ผ่านไป 1 คืนที่ญี่ปุ่น การนอนด้วยฟูกนุ่มในห้องเสื่อทาทามิให้ความรู้สึกที่ดี (ความนุ่มของฝูกช่างดีงาม) แต่ในกำหนดการเราจะตื่นเราๆตี 4 ครึ่ง เพื่อไปเดินดูตลาดทสึกิจิ (Tsukiji Market, 築地市場) ยามเช้ากัน อะ สำหรับซีรีส์นี้มีทั้งหมด 4 บทความและนี่เป็นบทความที่ 2 ติดตามได้ในหัวข้อสารบัญด้านล่างนี้
สารบัญ: เที่ยว 0 โตเกียว
คลิกเพื่อดูสารบัญบทความ
ก่อนเดินทาง
- ไปก็ไป
- ภาคของการจองตั๋วเครื่องบินและจองโรงแรม
- จัดกระเป๋าแบบหนาวๆ?
- วางแผนเที่ยว
- วันเดินทาง
- ดิวตี้ฟรีที่ดอนเมือง
- ฝันไปแล้วว่าจะได้นอน
- ค่าใช้จ่ายก่อนถึงญี่ปุ่น
วันที่ 1
- ตม.
- เข้าเมือง: จากนาริตะไปอาซากุสะ
- อุเอโนะ: สวน ศาล และตลาดของอร่อย
- กินซ่า: ย่านคุณนาย (?!) และแวะกินขนม
- โอไดบะ: สัมผัสความหนาวกลางทะเลและสักการะกันดั้ม
- โตเกียวสกายทรี
- ค่าใช้จ่ายวันที่ 1
วันที่ 2
- ทสึกิจิ: ตลาดปลายามเช้ากับคิวเดือด
- จิโยดะและอิเคะบุคุโระ
- อากิฮาบาระ: ภาคราเม็งหลอนและศาลเจ้าคันดะ
- อากิฮาบาระ: ภาคช็อปปิ้ง
- โตเกียวทาวเวอร์และอาซากุสะยามค่ำคืน
- ค่าใช้จ่ายวันที่ 2
วันที่ 3 และกลับจากการเดินทาง
ทสึกิจิ: ตลาดปลายามเช้ากับคิวเดือด
ก่อนอื่นย้อนไปเรื่องแบตเตอรี่ของกล้อง..วันเดียวและที่ชาร์จแยกไม่อาจจะชาร์จแบตเตอรี่ทั้ง 3 ก้อนของเราให้เต็มได้ในคืนเดียว..เต็มที่ได้มา 2 ก้อนคือชาร์จด้วยกล้อง และชาร์จด้วยแท่น ตรงนี้คิดว่าสำคัญเช่นกัน… ลองคิดสภาพว่าใช้แบตวันละ 3 ก้อนแต่ว่าชาร์จได้แค่ 1 ก้อนต่อคืน ก็ลำบากใจแล้ว (..)
ถ้าอยากถ่ายรูปเยอะๆก็อย่าลืมใส่ใจเรื่องแบตเตอรี่และที่ชาร์จหละ แต่ที่ชาร์จแบตแยกก็แพงอยู่มากนะ 。゚(つД`)゚。
คือทสึกิจิเนี่ยที่เคยอ่านๆมาเขาบอกว่าถ้าอยากกินร้านซูชิดีๆดังๆให้ไปเช้าๆ.. เพราะเป็นตลาดสด มีร้านในตลาด คนรอคิวเยอะ บลาๆ เราก็คิดว่าอืม ตื่นตี 4 ครึ่ง นัดเจอน้องสาวก่อนละกัน

แวะฟามิมายามเช้า เจอไอรู..

มันหนาว เลยซื้อชามากิน อา..ช่างอบอุ่นเหลือเกิน
ไปสถานีราวๆตีห้าครึ่งก็น่าจะโอเค ไปถึงทสึกิจิ 6 โมงก็น่าจะสบายๆ…แต่ทำไปทำมาดันหลงทางเล็กน้อยจนกว่าจะมารอขึ้นรถไฟได้ก็ตี 5 ครึ่งกว่าๆ ซะแล้ว โดยรูทการเดินทางจากอาซากุสะ ไปต่อรถสถานีที่อุเอโนะ แล้วขึ้นสายฮิบิย่าไปลงที่สถานีทสึกิจิ (พอวันที่ 2 รู้สึกว่าแอพช่วยเดินทางใต้ดินเริ่มมีประโยชน์ ประหยัดเวลาได้เยอะอยู่)

หลงทางเล็กๆ..

เป็นป้ายที่ดูสำคัญแต่ดันดูแล้วขำ #ผิดมาก

อย่าวิ่งง อย่าวิ่งงง
ก่อนจะถึงสถานีทสึกิจิ..ก็พบว่านิฮงจินทั้งหลายไปรอกันที่ประตูทางออกรถไฟ พอจอด ก็วิ่งจ้ำรัวๆ.. ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจและคิดว่าคงรีบไปทำงานกันหละมั้ง ช่างขยันกันจริงๆ
เดินออกมาข้างนอกสถานีก็พบว่าแถวบริเวณนี้ดูคึกครื้น ผู้คนมากมาย รถจักรยาน รถตู้คันเล็กๆ วิ่งกันทั่วไป และเต็มไปด้วยร้านอาหารแบบยืนกินข้างทาง ดูฟีลลิ่งเป็นกันเอง กลิ่นอาหารเองก็ตลบอบอวลไปหมด อา หิวซะแล้ว

กูเกิ้ลแมปเพื่อนยาก คอยนำทางให้พวกเราเสมอมา บางทีก็ผิด..

ทสึกิจิยามเช้ามืด

ดูปริมาณรถและจักรยาน

หิวเลย ราคาก็ไม่แพง แต่ไม่ได้แวะลอง

ยินดีต้อนรับ.. สงสัยคนไทยจะเยอะอยู่

เร็วๆสิลุง / จะเร่งทำไมอาตี๋



ร้านมีดก็เปิดแต่เช้าเหมือนกัน
เดินตามทางไปเรื่อยๆแบบหลงๆ..พยายามจะหาจุดเข้าตลาดประมูลปลา (มาสายโด่งขนาดนี้ยังไงก็ไม่ทันแน่ๆ) ที่มาเพราะอยากจะไปต่อคิวกินซูชิร้านซูชิได (Sushidai, 寿司大) ที่ไกด์บุ๊คเล่มไหนๆหรือในพันทิปชอบแนะนำกันนั่นหละ แบบว่าอ่านมาซูชิเซ็ตนึงก็ 3,900 เยน พอจะรับไหววว แต่เดินตลาดทสึกิจิยามเช้านี่สนุกดี

ข้าวปั้นหลากหลายหน้า แต่ยังไม่ใช่จุดหมาย

ไข่หวาน ทำกันเป็นขบวนการ
ตอนแรกเกือบอดใจกับไข่หวานไม่ไหว (หอมมาก) เดินหาอยู่ซักพักก็เจอประตูเข้าตลาดส่วนใน เริ่มเห็นลุงแว๊นรถขนของ อนึ่ง รถขนของในตลาดนี่เพิ่งเคยเห็นในที่ตลาดปลานี่หละ เป็นแท่นกลมๆ พวงมาลัย วิ่งเร็วๆเงียบๆเพราะใช้ไฟฟ้า ใครเดินในนี้ขออภัยที่ต้องบอกว่ากรุณาใช้ความระมัดระวังให้ดี เพราะว่าพวกลุงๆเค้าทำมาหากินอยู่ต้องแข่งขันกับเวลา เราเป็นผู้เยี่ยมชมไม่ควรทำให้เจ้าบ้านลำบากใจ

คลำทางมั่วๆไปจนเจอทางเข้าตลาดส่วนใน (รึเปล่า)

เริ่มฟ้าสาง

เราจะเข้าไปเดินเล่นส่วนเทาๆตรงกลางที่เป็นร้านค้ากัน จริงๆอยากไปดูประมูลปลา แต่ต้องเช้ากว่านี้

คุณลุงแว๊นซ์โคตร ไวจนถ่ายไม่ทัน (เว่อร์)

ร้านรวงตามทาง ไม่ได้มีแต่ปลา มีของแห้งด้วย

จานใส่ปลาก็มา

ยี่ห้อนิสสันไว้ขนน้ำแข็ง





ร้านขายชาเขียวก็อยู่บริเวณนี้ด้วย ดูช่วยกันทำมาหากิน มีร้านอาหาร ก็มีร้านชา
พอเดินไปจนถึงตำแหน่งที่หมายที่ตั้งใจไว้ ก็พบว่าร้านซูชิดังทั้ง ซูชิได (Sushidai, 寿司大) และไดวะซูชิ (Daiwa Sushi, 大和寿司) คนต่อคิวกันโคตรเยอะเลยยย แล้วคนที่มาคิวไม่ใช่แค่ชาวต่างชาติ แต่เป็นชาวญี่ปุ่นที่วิ่งมาจากรถไฟฟ้าตะกี้น่ะหละ.. อืม.. นี่เขาจริงจังกันจริงๆนะ

คิวรอกินซูชิยามเช้า ช่างน่าประทับใจ
หลายๆคนอาจจะหาร้านกันไม่ถูก เพราะเข้ามาในบริเวณนี้จะมีร้านติดกันเป็นแผงๆเลย ลองดูจาก ลิงค์นี้ เพื่อหาตำแหน่งของร้านที่อยากกินไว้ก่อนได้เน้อ ส่วนคณะเดินทางเมื่อเห็นปริมาณคนขนาดนี้ก็กะว่าจะไปหาร้านอื่นลอง หาไป หามา เราก็ยังลงความเห็นว่าอยากกินปลาดิบจากที่นี่อยู่ดี
เลยเลือกกินร้านข้าวหน้าซูชิแถวๆนั้นเพื่อพิสูจน์ความสด โดยเลือกกินที่ ทสึกิจิด้งทาคุ (Tsukiji Dontaku, つきじ丼匠) ที่อยู่แถวเดียวกับร้านดังสองร้านข้างต้นน่ะหละ โดยร้านนี้ก็มีจุดขายที่ด้ง (ข้าวหน้า) ต่างๆ แต่ก็ไม่วายอุตริสั่งซูชิมาลอง

ร้านด้งทาคุที่กล่าวไว้ ไม่มีคนต่อคิวด้วย

ด้งรวมสามอย่าง ทูน่า แซลมอน อิคุระ (ไข่ปลาแซลมอน) 2400 เยน

ร้านเขาไม่ได้เน้นซูชิแต่ดันไปทะลึ่งสั่ง ความสดโอเคแต่กินพวกด้งน่าจะดีกว่า 2200 เยน
เอาจริงๆอาจจะมีหลายท่านเริ่มคิดว่าซัดข้าวถ้วยใหญ่แบบนี้ตั้งแต่ตี 5 อาหารไม่ย่อยแหง..แต่ผิดคาด กินอาหารปริมาณขนาดนี้ สดๆ ตบท้ายด้วยซุปมิโซะ กลับสบายกะเพาะกว่าที่คิดเยอะ (?) เป็นการชาร์จพลังงานสำหรับเริ่มต้นวันด้วย หลังจากกินเสร็จก็มาเดินตลาดรอบๆ เป็นตลาดที่คึกคักและเดินสนุกมาก!!! บรรยากาศแบบนี้เหมาะกับการแวะเดินเล่นถ่ายรูปทั่วๆไปมากอยู่นะ
แต่ก่อนอื่น หลังจากกินเสร็จ น้องสาวต้องขอตัวไปโรงแรมก่อนเพราะเสื้อที่ใส่มาอย่างดูถูกอากาศหนาวเกินไป (ทสึกิจิอยู่ใกล้ทะเล…จากบทเรียนกโอไดบะเมื่อวันที่ 1 คือ ใกล้ทะเลลมเยอะมาก และหนาวโคตร)

อยากได้ผ้าหน้าร้านไปแปะที่บ้านแฮะ..

หัววาซาบิสด เป็นร้านขายเฉพาะทางไปเลย

ซาลาเปาไส้หอยเม่น.. ไม่กล้าลองอะคุณ

บรรยากาศตลาดโดยทั่วไป


ไหนๆก็กินของคาวไปแล้ว ตบท้ายด้วยพุดดิ้งจากร้านขายไข่หวานละกัน เพราะเขาว่าไข่ที่สดจะเหมาะกับการทำไข่หวาน และย่อมเหมาะกับการทำพุดดิ้งด้วยย จริงๆซื้อเพราะเห็นกลุ่มวัยรุ่นชาวญี่ปุ่นเค้าซื้อมากินแล้วอุทานอร่อยๆกันเลยแบบ ซักหน่อย
พอลองกินก็พบว่าอร่อยดีจริงๆซะด้วย ลองดูได้นะ หาไม่ยากหรอกเดินๆไปก็เจอ



ป้ายรูปหมีกินแซลมอน..






กินเสร็จก็แวะถ่ายรูปศาลเจ้านามิโยเกะอินาริ (Namiyoke Inari Shrine, 波除稲荷神社) ที่อยู่บริเวณนั้น อ่านในวิกิว่าเป็นศาลที่ชื่อมีความหมายว่าขอให้ช่วยปกป้องจากคลื่น ในตัวศาลมีสาเกกับตะเกียงจากเหล่าร้านค้าบริเวณนั้นมากมาย คิดว่ามาร่วมกันสนับสนุนสินะ อา จุดเด่นของศาลนี้เห็นจะเป็นหัวสิงโตไม้ขนาดใหญ่โตที่วางให้บูชาในศาล เห็นว่าในบางเทศกาลจะมีเอามาแห่กันด้วยน้า

ศาลเจ้าดังกล่าว

หัวสิงโต (มีสองสี ดำกับแดง)

เหมือนถังใส่น้ำ (?)




หลังจากถ่ายรูปจนพอใจก็ได้เวลาย้ายที่ย้ายทาง ขากลับได้เจอกับวัดพุทธทสึกิจิฮอนกัน-จิ (Tsukiji Hongan-ji Temple, 築地本願寺) ด้วย ตอนแรกเผลอนึกว่าเป็นวิหารอินเดียซะอีก.. เนื่องด้วยยังเป็นศาสนิกชน เลยอยากลองเข้าไปดูวัดพุทธกันซักหน่อยด้วย

ตึกเพนท์รูปปลาที่เขาว่ามาที่นี่ต้องมาเจอ (?)

ทสึกิจิฮอนกัน-จิ เป็นสถาปัตยกรรมที่ดูแข็งแกร่ง

วัดพุทธให้บรรยากาศที่คุ้นเคย

แต่พิธีนี้ไม่ค่อยคุ้น เหมือนจะหยิบเถ้า?

สอนศาสนาด้วยมังงะ


จากนี้ก็จบจากเขตทสึกิจิ ไปต่อกันที่เขตจิโยดะ (Chiyoda) กัน
จิโยดะ และ อิเคะบุคุโระ
จากทสึกิจิ นั่งใต้ดินไปไม่นานก็จะไปโผล่ที่เขตจิโยดะได้ไม่ยากนัก โดยนั่งสายฮิบิย่า (Hibiya Line) ไปลงที่สถานีฮิงาชิ-กินซ่า (Higashi-Ginza) แล้วต่อสายมารุโนะอุจิ (Marunouchi) ไปลงที่สถานีโตเกียว (Tokyo) สิริรวมแค่ 5 สถานีเท่านั้น และหลังจากนี้ จุดประสงค์คือไปเยี่ยมชม (โปรดจำจุดประสงค์ให้ดี)
จุดเด่นของสถานีโตเกียวคือสถานีรถไฟ จะเปรียบกับบ้านเราก็คงเหมือนหัวลำโพง สถานีเก่าคลาสสิค เร็วๆนี้เพิ่งครบรอบ 100 ปีไปด้วย ตัวผู้เขียนเคยดูอนิเมชั่นฉลองครบรอบฯเลยอยากไปลองดูให้เห็นกับตาเสียหน่อย
คือรู้สึกได้ว่าสวยงามทั้งตัวสถานีภายนอกและภายในเลยอยากไปเยี่ยมชม ภายในนับว่าสวยตามที่คิดไว้เลย

ดูผสมผสานไว้หลายยุค

เพดานสถานี
ข้างนอกสถานีก็สวย แต่ว่าผิดหวังเล็กน้อยเพราะมีการก่อสร้างในช่วงที่ไป ทำให้ไม่สามารถหาที่ยืนที่จะถ่ายครอบคลุมทั้งสถานีได้เลย (ร้องไห้)

เป็นตึกอิฐแดงที่สวยงาม


ต่อจากนี้เป็นการเดินถึกในบรรยากาศยามเช้า ชิลๆ เพื่อหาทางไปสะพานโค้งที่อยู่ในวัง เห็นว่าชื่อสะพานโค้งนิจูบาชิ (Nijubashi Bridge, 二重橋) โดยคลำทางไปด้วยกูเกิ้ลแมปเพื่อนยาก เดินผ่านอากาศหนาวยะเยือกไปเรื่อยๆ
ตรงนี้พวกเราคิดว่าน่าจะหนาวโหดมาก พลังงานที่เคยมีเหมือนจะหมดไปอย่างรวดเร็ว แถมบริเวณนี้มีตึกสูงเยอะมาก ทำให้ลมพัดโกรกอย่างหนาว

ตึกสูงเยอะแต่คนน้อย

ฟ้าใสมากอย่างไม่น่าเชื่อ








ไม่อยากบอกว่าปัญหาเจ้ากรรมอย่าง “แบตกล้องหมด” ก็ตามมาเล่นงานอีกแล้ว (โอ้ย) เกิดอาการปวดตับมากมายตามมา แต่ทว่าด้วยพลังของสตีฟจอบส์ ทำให้ไอแพดแบตไม่เสื่อมไวตามไปด้วย (ถามจริงไอแพดมีฟังก์ชั่นอะไรทำไมแบตมันหมดยากขนาดนี้)
สุดท้ายเดินไปเดินมา พลังงานหมดหลอดใกล้ทางเข้าวัง ต้องพักไปหาเซเว่นใต้โรงแรมแถวๆนั้นและหาร้านกาแฟเพิ่มความอบอุ่นก่อน.. (350 เยน ลาเต้ร้อน) หลังจากนั่งได้ก็พล็อยหลับกันซักพัก นับว่าเป็นทริปที่มีความสุขกับการใช้เวลาจนเกินไปจริงๆ และแถมมาลองคิดดีๆแล้ว การใช้ชีวิตในตัวเมืองของญี่ปุ่น กับย่านตัวเมืองในกรุงเทพ อาจจะใช้เงินในเรทที่เท่ากันเลยก็ได้ คือกาแฟสดก็ได้กินที่แก้วละราวๆ 120 บาท ขนมหรืออาหารกินเล่นที่คุณภาพเท่ากัน (เน้นย้ำตรงนี้ว่า ที่คุณภาพเท่ากัน) ราคาก็ไม่ห่างกันมาก

ร้านกาแฟดังกล่าวที่ไปหลบหนาวและงีบ
ตอนแวะสำรวจเซเว่นก็ได้พบว่าที่นี่ 7-11 มักจะขายสินค้าแบรนด์ของตัวเอง และทำออกมาได้เรียบหรูดูดี แพคเกจมินิมอล ดูโปรกว่าพวกลอว์สันหรือฟามิมาอยู่หน่อย




หลังจากได้เติมพลังจากพนักงานร้านกาแฟที่น่ารักมาก (อีกแล้ว) ก็เปิดแมปแล้วเดินกันอีกรอบ มาสู่หน้าสวนหลวงส่วนตะวันออก (Imperial Palace East Gardens, 皇居東御苑) เลยเข้าไปดูกันเพราะคิดว่านิจูบาชิคงอยู่ในนี้แหละ

ตอนแรกนึกว่าห้ามเข้า..
เดินเข้าไปข้างใน มีแจกบัตรผู้เข้าชมเล็กน้อย (ฟรี) จากนั้นก็พบว่าข้างในสวนหลวงนั้นช่างเงียบสงบเรียบง่าย มีกำแพงเมืองโบราณให้ดูด้วย

เรียบง่ายมีพลัง


ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าพอมาส่วนนี้ สัญญาณจากพอคเกตไวไฟหายไป.. ทำให้หาทางไปนิจูบาชิไม่เจอ เดินวนแค่ไหนก็ไม่เจอ แถมเหนื่อย แต่ก็ได้ดูวิวเรื่อยเปื่อยทำให้รู้สึกอารมณ์ดีใช้ได้ เดินไปเรื่อยก็ถ่ายรูปไปเรื่อย มีเรื่องตลกคือในตอนที่เดินในสวนนี่.. เจอคุณป้าท่านหนึ่ง ค่อยๆเดินถ่ายรูป เราก็อยากรู้ว่าใช้กล้องอะไร เดาไว้ว่าคอมแพคเล็กๆ
แต่ผิดคาด.. ป้าพกบ้องเลนส์ซูมมาใหญ่มาก.. คืออลังการ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าจะวัยไหนก็ถ่ายรูปได้…





ประตูออกสวนหลวง
หาไม่เจอก็ไม่เจอ ออกมานอกสวนหลวงได้เจอกับโตเกียวมาราธอน… คือกลุ่มนิฮงจินปริมาณมากวิ่งรอบสวนกันอย่างบ้าคลั่ง ใครก็ได้ที่มีข้อมูลช่วยบอกพวกเราทีว่าเขาวิ่งกันเป็นปกติหรือว่ามีมาราธอนอะไร (เสียใจที่ไม่ได้เก็บภาพไว้ เพราะว่ามัวแต่เถียงกันว่าเขาวิ่งไปทำไม)
หลังจากจบตรงส่วนนี้ทางเราจะเจอกับน้องสาวที่อิเคะบุคุโระ จุดมุ่งหมายคือไปเที่ยวโปเกมอนเซนเตอร์ (Pokemon Center) ไปแค่นั้นจริงๆนะ เลยไม่รอช้า เดินไปหาใต้ดินแถวๆนั้นแล้วขึ้นไป ไม่อยากบอกว่าใช้เวลาเพียงวันครึ่งพวกเราก็เริ่มจะโยนแอพบอกทางทิ้งไปแล้วเพราะเริ่มชำนาญ (ฮา)


มาถึงสถานีอิเคะบุคุโระ (Ikebukuro) ซึ่งย่านอิเคะบุคุโระเขาว่าเป็นย่านแสงสียามดึก แต่พวกเรามาโปเกมอนเซนเตอร์อะ.. คือไม่เกี่ยวอะไรกับแสงสียามดึกเลย!! เดินลัดเลาะด้วยทางใต้ดินมาซักพักก็มาถึงอาคารซันไชน์ซิตี้ (Sunshine City) ที่ตั้งของโปเกมอนเซนเตอร์ อ้อ อยู่ที่ชั้น 2 หละ

เดินตามทางบอกไปเรื่อยๆ ส่วนด้านขวานั่นไดโซะ..ของข้างในเหมือนกับไทย คอนเฟิร์ม

มาสักการะโปเกเซนฯแล้ว ไหนหละคุณพยาบาล
โปเกเซนฯเป็นร้านขายของที่ระลึกของซีรีส์โปเกมอนน่ะหละ! ฉะนั้นก็ไม่มีอะไรมาก คือมาซื้อของล้วนๆ (ชอบ)


สารพัดตุ๊กตาและคีย์เชนผ้ามากมายจริงๆ.. ยังไม่รวมถึงของที่ระลึกจิปาถะและบางอย่างหาได้จากเฉพาะที่นี่ บลาๆ ใครชอบโปเกมอน.. มาสิไม่มาได้ไงเล่า!!!!!








โอ้ เลยเผลอลืมตัวสอยพวงกุญแจสตาร์ทเตอร์ไฟมา 1 เซ็ต (..เอะ เงินเริ่มหาย ค่าซื้อของไม่นับเป็นค่าใช้จ่ายละกันเนอะ) อา มีตู้สำหรับพิมพ์เหรียญที่ระลึกที่มีลายโปเกเซนฯด้วย เก็บติดมา 1 เหรียญพอดี



J-WORLD น่าจะเป็นธีมปาร์คของจัมพ์ (ไม่ได้แวะ)
ลืมไปว่าพวกเรายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย (หิวอีกแล้ว) การเดินทางเนิ่นนานด้วยเท้าทำให้หิวตลอดเวลา~ ขากลับจากสถานีนี้ก็เจอตู้ขายไอศครีมของกูลิโกะซะด้วย เลยกดมาลองกัน แก้หิวไปก่อน ไว้ไปหาเอาดาบหน้า

กินซะสิทุกคน


เอะ ว่าแต่พวกเราจะไปไหนต่อนะ.. ช่วงบ่ายของวันนี้หละเป็น “ไฮไลท์” ระดับสูงสุดของทริปโตเกียววันนี้ นั่นคือ ย่านเครื่องใช้ไฟฟ้าและอนิเมชั่น อากิฮาบาระ หรือ อากิบะ นั่นเองง~~~~ โดยจากสถานีอิเคะบุคุโระ พวกเราเลือกไปที่สถานีโอจาโนะมิซุ (Ochanomizu) เพื่อให้การเดินเที่ยวครอบคลุมบริเวณไม่ต้องเดินไป เดินมา ให้ซ้ำสองรอบ
อากิฮาบาระ: ภาคราเม็งหลอนและศาลเจ้าคันดะ
ก่อนอื่นไปถึงพวกเราตั้งใจว่า จะไปหาราเม็งกิน (อันนี้คือตั้งใจไว้มากว่า มาถึงที่นี่ ต้องมากินราเม็ง) โดยเมื่อไปถึงสถานีโอจาโนะมิซุพวกเราก็เริ่มเดินไปศาลเจ้าคันดะ (Kanda Shrine, 神田明神) ต่อด้วยอากิบะฯโดยสาดส่องสายตาหาร้านอาหารไปด้วย และได้พบกับร้านหนึ่งที่มีคนต่อคิวกันพอสมควร (โดยเฉพาะดูแล้วน่าจะเป็นเด็กมหาลัยแถวๆนั้นแหละ)

ตามป้ายกันแบบดื้อๆ

แอบถ่ายสาวๆ (?)

เจอศาลเจ้า แต่ยังไม่ใช่ศาลเจ้าคันดะ เลยข้ามไป




ร้านราเม็งที่ว่านี่หาในเว็บ..ไม่เจอชื่อภาษาอังกฤษแฮะ จะเสี่ยงดีป่าวเนี่ย ชื่อร้าน ราเม็งคาเงะมูฉะ (らーめん 影武者) พิกัดคืออยู่แถวๆถนนหน้าศาลเจ้าคันดะ

ร้านเล็กๆดังกล่าว

ตู้กดบุหรี่

ป้ายร้านราเม็ง
เมนูมันไม่มีอะไรมากเท่าไร มีราเม็งธรรมดา 680 เยน กับคาเงะมูฉะราเม็ง 1000 เยน ดูจากรูปแล้ว..พวกเราอยากกินเนื้อเยอะๆ เลยตัดสินใจจ่าย 1000 เยน อ้อ เนื่องจากต้องรอคิว ฉะนั้นต้องเข้าไปกินทีละคน ก็สั่งแบบปกติๆกดตู้เอา ฉึกๆ ไปนั่ง เจอเจ้าของร้านที่กระตือรือร้นอย่างแรง แล้วก็พบกับ ราเม็ง

1000 เยน (โปรดเทียบขนาดกับไข่ไก่)
เฮ้ยเดี๋ยว.. มันตรงกับในรูปจริงๆ ไม่ดิ เยอะกว่าในรูปอีกเฟ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย คือเยอะมาก เลยเริ่มกินไปแบบรวดเร็ว กิน กิน และกิน ปรากฎว่าความสามารถของกะเพาะสุดแค่ 75% ของชาม.. (อับอายที่กินเหลือ) จากนั้นก็แวบออกมาเดินถ่ายรูปก่อน
คำบอกเล่าของ Tซัง และน้องสาวหลังจากที่ปล่อยให้นั่งทรมานกับคาเงะมูฉะราเม็ง
“ผมเจอคนนึงมันเข้ามาทีหลัง มันสั่งหมูเพิ่ม มันย่อตัวลง แล้วมันก็กินหมดใน 5 นาที”
“หนูเกือบจุกตายเพราะอยากจะกินราเม็งให้หมด แต่ก็ไม่หมด”
คือมันเยอะจริงๆ..ก็อร่อยดีอยู่หรอกแต่ว่าปริมาณขนาดนี้อาจทำให้เสียชีวิตได้เลยเชียวนะ (หลังจากนี้ไม่ได้กินอะไรอีกเลยจนดึกดื่น) ใครอยากลองไปกินก็ตามไปหารายละเอียดใน ลิงค์นี้ ละกัน อีกอย่างที่ลืมไปเลยคือกินร้านอาหารที่ญี่ปุ่นไม่เคยต้องจ่ายค่าน้ำแยกเลยแฮะ..
หลังจากกินเสร็จก็เดินเข้าไปที่ศาลเจ้าคันดะ ได้พบเจอกับบันไดขึ้นศาลที่เหล่าสาวๆในอนิเมเรื่อง เลิฟไลฟ์ (LoveLive!, ラブライブ!) มาวิ่งเทรนกันยามเช้า~~ (ต้องละไว้แค่นี้เนื่องจากว่าไม่ได้เป็นทริปแบบติ่งๆหรือทาสๆเท่าใด ทริปแบบทาสๆเจอกันทริปหน้า)


ตอนแรกขึ้นไปก็คิดว่าจะว่างๆนั่งถ่ายรูปได้สบายๆ แต่ว่าผิดคาด!! พบเจอกับ ไลฟ์เวอร์ปริมาณมาก ผู้คนมาสักการะเทพโชคลาภจำนวนมาก เนื่องจากไปตรงกับเทศกาลไดโคขุที่เป็นการเฉลิมฉลองเทพแห่งโชคลาภพอดีเลย (ศาลเจ้าคันดะเป็นศาลเจ้าที่เน้นการขอพรด้านการทำมาค้าขายอยู่แล้ว)

คนเยอะจริงๆ ค้าขายร่ำรวยจ้า
ช่างเป็นความประทับใจที่ในกลางตัวมหานครก็ยังมีศรัทธาที่แรงกล้าอยู่ด้วย แวะถ่ายรูปมาพอสมควร

ซุ้มประตูเข้าศาลเจ้าช่างอลังการ

ตัวศาลเจ้าคันดะ

เทพโชคลาภ




มาศาลเจ้าคันดะก็อดจะสนุกกับการถ่ายรูปแผ่นไม้ขอพรต่างๆและคุณมิโกะไม่ได้ มีเครื่องรางขายหลากหลายแบบด้วย แต่ไม่เจอแบบที่อยากได้ (คงเดินไม่ละเอียดพอ)

คุณมิโกะขายของ

เครื่องรางเยอะมากก

เหมือนกำลังจะมีการแสดงอะไรบางอย่างด้วย





สติีกเกอร์ไลน์เวอร์ชั่นศาลเจ้าคันดะ

ตู้สิงโตเชิดทำบุญ

คุณมิโกะกำลังขายของอย่างสดชื่น

ถ้าเสี่ยงได้อันที่โชคไม่ดีก็เอามาผูกกับบอร์ด
หลังจากถ่ายรูปในศาลเจ้าคันดะจนจุใจ ก็ได้เดินเข้าอากิบะกันซักที พวกเราเลือกที่จะแยกกันเดินเพราะว่าการช็อปปิ้งไม่ควรจะรอกันไปรอกันมา แต่ด้วยการที่พ็อคเกตไวไฟมีแค่ 2 เครื่อง ฉะนั้นต้องมีคนนึงอยู่ด้วยการไม่มีเน็ต.. ดังนั้นโบ้ยให้เป็นภาระของ Tซัง ไปละกัน โดยพวกเราคิดว่าจะมาเจอกันที่สถานีใต้ดินอากิฮาบาระในเวลา 6 โมงครึ่ง (จากแยกกัน 3 โมงครึ่ง)
การมาอากิบะครั้งแรกนับว่าตื่นเต้นมากในฐานะคนชอบอนิเม มังงะ และอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เป็นย่านการค้าที่ระดับ “ต้องมา” สำหรับการมาโตเกียวเลยทีเดียว
อากิฮาบาระ: ภาคช็อปปิ้ง
เรามาอากิบะกันในวันเสาร์ ซึ่งถนนยังไม่ปิดให้คนเดินกัน (ถนนคนเดินจะมีในวันอาทิตย์ ตัว Wซัง เพิ่งรู้หลังจากกลับมาแล้ว) แต่การเดินในอากิบะจะวันไหนก็สนุกดี เป็นย่านที่ไม่ใหญ่มาก แต่ว่าแต่ละตึกมีคอนเทนต์มากมาย และหลายชั้น

มาเยือนแล้วในวันนี้ อากิฮาบาระ

เจอแผงขายแท่งไฟก่อนเลย

ตึกมีภาพโฆษณาจากอนิเม/เกม/ไอดอล

น้องสาวได้หูฟังจาก Sofmap อ๊ะ นั่นภาษาไทย

บางซอกก็เงียบๆ



อยากได้กล่องสามหมื่นเยนนั่นอะ..

ไอดอลตรึม
เนื่องจากไม่ได้มีลิสท์อะไรในใจที่จะซื้อมาก อยากจะเดินดูทั่วๆไปมากกว่ารวมถึงอยากสำรวจเกมเซนเตอร์ด้วย เลยเข้า TAITO STATION ก่อนดีกว่า

ตึกเกมเซนเตอร์ TAITO STATION (ข้างๆเป็นร้านโดจินชิ–)
ตู้เครนเกมที่นี่เยอะมาก ทดลองคีบแต่ก็ไม่ได้เท่าไร..ไม่รู้เพราะงกไม่หยอดเยอะหรือฝีมือกากเอง (น่าจะอย่างหลัง)


ชั้นบนๆของ TAITO STATION จะเป็นอาเขต ตู้เกมตรึม แต่ก็อนุญาติ (รึเปล่า) ให้สูบบุหรี่ด้วยเลยเหม็นซักหน่อย ใครไม่ชอบก็หลีกเลี่ยงเอา อาคารขายของโดยมากไม่ให้ถ่ายรูป แต่มาเห็นเอาทีหลัง..ขออภัยด้วยจริงๆ

ตู้ Left4Dead เวอร์ชั่นญี่ปุ่น เพิ่มตัวละครสาวน้อยชุดนักเรียน ปรับกราฟฟิคใหม่

REFLEC BEAT มีคอกให้เล่นแบบตัวใครตัวมัน

เกมตู้ของ PUZZLE & DRAGON
หลังจากนั้นก็เดินเข้านอกออกใน เข้าร้าน GAMERS (ゲーマーズ), TORA NO ANA (とらのあな), BOOK OFF (ブックオフ) บลาๆ สอยของเล่น หนังสือ โดจิน ตามอัธยาศัยที่ดีของผู้มาเยือน รายละเอียดในช่วงนี้นับเป็นปริศนาดำมืดเนื่องจากตัว Wซัง ตรงดิ่งเข้าห้วงติ่งไปเรียบร้อยแล้ว ใครที่ชอบอนิเมมังงะบลาๆ จับกุมกระเป๋าตังให้ดีก่อนเข้าร้านเฉพาะทาง

มาเยี่ยมร้านของเดจิโกะ (GAMERS)
ส่วนมากร้านพวกนี้ยิ่งชั้นสูงจะยิ่งมีของติดเรท 18+ ด้วยนะ สาวๆก็เดินได้ไม่เป็นอะไรมาก (เจอสาวๆช็อปปิ้งในร้านโดจินเยอะเหมือนกัน) โดยเหมือนเป็นเรื่องปกติตามวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นเขา แต่อย่าไปจ้องใครเวลาอยู่ในโซนอโคจรก็พอ

เซนเซอร์ไว้แล้ว.. พบกันที่ 4F
ในช่วงที่ไปมา ที่ร้าน GAMERS มีจัดเลิฟไลฟ์มิวเซียม แสดงชุดขึ้นแสดงคอนเสิร์ตของเหล่านักพากย์ด้วย เล่นเอาเกือบหัวใจวายแหนะ (หือ)

ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า LAOX ที่แวะเข้าไปแค่แปปๆ
หลังจากเดินและช็อปปิ้งของจนพอใจ (ขอไม่ใช้คำว่าจุใจ เพราะไม่ได้จ่ายอะไรมาก..มาแบบประหยัดจริงๆนะ) ก็ได้เวลานัดรวมตัวกัน ตอนแรกเดินหาสถานีแทบแย่

ปิดท้ายด้วยวิวแบบตั้งใจ

เป็นมุมที่เหมาะกับการมาถ่ายรูปให้เห็นภาพรวมของอากิบะยามดึกเหมือนกันนะ
ย่านอากิบะเป็นอะไรที่ประทับใจมาก มีเงินสิบเสียเงินสิบ มีเงินร้อยเสียเงินร้อย ระวังกันด้วยหละ เอะ อะไรนะพวกเรายังไม่กินข้าวเย็น อะไรนะพวกเราเมื่อยขาแล้ว ยังไม่จบ.. ทริปของวันนี้ยังไม่จบ พวกเราแบกสังขารที่ใกล้จะ KO ไปยังโตเกียวทาวเวอร์กันต่อ!

เดินทางไปต่อ
โตเกียวทาวเวอร์และอาซากุสะยามค่ำคืน
หลังจากช็อปปิ้งเต็มเหนียวแล้ว ไม่อยากบอกเลยว่าสติหลุดออกไปไกลแล้ว และเท้าก็..เดี้ยงด้วย แต่ว่าเรามีเวลาน้อย นี่เป็นคืนที่สองนะ ต้องเต็มที่สิ เลยแบกสังขารไป.. โดยการขึ้นใต้ดินจากโตเอย์ซับเวย์สถานีอากิฮาบาระ ไปลงทีสถานีไดมง (Daimon) แล้วขึ้นสายโอเอโดะ (Oedo Line) ไปลงที่สถานีอาคาบาเนชิ (Akabanebashi ) เดินขึ้นมาหน่อยก็ได้พบกับโตเกียวทาวเวอร์แล้ววว
โตเกียวทาวเวอร์เป็นหอกระจายคลื่นวิทยุเก่า คลาสสิคมาก แน่หละมาโตเกียวก็ต้องนึกถึงหอคอยโตเกียว แล้วก็ควรจะขึ้นไปด้วย // เหลือบดูเวลาเกือบสามทุ่ม และหนาวมาก.. ในวันที่ 2 นี้จัดได้ว่าหนาวสุดในทริป 3 วันจริงๆ พวกเราคิดว่าจะถ่ายรูปสวยๆซักหน่อยกับโตเกียวทาวเวอร์ เลยนั่งลงกับพื้นที่เย็นเฉียบ วางสัมภาระไว้แอบๆตามถนน และถ่ายรูปกันอย่างมือสั่น


ตอบคำถามที่อาจสงสัยก่อนว่า
“ทำไมไม่ขึ้นไปหอคอยโตเกียว มาทั้งที”
คำพูดนี้ก้องในใจข้าพเจ้าเช่นกัน แต่ด้วยพลังงานทั้งหมดต้องบอกว่าไม่ไหวแล้วหละ หลังจากจบตรงนี้..พวกเรากลับไปที่สถานีอาซากุสะ (ขากลับไปก็งีบไป) แล้วก็แยกย้ายกันเข้าโรงแรมตามแต่ละคน อะ ขากลับแวะร้านข้างทางเจอข้าวกล่องแปะป้ายลดราคาด้วย–

พวกไก่ทอดลดราคาเยอะอยู่
แต่ทว่าพอเอากระเป๋าวางเสร็จตอนราวๆ 4 ทุ่มครึ่ง อา พอนั่งพักไปซักแปป ก็คุยกับ Tซัง ว่ามันยังไม่จุใจ เราไม่ควรอยู่แค่นี้…ก็เลยไปห้างที่เปิด 24 ชั่วโมงแถวนั้น ดอน กิโฮเต้ (Don Quijote, ドン・キホーテ) ห้างขายของถูกที่มีสาขาเยอะพอสมควรในโตเกียว (ทั่วญี่ปุ่นเห็นว่ามีเป็นร้อยสาขา) จุดเด่นคือมาสคอตรูปเพนกวินแล้วก็การเปิดทั้งวันทั้งคืนนี่หละ ในห้างมันขายสารพัดตั้งแต่เนื้อหมูยันอุปกรณ์สำหรับงานปาร์ตี้ หม้อหุงข้าวไฟฟ้า ถ้าไม่รู้จะจินตนาการถึงอะไรก็คิดซะว่ามันเป็นบิ๊กซีน่ะหละ

ดองกี้สาขาอาซากุสะ

ตัวเพนกวินมาสคอต + ถูกที่สุดใน (ระ)ละแวกนี้
อา จะเรียกว่าเป็นสถานที่ ที่เหมาะกับการซื้อของฝากให้เพื่อนร่วมงานหรือญาติแบบง่ายๆ ราคาไม่แพง จับจ่ายได้สบายใจ ทำ TAX FREE ก็ได้ มีวิธีเป็นภาษาไทยเสร็จสรรพ

ว่าจะซื้อ..ฟรุตตี้

ขายของเล่นก็เยอะ

คิตตี้ในชุดกิโมโน

แพคชุดคอสเพลย์ยังมีขายเล้ย

ไม่ได้มีแต่ของถูกๆนะ








โอเค หลังจากเดินห้างซักแปป หิวแล้วยามดึก แวะกินร้านมัตสึยะเดิมแถวๆนั้นอีกซักรอบ คราวนี้ขอเต็มสูบด้วยข้าวแกงกะหรี่+แฮมเบอร์เกอร์+สลัด+ไข่ลวก รวมแล้ว 780 เยน

อร่อย ลองเลยย!
ลืมไปว่าซื้อขนมกินเล่นมาเล็กน้อย ส่วน Tซัง ซัดเบียร์อาซาฮีไป 2 กระป๋อง ด้วยความเชื่อที่ว่ากินแล้วจะทำให้ร่างกายอบอุ่น ว่าแต่ช่วงนี้ก็ลุ้นอยู่นะว่าอยากให้หิมะมันตกๆซะเลยไหๆแล้ว (ยังไม่เข็ดกับความหนาว)


เสบียงพร้อม ก็เดินไปแถวย่านวัดยอดฮิตประจำอาซากุสะ นั่นคือแวะไปดู คามินาริมง (Kaminarimon, 雷門) ประตูสายฟ้า และเนื่องจากไม่มีไฟของตัวประตูเปิดแล้ว (มาดึกเกินไป ขณะนั้นเที่ยงคืน ฟฟฟ) จึงต้องใช้เทคนิคตั้งขาตั้งกล้องแล้วเปิดชัตเตอร์รับแสงนานๆ แต่ก็ได้ภาพที่น่าประทับใจและแปลกตาไปอีกแบบ
แถวนั้นมีคุณตำรวจคอยเฝ้าอยู่ในป้อมยามด้วยทำให้รู้สึกปลอดภัย ไม่สิ การที่ไกจินสองคนมายืนด้อมๆมองๆถ่ายรูป คนนึงกินขนม คนนึงกินเบียร์ จะดูเสี่ยงต่อการโดนจับมากกว่า

1 องศา, เที่ยงคืน, คามินาริมง
เดินถัดมาตามทางเรื่อยๆ ร้านปิดหมดแล้ว (แน่หละ) แต่ยังเปิดไฟตลอดเวลาเฉพาะส่วนถนน ทำให้ละแวกนี้ดูมีความปลอดภัยมากๆ เดินมาซักนิดก็เจอกับ โฮโซมง (Hozomon, 宝蔵門) ประตูสมบัติ ประตูนี้มืดสนิทกว่าตะกี้อีก.. แต่เนื่องจากน่าจะเป็นประตูหลัก ความอลังการจึงมากกว่าตามไป ในช่วงที่ถ่ายอยู่นี่มีชาวญี่ปุ่นบางส่วนก็ยังเดินเข้ามาไหว้ ทำความเคารพวัดกันด้วย ทั้งๆที่ดึกดื่นน่ะหละ

โฮโซมงกับท้องฟ้าดึกสงัด
ส่วนสุดท้ายเป็นวัดเซนโซจิ (Sensoji Temple, 金龍山浅草寺) ส่วนหลัก มีเจดีย์ห้าชั้นอยู่ข้างๆ ช่วงนี้สนุกกับการถ่ายรูปมาก แต่ว่าหนาวจริงๆ คือสั่นไปหมดทั้งตัว เบียร์ก็ช่วยไม่ได้ (Tซังบอกมา) แต่ว่าไหนๆมาแล้ว และโอกาสที่จะมาถ่ายรูปตอนหนาวๆดึกๆแถวนี้อาจจะไม่ได้มีอีกก็ได้ เลยทุ่มกันซักหน่อย

วัดเซนโซจิ ว่าแต่นั่นดาวหรือว่าฝุ่นในเซนเซอร์กล้อง

ตัววิหาร
ที่น่าทึ่งคือ ตัวผู้เขียนลองสังเกตผู้คนที่เดินมาในวัด มาเสี่ยงเซียมซี แม้จะไม่มีคนเฝ้า พวกเขาก็ยังทำตามกติกา บริจาคเงินก่อนเสี่ยง แล้วก็ไม่ต้องมีคนเฝ้าใบทำนายใดๆ ทุกอย่างดูล้วนเป็นระเบียบอย่างไม่น่าเชื่อ กระทั่งคนเมายังหยอดตังก่อนเสี่ยงเลยนะ..

ตู้ใบทำนายจากเซียมซี
ลองเสี่ยงกับเขาบ้าง (100 เยน) ที่นี่เองมีคำแปลเป็นภาษาอังกฤษอยู่ข้างหลังด้วย ไม่ต้องกังวล ถ้าได้ใบโชคร้ายก็เอาไปแขวนไว้ในวัดที่ป้ายผูกเซียมซีก็พอ

ได้โชคปานกลาง

อยากซื้อ แต่ว่าไม่มีคนขายแล้วหละ
จบส่วนวัด ก็เดินกลับไปที่พัก ได้พบว่าระหว่างทางตามร้านค้าที่ปิดไปแล้ว กระทั่งประตูยังมีลวดลายสวยงาม และไฟเปิดตลอดทาง เดินทางได้โดยรู้สึกว่าปลอดภัยดี

ประตูร้าน

ย่านร้านค้าที่ปิดแล้ว
แต่ถ้าไม่นับร้านที่ปิดแล้ว ละแวกนี้ก็มีร้านเหล้าแบบอิซากายะเยอะอยู่ ใครอยากลองก็แวะหาได้ แต่คงต้องมีสกิลภาษาขั้นพื้นฐานเล็กน้อยด้วย ก่อนจะกลับแวะหมุนกาจาปองกับคีบเครนเกมนิดซิ.. มันมีทุกที่เลยนะเนี่ย

หลอกตัง 24 ชั่วโมง
กลับถึงโรงแรม..ตอนแรกอยากนอนทันทีแต่ว่าไม่เอา จะแช่น้ำอีก ก็เลยแช่เพื่อคลายยยความปวดทั้งหมด (ก็ยังลืมซื้อผงอาบน้ำอยู่ดี แย่ แต่ดันได้นมรสกาแฟมาแทน) และหมดวันที่ 2 ของทริปนี้ไปที่เวลา 2:00 น. อา..ฟูกนี่นุ่มที่สุดเลย
ค่าใช้จ่ายวันที่ 2
- ชาเขียวร้อนของอิโตเอ็น: 100 เยน
- ซูชิแซลมอนและทูน่าของทสึกิจิด้งทาคุ: 2,200 เยน
- พุดดิ้ง: 250 เยน
- ข้าวปั้นย่างไส้ชีส: 120 เยน
- ลาเต้ร้อน: 350 เยน
- ชาเขียวร้อนหยอดตู้: 120 เยน
- ไอศครีมกูลิโกะ: 130 เยน
- คาเงะมูฉะราเม็ง: 1,000 เยน
- ข้าวแกงกะหรี่+แฮมเบอร์เกอร์+สลัด+ไข่ลวกของมัตสึยะ: 780 เยน
- เซมเบ้: 165 เยน
- นมรสกาแฟ: 180 เยน
- น้ำเปล่า: 70 เยน
- รวม: 5,465 เยน (1530 บาทที่เรท 0.28)
อนึ่ง ไม่ รวมค่าของฝากและของติ่งและค่าเล่นเกม ค่าหยอดกาจาปอง ค่าโดจิน ค่าดีวีดี ฯลฯ (สินค้าช็อปปิ้ง) โปรดใช้วิจาณญาณในการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เนื่องจากในวันที่ 2 นี้สติแตกไปตอนไปอากิบะจึงไม่สามารถรวบรวมค่าฟุ่มเฟือยได้อีกแล้ว