ช่วยไม่ได้จริงๆนะครับกับวิกฤตโควิด-19 ในช่วงสองปีหลัง ที่ทำให้กลุ่มนักเดินทางของเว็บเราไม่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศเลย.. โดยเฉพาะการกลับไปประเทศเกาะเจ้าเก่าเจ้าเดิม หรือญี่ปุ่นที่แสนคิดถึง ฉะนั้นเมื่อมี มาตรการผ่อนปรนการเข้าไปเดินทางแล้ว ผมและสหายบางส่วน (คราวนี้ประกอบด้วยผม พี่บอม แต๊ง และท่านเตคที่เป็น Newcomer กับประเทศเกาะ)) ก็อดที่จะหาวิธีเข้าไปอย่างรวดเร็วมิได้
ทริปนี้จะเป็นทริปสั้นๆ ที่จะขอกลับไปเยือนเมืองหลวงอย่าง โตเกียว (東京) อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งที่เลือกให้เป็นทริปสั้นเพราะว่าความไม่แน่นอน ต่างๆ นานา จากโรคระบาดนี่แหละครับ (กลัวเข้ายากเอย กลัวอยู่ดีๆ โดนยกเลิกเอย กลัวไม่รองรับนักท่องเที่ยวเอย) แต่คิดถึงจะเป็นทริปสั้นก็น่าจะพอทำให้หายคิดถึงได้เลยทีเดียวกระมัง
เตรียมตัว
คือตอนแรกหลังจากได้ยินได้อ่านช่วงเดือน ต.ค. ที่เค้าบอกว่านักท่องเที่ยวบินเข้าเกาะได้แล้ว (แบบไม่ต้องกักตัว) พวกผมก็เรียกว่าตั้งทริปขึ้นมาเกือบทันที.. ดูกระหายมาก แล้วก็หาสมัครพรรคพวกว่าใครสนใจจะไปรอบนี้บ้างแต่ว่าเนื่องจากเราไม่ได้ไปมานาน เราก็ไม่รู้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง รวมถึงว่าสมาชิกบางท่านท่านเตคก็ลาได้ไม่เต็มที่ด้วยเนื่องเป็นช่วงท้ายปีที่ไม่ได้วางแผนไว้นาน ฉะนั้นคราวนี้จึงจะเป็นทริปสั้นใช้เวลาเพียงแค่ ห้าวันสี่คืน หรือตั้งแต่ 9-13 ธันวาคม 2565 เท่านั้นเอง แล้วก็กะจะไปเที่ยวแค่โตเกียวกับโยโกฮาม่าเพราะขี้เกียจทำวิจัยวิธีการเดินทางไปต่างจังหวัด
ทีนี้ช่วงเวลาที่เราอยากไปกันก็คือช่วงต้นธันวาคม หรือก็คือไวสุดเท่าที่จะอำนวย ซึ่งตอนนั้นเนี่ย สายการบินก็แบบว่าแน่นขนัดแบบเต็มเหนี่ยว เจ้าประจำอย่างแอร์เอเชียที่มีไฟลท์สวยๆ ไว้เดินทางช่วงดึก ถึงญี่ปุ่นช่วงเช้าก็ค้นหาเที่ยวบินดอนเมือง-นาริตะไม่ได้ (ไม่รู้ว่ายกเลิกไปแล้วหรืออย่างไร) แถมถ้าจะใช้บริการสายการบินใหม่อย่าง ซิปแอร์ (Zipair ) ก็ค่อนข้างจะเปลืองตังค์เพราะว่ารวมแล้วประมาณ 2 หมื่นกว่าเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่เป็นสายการบินราคาประหยัดแท้ๆ ซึ่งพวกเราที่ชินกับการบินที่ราคาหมื่นต้นมานาน ก็จะสะอึกไปเล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่าการเดินทางต่างประเทศช่วงหลังโควิดจะต้องเตรียมใจกับราคาที่สูงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ สุดท้ายเลยมาได้ตั๋วของฟิลิปปินส์แอร์ไลน์ ที่เดินทางช่วงดึก แต่ถึงช่วงเที่ยงของอีกวันหนึ่ง มีต่อเครื่องหนึ่งทีที่ฟิลิปปินส์ก็จัดว่าโอเค
ได้มาที่ราคาประมาณ 16,000 บาท แบบไป-กลับ รวมข้าวแล้ว เลือกที่นั่งได้ด้วย พร้อมโหลดกระเป๋าอีกคนละ 30 kg
ทีนี้เนื่องจากว่าไม่ได้เดินทางมานาน การเตรียมตัวก็จะเมาเป็นพิเศษโดยเราไปช่วงเดือนธันวาคม เช็คในเว็บก็พบอุณหภูมิประมาณ 5 องศา ต่ำสุดก็น่าจะประมาณ 3 องศา (ถ้าปฏิทินสภาพอากาศไม่ได้หลอกกัน) เลยคิดว่าซื้อเสื้อตัวในและกางเกงเป็นฮีทเทคสักชุดหนึ่ง ก็น่าจะพอนอกนั้นไปหาซื้อเอาที่โน่นละกัน
วันเดินทาง
ทริปนี้ผมเลือกที่จะเอากระเป๋าเดินทางใบเล็กเป็นมาใช้งาน เนื่องจากว่าไม่ได้เตรียมใจจะไปซื้อของอะไรเท่าไหร่นัก เป็นการเดินทางด้วยกระเป๋าแบบที่ขึ้นห้องโดยสารได้เป็นครั้งแรก (แม้ตั้งใจจะเอาไปโหลดใต้เครื่องอยู่ดี เพราะขี้เกียจลากไปมา) แน่นอนว่าการเดินทางที่จะบินออกจากประเทศราวๆ เที่ยงคืน เราจะต้องไปถึงสนามบินสองทุ่มครึ่ง ถึงสามทุ่มครึ่ง โดยประมาณ (ไปเผื่อ 3 ชม.) จึงจำเป็นจะต้องใช้รถไฟฟ้า แอร์พอร์ตลิงค์เจ้าเก่าที่ยังให้บริการอยู่เหมือนเดิม ไม่แตกต่างจากตอนก่อนโควิดแต่อย่างใด
อ้อ อย่าไปด้วยรถส่วนตัวแถวสนามบินสุวรรณภูมิช่วงเย็นจะดีกว่าถ้าไม่อยากเจอกับรถติดแบบนรกครับ
เมื่อไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิก็พบว่า..หลายอย่างก็เหมือนเดิม ที่เห็นแตกต่างคงจะมีหุ่นยนต์ทำความสะอาดเดินไปเดินมาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมหน่อย เเล้วก็การเช็คอินฝากกระเป๋า เพิ่มขั้นตอนหนึ่งอย่างคือการขอตรวจ หนังสือรับรองการฉีดวัคซีน ที่ขอได้ในแอพหรือ LINE หมอพร้อม ตั้งแต่ที่ประเทศไทยเลยนี่หละ แต่นอกจากขั้นตอนนี้ทุกอย่างก็ปกติไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิม อ๋อ หลังจากผ่าน ตม. เข้าไปด้านในเขตปลอดภาษีรอขึ้นเครื่อง ก็พบว่าร้านค้าเยอะขึ้นมาก และเป็นที่อัศจรรย์ว่าข้าพเจ้าสามารถหาน้ำเปล่าได้ในราคาสิบบาทแล้ว..จากปกติเคยเจอแต่สี่สิบบาทเท่านั้น ใครอยากกินน้ำเปล่าราคาสิบบาทก็หาได้ที่ร้าน Boots ครับ
รีวิวการเดินทางด้วยสายการบิน Philippines Airlines
Philippines Airlines (ปินส์แอร์) เป็นสายการบินแบบฟูลเซอร์วิส แต่ว่าสำหรับตัวเครื่องบินที่เดินทางออกไปจากประเทศไทยในต่อแรกก็ค่อนข้างจะเล็ก แต่ตัวที่นั่งเองก็จัดว่าไม่ได้แคบเกินไป เท่ากับแอร์เอเชียในยุคหลังๆ นั้นแหละ ทีนี้เมื่อเป็นปินส์แอร์ เลยต้องมีช่วงต่อเครื่องที่ประเทศฟิลิปปินส์ โดยในคราวนี้มาลงที่สนามบิน MNL (Ninoy Aquino, นินอย อากิโน) อันนี้ค่อนข้างรู้สึกว่าเก่า แล้วก็แค่ระบบการต่อเครื่องค่อนข้างจะงงๆ เกือบไปผิดนิดหน่อยด้วย รวมไปถึงร้านค้าร้านอาหารธรรมดาอย่างรุนแรงและไม่ค่อยมีเอกลักษณ์จนไม่อาจหาอะไรแปลกๆ กินได้เท่าไรที่สนามบิน อีกอย่างคือ ตอนที่พวกเรามาถึงที่นี่ก็จะราวตีสาม ก็เลยนั่งๆ นอนๆ พักผ่อน จนกว่าจะถึงเวลาต่อเครื่องที่ระบุไว้ว่า 7 โมงเช้า แต่ทำไปทำมา ตอน 6 โมงครึ่งก็โดนเรียกขึ้นเครื่องพร้อมบอกว่า Last call ซะแล้ว.. ตกใจเล็กน้อย
ทีนี้ เที่ยวบินจากฟิลิปปินส์ไปที่ญี่ปุ่น จะกลายเป็นเครื่องลำใหญ่และการบริการทุกอย่างคุณภาพอัพเกรดขึ้นคล้ายกับตอนนั่งเครื่องการบินไทย สมศักดิ์ศรีการเป็นฟูลเซอร์วิสขึ้นมา พอมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกคุ้มเงินขึ้นทันทีครับ และนั่งไปอีก 4-5 ชั่วโมง หลับบ้างกินบ้างนอนบ้าง ก็มาถึงสนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่นจนได้
พอมาถึงประเทศญี่ปุ่นปุ๊บ ทุกอย่างเหมือนปกติมาก! ได้รับอากาศหนาวตอนเดินเข้าสู่สนามบินเล็กน้อย (เกือบๆ เยือกแข็ง) ตั้งแต่ตอนที่ออกจากงวงช้างเครื่องบิน แล้วพอจะเข้าด่านตรวจคนเข้าเมืองนี่หละที่จะแตกต่างมาก โดยเราต้องเดินทางผ่านทั้ง 3 ด่านของการเข้าประเทศ และต้องลงทะเบียนผ่าน https://www.vjw.digital.go.jp/ มาก่อน ซึ่งมันก็คือการรวมเอาระบบทั้ง 3 ส่วน คือ (1) กักกันโรค (2) ตรวจคนเข้าเมือง และ (3) ศุลกากร เข้าด้วยกัน จากเดิมกรอกกระดาษใบๆ ตอนก่อนลงเครื่อง มาเป็นกรอกผ่านเว็บและโชว์ QR Code ให้เจ้าหน้าที่ได้รับทราบทั้ง 3 จุด
จุดที่ ณ ตอนไปเยี่ยมเยือน (ธ.ค. 2022) นี้ การเข้าญี่ปุ่นยังคงต้องฉีดวัคซีน mRNA มา 3 เข็มหรืออื่นๆ ตามที่ญี่ปุ่นกำหนด และใช้เวลาในการกรอกเว็บที่ว่ามานี้ประมาณ 2 สัปดาห์.. ฉะนั้นทำเผื่อไว้ก่อนเนิ่นๆ กันนะ อ้อ อย่าลืมอ่านอัพเดตในเว็บไซต์เป็นประจำเพื่ออัพเดตก่อนเดินทางหละ
เดินทางเข้าโตเกียวกันเถอะ
แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น อยู่ดีๆ แต๊งก็โดนเรียกให้ไปกรอกข้อมูลเพิ่มซะแล้ว ด้วยสาเหตุง่ายๆ คือการกรอก QR Code ที่ยังไม่สมบูรณ์เพราะลืมเซฟข้อมูล เหมือนพอเขาสแกนแล้วก็พบว่ายังกรอกไม่หมดน่ะหละ แต่พอผ่านตรงนี้ไปก็เหมือนจะไม่มีอะไรที่แตกต่างจากก่อนนี้เลย ผ่านเข้าศุลกากรหลังรับกระเป๋าแบบสบายมาก เอาจริงๆ แล้วกระบวนการเข้าญี่ปุ่นหลังยุคโควิดนี่ผมว่ามันไวมากกว่าตอนช่วงก่อนหน้านี้อีก ที่ทุกคนต้องมาต่อแถวหรือกรอกรายละเอียดเพิ่มเติมก่อนเข้าประเทศ ต้องจดโพย พกปากกา.. แต่ตอนนี้คือแสดงภาพแล้วก็จบเลย ทุกอย่างสบายขึ้นมาก ถ้ามาลักษณะนี้คิดว่าเป็นการพัฒนาที่ดีขึ้น ทำให้มาเที่ยวได้สะดวกและง่าย ไม่ต้องกังวลว่าจะกรอกอะไร เตรียมข้อมูลมาไหม (เตรียมตั้งแต่ตอนอยู่ไทยก็สบายกว่าอยู่แล้วหละ) แต่ว่าสำหรับผู้ที่ไม่ได้ศึกษามาเลยอาจจะต้องมาลำบากหน้างาน ยังไงก็ขอให้ระวังด้วยนะครับ
จากนี้ก็เป็นกรรมวิธีในการเข้าโตเกียว โดยพวกเราเลือกที่จะเข้าโตเกียวแบบไวหน่อยด้วย เคย์เซย์ สกายไลน์เนอร์ (Keisei Skyliner) เจ้าเก่า ที่เปลี่ยนบูทขายตั๋วมาอยู่ชั้นล่างที่เป็นชานชาลารอรถไฟ อัตราค่าตั๋วอยู่ที่สี่คน 12,000 เยนนะครับก็ตกคนละประมาณ 3,000 เยน ก็ไม่ได้แพงอะไรมากเมื่อเทียบกับการที่ได้เข้าสู่โตเกียวแบบช็อตเดียวอย่างรวดเร็ว โดยมาลงปลายทางที่ สถานีนิปโปริ (Nippori station) และตามด้วยต่อรถไฟไปที่สถานีโอคาชิมาจิ (Okachimachi station)
น่าแปลกใจว่าบัตรพาสโมที่เคยใช้เมื่อสองปีก่อนตอนนี้ก็ยังใช้ได้ปกตินะยังไม่พังแต่อย่างใด.. ก็อัดเงินเข้าไปก่อนห้าพันเยนเดี๋ยวค่อยว่ากันว่าจะพอหรือไม่ แต่สมาชิกที่ยังไม่เคยมีบัตรเติมเงินก็ต้องเดินหาตู้กันหน่อยหละเพราะว่าปกติแล้วไม่ได้สามารถออกบัตรโดยสารแบบเติมเงินได้ทุกตู้
…ตรงนี้เริ่มด้วยขึ้นรถไฟผิดทิศก่อนด้วยเลยครับ เสียเวลาไป 6 ป้ายเต็มๆ สมแล้วที่ห่างหายการมามากกว่า 2 ปี
พอเดินออกมาจากสถานี ก็จะต้องเดินอีกไกลราวๆ 0.5 สถานีไปที่พัก AirBNB ที่ได้จองไว้ครับ แน่นอนว่าหนาวแหง และเนื่องจากข้าพเจ้า.. ไม่ได้พกเสื้อหนาวมา เลยต้องแวะที่ Uniqlo สาขาโอคาชิมาจิก่อนนี่หละ แล้วก็ที่ญี่ปุ่นมีแบบของเสื้อให้เลือกเยอะกว่าที่ไทยอย่างมหัศจรรย์สมเป็นประเทศบ้านเกิด (แต่ไม่มีไซส์ใหญ่ๆ หรือเล็กจิ๋วๆ นะครับ พวกนั้นเหมือนจะสงวนไว้ออนไลน์เหมือนกันกับที่ไทย) แล้วก็ที่นี่ซื้อแบบจ่ายเงินด้วยตัวเองได้ด้วยบัตรเครดิต.. แบบโยนของใส่ช่อง จ่ายเงิน เดินออกมานอกช็อปได้เลย ตอนเดินก็หวิวๆ เหมือนกันว่าจะทำไรผิดไปไหม เพราะใบเสร็จก็ไม่มีให้นะครับ แต่ก็สมเป็นประเทศพัฒนาที่ไม่มีปัญหาอะไรด้านจริยธรรมกับการจ่ายสินค้าด้วยตัวเอง
พอเดินออกจาก็พบกับอีเวนท์แรกของทริปนี้เลย คือตอนก่อนจะเข้าไปซื้อของที่ Uniqlo แต๊งกับท่านเตคก็อาสาเฝ้ากระเป๋าให้ แต่พอซื้อเสร็จออกมาก็พบว่าท่านเตคเดินหายไปซื้อขนมซะแล้ว และสิ่งที่ได้กลับมาคือไทยากิรูปแพนด้า (เขาเรียกกันว่าแพนด้ายากิ) ของขึ้นชื่อของสถานีโอคาชิมาจิที่มีแพนด้าเป็นมาสคอต… โดยมันก็ดูน่ารักดี แต่พอถามท่านเตคว่าซื้อมากี่ชิ้น และได้รับคำตอบว่า
42 ชิ้น
ก็ตะลึงกันไปทั้งกลุ่มว่าจะซื้อมาทำไม 42 อัน! ไม่กะจะกินข้าวแล้วเรอะ!!! แต่ได้รับคำอธิบายว่ามันคุ้มสุด… 42 ชิ้นแค่ประมาณ 1,500 เยนเอง พอฟังเช่นนั้น ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจแต่ว่าก็รับมากินฟรีด้วยความขอบคุณครับ ฮา
อย่าลืมนะครับว่าเน้นกินหลากหลายดีกว่า.. กินหนมแพนด้ายากินี่แค่คนละ 2-3 ชิ้นก็เริ่มจุกแล้วอะ ทีนี้ก็เดินลากกระเป๋าเดินทางกันครืดๆ ไปที่พัก และเริ่มคิดแล้วว่ามันหนาวพอตัวเลยนะ 12 องศาเนี่ย แม้ว่าจริงๆ แล้วจะไม่ใช้ฮีทเทคก็คงไหวอยู่ แต่ถ้ามีก็อบอุ่นสบาย ฉะนั้นแนะนำว่าถ้ามีเลข 10 องศาเซลเซียสหรือต่ำกว่า ก็ใช้ฮีทเทคซะเลยดีกว่าครับ
รีวิวที่พักในรอบนี้
ที่พัก AirBNB ในรอบนี้อยู่ในอาคารที่ชื่อหรูหราว่ามอนเตโรซ่าบิลด์ครับ เช่าแบบเช็คอินด้วยตัวเอง ไม่ได้เจอเจ้าของห้องเลย เข้าไปปุปก็พบว่ากว้างมาก มีห้องแยกถึง 5 ห้อง! ก็แบ่งห้องกันตามสะดวก และกินขนมกรอบๆ จาก 7-11 ที่วางไว้ให้กินในห้องแบบฟรีๆ เค็มๆ เพื่อรองท้องก่อนกินมื้อต่อไป
ที่นี่มีทั้งห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ส่วนซักผ้า ทุกอย่างก็สะอาดในระดับกลางๆ บางส่วนก็ดูโทรมแต่พอจะมองข้ามได้ เข้ามาในห้องแล้วไม่หนาวถือว่าโอเคครับ (เคยพักบางที่ เข้ามาแล้วหนาวจัด ไม่รู้ว่าทำไมแตกต่างกันได้ขนาดนี้เหมือนกัน)
การใช้ AirBNB ก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้แตกต่างอะไรกับก่อนหน้านี้ ต้องขอบคุณมากที่ยังอยู่และไม่เจ๊งกันไปในช่วงวิกฤตปิดประเทศนะครับ
ดูกันดั้มที่โอไดบะ
จุดมุ่งหมายต่อไปที่เราต้องไปกันก็คือเขตเกาะเทียม โอไดบะ (お台場) ซึ่งการเดินทางเข้าไปในรอบนี้ จะไปที่สถานีโทโยสุ (Toyosu station) แล้วก็นั่งรถไฟฟ้าสายยูริคาโมเมะ (Yurikamome line) เจ้าเก่าซึ่งก็แน่นอนว่าเราใช้วิธีการซื้อตั๋ววันเพราะว่ารถไฟฟ้าสายยูริคาโมเมะเนี่ย ค่อนข้างแพงหรือทีเดียว ราวๆ ว่านั่งแค่ 2 รอบก็แพงกว่าซื้อตั๋ววันแล้วหละ อาจจะเป็นเพราะมันเป็นรถไฟสายที่อัตโนมัติไม่มีคนขับทั้งระบบกระมัง
พวกเราแวะสถานที่เที่ยวที่แรกคือที่โตเกียวบิ๊กไซต์ (Tokyo Big Sight) ที่แวะเพื่อถ่ายรูปอย่างเดียวเลย (พามาเพราะว่าแอบอยากจะมาตามรอยโรงเรียนนิจิกะซากิ ของซีรีส์เลิฟไลฟ์กันหน่อย) แต่พอมาถึงแล้ว ก็ได้พบกับงานแสดงสีเสียงที่ฉายภาพไปแมปปิ้งอยู่ที่ผนังตึกสามเหลี่ยมคว่ำคู่มหึมา อันเป็นเอกลักษณ์ของโตเกียวบิ๊กไซต์นี่หละ ทำให้ตอนแรกที่กะจะมาแค่ดูสถานีจัดงานขายโดจินชื่อดังของญี่ปุ่นแบบคอมมิคมาร์เกต (Comic market) ที่มักจะเห็นตามสื่อบ่อยครั้ง ได้มีไรดูแบบเพลิดเพลินไปด้วย ดูจนจบก็เลยได้รู้ว่าเป็นวิดีโอจากผู้ร่วมประกวดการทำอนิเมชั่นสำหรับมาแมปปิ้งที่อาคารนี้โดยเฉพาะเลยครับ ได้เป็นบุญตาเลยทีเดียว
อย่างที่เกริ่นไปตะกี้ ว่ามีการแอบแฝงวาระเป็นการตามรอยเลิฟไลฟ์นิดหน่อย จึงพาไปลงที่สถานีแปลก อย่างสถานีโอไดบะไคฮินโคเอ็ง (Odaiba-kaihinkōen Station) เพื่อเดินไปดูเกมเมอร์สาขาโอไดบะ ซึ่งสาขานี้เปิดมาค่อนข้างใหม่ และเน้นขายแต่สินค้าเลิฟไลฟ์ทั้งร้านครับ รวมถึงมีรถขายน้ำ (อ่านว่ารถขายน้ำ แต่จริงๆ คือรถขายแผ่นรองแก้วสำหรับสะสมลายเลิฟไลฟ์..) เดินเล่นส่องของเล็กน้อย แล้วก็เดินไปอีกซักนิดจะผ่านห้าง โอไดบะ DECKS และ Aqua City ที่วิวดี เห็นทั้งเรนโบว์บริดจ์ ฝั่งโตเกียว และเทพีเสรีภาพก๊อปฯ ชัดเจน ก็เลยเดินเล่นและแวะถ่ายรูปเล็กน้อย
ทีนี้ได้เวลากินข้าวมื้อแรก ที่เล็งไว้จะเป็นร้านแฮมเบอร์เกอร์ชื่อดังจากฮาวาย Kua Aina Sandwich Shop แล้ว ซึ่งที่มากินเพราะว่าก็เพราะอยากมาตามรอยร้านโปรดของตัวละครอนิเมเลิฟไลฟ์นิจิกะซากิแวะมากินบ่อยๆ นี่หละ
พอมาปุปเพื่อนแต๊งก็หน้ามืดอยากจะสั่งเฟรนช์ฟรายส์ไซส์ใหญ่ 2 ถาดมาก่อนเลย จนต้องรีบห้ามก่อนเพราะกลัวจะเกิดกรณีซ้ำสองแพนด้ายากิเมื่อช่วงบ่าย และพอเข้าไปกินจริงก็พบว่ามันปริมาณเยอะมากอยู่แล้วในแต่ละเซต เกือบไปแล้ว (ฮา) คงเพราะราคาสูงพอตัว (ประมาณ 1800 เยนแบบเซ็ต) แต่อร่อยมากจริงๆ สมแล้วที่อยู่มานานได้โดยไม่ปิดตัวไป การมาตามรอยร้านอาหารแบบปกติๆ นี่อร่อยจริงนะ ดีกว่าร้านอาหารเฉพาะทางที่เปิดขึ้นมาสำหรับไว้โฆษณาอนิเมมาก..
หลังจากนั้นพวกเราก็เดินเล่นฝ่าอากาศหนาวสบายๆ ที่คาดไว้ว่าจะหนาวกว่านี้ เพื่อไปที่ดูยูนิคอร์นกันดั้ม (Unicorn gundam) ที่ตั้งตระหง่าน ณ หน้าห้างโอไดบะไดเวอร์ซิตี้ เวลาที่มาก็พอดีเหลือเกินคือเริ่มการแสดงแสงสีในรอบหัวค่ำพอดี และแถมมาช่วงที่มีการปรับเป็นโหมดแสดงแสงสีแบบคริสต์มาสจากการคอลาโบกับอนิเมกันดั้มภาคล่าสุดอย่าง แม่มดจากดาวพุธ (Witch from Mercury) อีกด้วย
แต่ตอนแรกคิดว่าคอลาโบนี่จะมีอะไรมาก จริงๆ คือปรับให้มีสีแปลกตาจากเดิมนิดหน่อยแค่นั้นเองครับ
และที่ยังคงชอบอยู่เสมอคือบันไดสีรุ้งที่อยู่หลังกันดั้มนี่หละ สวยงามและเป็นเอกลักษณ์จริงๆ
พอดูเสร็จ ถ่ายรูปเต็มอิ่มก็ขึ้นไปที่โซนขายของข้างบน (THE GUNDAM BASE TOKYO) สมัยก่อนที่เคยมารอบหนึ่งที่นี่จะต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าไปรับชมนิทรรศการและมูวี่พิเศษ แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปหน่อยแล้วคือเป็นที่ขายของอย่างเดียว ทั้งของปกติและแบบลิมิเต็ดที่มีเฉพาะที่นี่ รวมไปถึงมีจัดแสดงฟิกเกอร์เล็กน้อย
เพิ่งรู้ว่ามีช็อปของโดราเอมอนด้วยนะเนี่ย
หลังจากนั้นเป็นช่วงเดินทางกลับ เราเลือกที่จะไปเส้นทางใหม่ที่สถานีอาโอมิ (Aomi station) เลยต้องเดินยาวววว พอตัว และ..ผ่านห้างวีนัสฟอร์ท (VenusFort) ที่ปิดตัวไปแล้ว ปิดไปพร้อมๆ กับชิงช้าสวรรค์โอไดบะ (Odaiba ferris wheel, パレットタウン大観覧車) แต่ยังไม่ได้ทำการรื้อถอนอาคาร ยังดูเป็นตึกมืดๆ ร้างๆ วังเวง แต่ก็เลือกที่จะเดินผ่านไปนี่หละ ไม่รีบมาก มาคราวนี้ค่อนข้างทำเวลาได้ดี (ขณะนี้ 20.00 น.) แต่ยังมีจุดมุ่งหมายที่ยังต้องไปต่อในวันนี้
สำหรับบรรยากาศของวีนัสฟอร์ทและชิงช้าสวรรค์ อ่านบทความเก่าๆ เพื่อระลึกได้ที่ > ลิงค์นี้ โลด
โตเกียวทาวเวอร์ ที่มากี่รอบก็สนุก
แม้สองทุ่มแล้วแต่ว่าการเที่ยวในรอบนี้กะว่าไม่ดึกไม่กลับที่พักน่ะครับ (เหมือนทุกรอบ) ฉะนั้นจะไปที่ๆ ถ่ายภาพยามดึกได้อย่างสวยงามแบบโตเกียวทาวเวอร์กัน โดยมีจุดประสงค์คืออยากไปถ่ายมุมเท่ๆ สุดฮิตใน IG ที่จะเป็นซอกแล้วถ่ายเสยขึ้นไปเจอโตเกียวทาวเวอร์
โดยเราไปลงที่สถานีอาคาบาเนะบาชิ (Akabanebashi Station) กัน เนื่องจากวิจัยมาหลายรอบแล้วว่าลงที่นี่เดินไปได้ใกล้สุดแล้วครับ ตอนนี้แรงยังมีสบายๆ ก็จริงแต่สังหรณ์ว่าถ้าไม่ออมแรงไว้หละก็ วันอื่นได้เจอนรกแน่นอน พอออกจากสถานีนี้ ข้อดีก็คือเราได้เห็นโตเกียวทาวเวอร์แบบสวยๆ จากทางออกเลยทันที แบบที่ว่าจะถ่ายรูปตรงนี้แล้วกลับก็ไม่เสียดาย (ฮา เคยทำตอนมาญี่ปุ่นครั้งแรกเลยครับ)
เลยตัดสินใจเดินกันไปเพลินๆ ขึ้นเนินสั้นๆ แวะส่องมุมยอดนิยมที่กะจะมากันก็พบว่าคนมากมายมหาศาล แบบไม่ต้องแวะดีกว่า โชคดีที่เคยถ่ายมุมนี้ไว้ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว เลยแปะให้ดูกันว่าเจ้ามุมที่ว่า และตำแหน่งมันอยู่ตรงไหนนะครับ
พอขึ้นไปจนสุดทางก็พบกับโตเกียวทาวเวอร์แล้ว สวยงามเหมือนเคย สิ่งที่แตกต่างคือนิทรรศการถาวรของมังงะวันพีซ (One Piece) ก็ถอนออกไปแล้ว และมีสวนสนุกยามดึกอย่าง RED° TOKYO TOWER เข้ามาแทนที่ เหมือนตั้งใจจะให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสไตล์สวนสนุกสำหรับวัยรุ่นหน่อยๆ และเน้นยามเย็นยามดึกครับ พอเดินเก็บบรรยากาศจนพอใจ พวกเราก็เลือกจะเดินทางกลับที่พัก แต่เหนื่อยเล็กน้อย เพราะว่าหาเรื่องจะไปกลับอีกสถานีนึงจนต้องเดินไปเดินมา..
โรงอาบน้ำสาธารณะที่อยากไปทุกคืน
กลับห้องวางของแล้ว! และตอนแรกดูส่องในกูเกิ้ลแมปด้วยคีย์เวิร์ด 銭湯 (Sentou, โรงอาบน้ำสาธารณะแบบญี่ปุ่น) แล้วเห็นว่าเดินไปนิดเดียวเอง เลยลองไป.. แล้วก็พบว่ามันเดินนานกว่าที่คิด (เกือบ 15 นาที) แถมพอเดินไป..ร้านที่เล็งไว้ก็ปิดตั้งแต่ 23.00 น. อีก โชคดีมีอีกที่อยู่ใกล้ๆ เลยได้ใช้บริการ แค่ 500 เยนก็ได้อาบแล้ว
ที่นี่ประหลาดตรงที่.. ป้ายบอกว่าฝั่งชายเป็นสีม่วงกับป้ายบอกว่าเป็นฝั่งหญิงเป็นสีเขียวแทนที่จะเป็นน้ำเงินกับแดงที่คุ้นเคย ดีนะไม่เข้าผิด อ้อที่นี่ก็มีแชมพูสบู่ให้บริการด้วยในราคานั้น ไม่ต้องพกไปเองหรือต้องไปซื้อเพิ่มเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งดีมากครับ อนึ่งใครไม่ค่อยชินกับการใช้เซนโต อย่าลืมหาความรู้ก่อนใช้งานจากยูทูปเพื่อไม่ให้เสียมารยาทต่อผู้ใช้งานกันนะครับ
พออาบเสร็จแวะแฟมิลี่มาทซื้อขนมกินเล่นเล็กน้อย แล้วก็กลับที่พักอย่างสบายใจ จบแล้วครับวันแรก.. เป็นวันที่ยาวนานทีเดียว แล้วก็เที่ยวกันเหมือนกระหาย ใช่เลย
กระหายการเที่ยว กระหายโตเกียวมาก
ปล. ยังมีอีก 3 – 4 วันครับสำหรับทริปนี้ น่าจะเขียนได้อีกซักสองบทความเนอะ