าศาลานี้มีการพิมพ์ภาพศาลาที่จะบูรณะเสร็จให้ดูด้วย ทั้งนี้ภายในก็เป็นไปตามวัดพุทธคือมีพระพทุธรูปไม้ องค์เจ้าแม่กวนอิม เป็นต้น และนอกจากตัวศาลาหลักก็ยังมีศาลาใหญ่โกมะโด (Dai Goma-do, 大護摩堂) ที่เป็นหอสวดมนต์อีกหลังหนึ่งด้วย
จริงๆไฮไลท์ของนิกโก้ในส่วนของมรดกโลกยังมีสวนโซโยเอ็น (Shoyo-en, 輪王寺) ด้วย แต่ว่าไม่ได้เข้าชมเพราะเหนื่อยมากแล้ว พลังงานหมดหลอด + ฝนตกหนักเลยต้องข้ามไปก่อน เพราะจริงๆแล้วยังเหลืออีกที่ ที่ยังไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน เลยเดินมาที่ป้ายรถบัสที่ 83 ตามกำหนดการ จากนั้นก็ขึ้นรถบัสและรอวนครบรอบจนสุดท้ายมาลงกันที่ป้ายที่ 7
ป้ายที่ 7 ที่ว่าคือ สะพานชินเคียว (Shinkyo Bridge, 神橋) หนึ่งในสามสะพานที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น โดยอยากบอกว่าการเดินสะพานชินเคียวในตอนที่ฝนตกแบบนี้ทำให้บรรยากาศของสะพานนั้นดูมีชีวิตแบบไม่น่าเชื่อ น้ำในลำธารตรงนั้นก็สีฟ้าสดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งสายฝนยังทำให้สีแดงของสะพานนั้นเด่นชัดจนต้องขอแวะถ่ายรูปดีๆกันซักพักเลย
ในบริเวณสะพานชินเคียวก็ใกล้ตัวเมืองมากแล้วทำให้มีร้านอาหารอยู่ประปรายด้วย มีห้องน้ำมีร้านสะดวกซื้อมีบ่อน้ำพุสำหรับดื่มครบถ้วนเลยทีเดียว
หลังจากนั่งรถบัสกลับมาที่ป้ายที่ 2 จุดเริ่มต้นแล้ว ต่อไปก็คือการพักผ่อนซักพักหลบฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยหลังจากกางร่มเดินดูแถวๆนี้ก็ไปลงเอยเอากับร้านเค้กแถวๆนั้นหละ กินเค้กกันคนละก้อนก็รสชาติใช้ได้ แกล้มกับกาแฟให้พอหายเหนื่อย แต่ว่าคุณโอนเนอร์ที่เป็นเจ้าของร้านเค้กร้านนี้ดูอัธยาศัยไม่ค่อยดีเท่าไร (น่ากลัวเหมือนอารมณ์บูดมานาน) ซึ่งไม่ค่อยเจอในร้านญี่ปุ่นใดๆเท่าไร ไม่เป็นไร ได้นั่งพักให้หายเมื่อยก็จัดว่าโอเคแล้วหละ
โดยเนื่องจากตามที่เกริ่นไว้ข้างต้นวันนี้พวกเราจะพักที่นิกโก้นี่แหละ และเนื่องจากแถวๆนี้ร้านค้าปิดไวพอสมควรไม่มีข้าวเย็นกิน จึงเดินฝ่าฝนไปซุปเปอร์มาร์เกตแห่งเดียวในนิกโก้กันก่อน โดยเดินไปไม่นานจากสถานีรถไฟโทบุนิกโก้นั่นหละ ซุปเปอร์มาร์เกตที่ว่านี้ชื่อไลออนดอร์ (Lion D’or)
มาเย็นเลยเริ่มมีสินค้าลดราคามาแปะๆกันบ้างแล้วด้วย ก็เป็นการเดินเล่นซุปเปอร์ญี่ปุ่นตามปกติ หลายอย่างก็สอยมากินกันอย่างบันเทิงตามเรื่องตามราว ซื้อของและขนมกันมาเกือบๆคันรถนึงก็จ่ายเงินกันออกมา
ช็อปเสร็จก็ไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าที่ฝากไว้ล็อกเกอร์สถานีรถไฟ (ถ้ายังจำได้) จากนั้นก็นั่งใช้บริการแทกซี่เพื่อไปยังที่พัก โดยที่พักของพวกเราในคืนนี้คือ นารุซาว่า ลอด์จ (Narusawa Lodge) บ้านพักเล็กๆสไตล์บ้านไม้ ที่ได้จองกันมาแล้วเช่นเดิม
โดยจ่ายค่าแทกซี่ไปในราคา 790 เยน (ไม่มีมิเตอร์? หรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ แต่ว่าแทกซี่บริการดีมากเหนือชั้นจริงๆ) โดยเมื่อมาถึงที่บ้านพักและเข้าไปด้านในก็ได้พบว่า “ยูจิซัง” ที่เป็นเจ้าของบ้านพักนั้นไม่อยู่ ไปซุปเปอร์ไลออนดอร์ที่พวกเราเพิ่งมานั่นหละ เลยพักนั่งเล่นกันที่ห้องครัวซักพัก จากนั้นจึงโทรศัพท์ด้วยตู้หยอดเหรียญฟรีไปถามหายูจิซัง
รอกันไปซักครึ่งชั่วโมงก็ได้เช็คอินกับยูจิซังแล้ว เป็นโอนเนอร์ที่พูดภาษาอังกฤษได้คล่องมากและเป็นกันเองแบบสุดๆ นอกจากนั้นเรายังได้ห้องในชั้น 1 ที่ใหญ่สุดของบ้านพักอีกด้วย (เฮ) ด้วยราคา 12,400 เยนต่อคืนต่อ 4 คน (ตกคนละ 4,100 เยนเท่านั้นเอง) ก็ได้ห้องใหญ่ๆ นอนพักให้คลายเหนื่อยเปลี่ยนบรรยากาศจากห้องรูหนูที่อิเคะบุคุโระกัน
หลังจากเช็คอินได้เวลากินข้าว ห้องครัวของที่นี่ใช้ได้เลยมีทั้งไมโครเวฟและเตาอบ น้ำฟรี เครื่องดื่มฟรี ชาเขียว กาแฟ นม ฟรี มีตู้เย็นพร้อม
มีเรื่องเยอะที่อยากบันทึกไว้ในบันทึกเช่น ระหว่างแพตตี้กำลังใช้ๆไมโครเวฟไฟก็ดับเบรกเกอร์ตก (สมที่เจ้าตัวเคลมว่าทำอาหารไม่เก่ง ฮา) หรือไม่ก็ฝรั่งนักท่องเที่ยวจากประเทศอังกฤษจำนวน 2 คนผู้เพิ่งเดินทางไปประเทศไทยแล้วอุปกรณ์แคมป์ส่งกลับไม่ถึงอังกฤษ (ตอนแรกก็กำลังจะด่าไปรษณีย์ไทย แต่พอเช็คให้แล้วของส่งถึงดีแต่ไม่มีคนรับที่อังกฤษตะหาก!!) ก็ได้ช่วยเหลือกันไป หลายๆเรื่อง จากนั้นก็จบวันอย่างแฮปปี้ดี เป็นการเที่ยวนิกโก้ที่พลาดๆ หลายอย่างแต่ก็สนุกมากสำหรับวันนี้
แถมพก: รีวิวที่พัก นารุซาว่า ลอด์จ
- ราคาดีมากเมื่อเทียบกับคุณภาพที่พัก
- โอนเนอร์พูดภาษาอังกฤษได้ดี อัธยาศัยดี พูดเรื่องทั่วไปคุยได้สไตล์คุณลุงมากประสบการณ์
- สิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน ขาดแค่เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ (ติดต่อโอนเนอร์ได้ แต่ว่าไม่สะดวกนัก)
- เตียงนุ่ม ทีวีมีให้ดู มีโต๊ะในห้อง กว้าง พื้นไม้
- ห้องน้ำสะอาด มีผ้าขนหนูและชุดนอนให้เช่า
- มีบริการรับส่งระหว่างบ้านพักและสถานีรถไฟ รวมถึงบริการพาไปออนเซนใกล้ๆฟรี
- ไม่มีอาหารให้บริการ ยกเว้นมื้อเช้ามีอาหารเช้าสไตล์ฝรั่งในราคา 500 เยน
เป็นที่พักที่ดีมากๆจริงๆ ถ้าใครไปที่นิกโก้แล้วอยากได้ที่พักในราคาไม่สูงมาก ขอแนะนำที่นี่อย่างสูง สำหรับบรรยากาศโดยรวมดูได้จากด้านล่างนี้