มาต่อแล้วกับบทความเที่ยวเกาะที่หายไปสองปี บทความเองก็หายไปสองเดือนเหมือนกันครับจากตอนแรก (หือ) โดยในตอนนี้จะว่าด้วยภาคต่อจากวันแรกสุดทรหด วันสองก็ทรหดกว่า ถ้าจะอธิบายสั้น ๆ ก็คือวันนี้เราจะไปตะลุยชิบุย่า ฮาราจูกุ โยโกฮาม่า และคาบูกิโจกันครับ เยอะหละสิ แต่วันเดียวก็พอจะเที่ยวได้หมดนะแบบไม่ได้โหดเกินไปด้วย
สำหรับถ้าอยากอ่านตอนแรกอ่านย้อนได้ในลิงค์ด้านล่างนี้ได้เลย
และยังคงต้องบอกว่าช่วงเวลาของที่ไปเที่ยวในครั้งนี้ยังเพิ่งเป็นช่วงผ่อนปรนจากวิกฤตโควิด-19 ดังนั้นอาจมีบางอย่างปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วได้ทุกเมื่อ ต้องเช็คก่อนเดินทางกันนะ
หาข้าวกินกันที่..ข้างถนนก่อน (?)
วันที่สองนี่เหมือนเริ่มต้นจริง มีกิจกรรมที่หลากหลายจัดๆ แบบไม่น่าเชื่อ เลยจะขอเริ่มจากการตื่นเช้าแล้วก็มายืนรับวิตามินดีกับแสงเช้าหนาว ที่ห้าแยกชิบุย่า ซึ่งแม้จะเช้าแค่ไหน หรือวันไหน คนก็เยอะอยู่ดี
จุดมุ่งหมายของพวกเราในการมาชิบุย่า คือไปที่ Shibuya PARCO เพราะต้องการเข้า Nintendo TOKYO (https://store-jp.nintendo.com/nintendo-tokyo/) สโตร์ขายสินค้าของค่ายเกมลุงหนวดขวัญใจชาวญี่ปุ่น ซึ่งตอนช่วงแรกเขาขู่กันว่าคิวยาวมาก เลยหวั่นใจว่าจะต้องรอนาน ก็มาซะตั้งแต่เช้าเลยครับ (เสาร์-อาทิตย์ จะเปิด 10.00 น. ส่วนวันธรรมดาจะสายหน่อย ที่ 11.00 น.) ซึ่งตอนที่มานี่กะว่าจะหาร้านนั่งกินข้าวแถวนี้ แต่หายากกว่าที่คิด
เดินไปเดินมา ก็ลงเอยที่การกินอาหารร้านสะดวกซื้อยามเช้าดีกว่า จะกินข้าวปั้น หรือจะจัดมื้อใหญ่มายืนกินข้างถนนแบบโซบะก็แล้วแต่อัธยาศัยครับ ทำได้จริงนะ
แถวชิบุย่านี่ตอนเช้า ก็ไม่ค่อยมีไรให้เดินเท่าไรครับต้องบอกกันตรงๆ ฉะนั้น! ถ้าจะเดินไปถ่ายรูปกับเจ้าหมาฮาจิโก ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องตัวเล็กจ่อยและคนมาต่อคิวเยอะ จะมาตอนเช้าก็เป็นทางเลือกที่ดีที่เดียว แม้ว่าในครั้งที่พวกเราจะไม่ได้ไปก็ตาม
พอ 10.00 น. ก็ลองขึ้นลิฟต์ไปชั้น 4 ของห้างเพื่อเข้า Nintendo TOKYO กัน ตอนแรกคิดว่าคนน้อย แต่ไปจริงก็ต้องไปต่อคิวเพื่อรับบัตรคิว (งงไหมครับ) จริงๆ มันเป็นบัตรที่จะบอกช่วงเวลาในการเข้า ซึ่งอยู่ที่ประมาณช่วงละ 30 นาที
โชคดี ที่ในห้าง Shibuya PARCO นี้มีอะไรให้เดินเล่นเยอะโขเลยทีเดียว ทั้ง Capcom Store, Sega Cafe (ตอนที่ไปนี่โคลาโบกับโคโรเนะจาก Hololive ด้วย), Shonen JUMP Store, Pokemon Center และอื่นๆ อีกมากมาย ฉะนั้นไม่ต้องกังวล รอบการรอที่เหมือนจะนานไม่เสียคุณค่าแน่นอน
อนึ่ง ที่นี่เป็นห้างที่มีห้องน้ำดีมากๆ (?) เลย อ้อ เวลาผ่านไปแปปเดียวก็ 10.30 น. ได้เวลาไปเข้าร้านกันแล้วหละ
จริงๆ Nintendo TOKYO นี่ก็ร้านขายของจากเกมของค่ายนี้นั่นหละ แต่เนื่องจากได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศเกาะ ทำให้กลายเป็นจุดดึงดูดที่มีคนแห่เข้าไปเยี่ยมชมเพื่อซื้อของกันเลยทีเดียว ถ้าใครชอบเล่นเกมในเครือค่ายนี้เช่น มาริโอ้ เซลด้า หรืออนิมอลครอสซิ่ง น่าจะชอบเลย เพราะว่าของที่เอามาขายแต่ละอย่างก็ไม่ได้มักง่ายแต่ออกแบบมาสำหรับขายที่นี่โดยเฉพาะ น่าสนใจเลยทีเดียว
เดินวนไปมาเพื่อช็อปปิ้งสินค้ากันซักพักจนพอใจ ก็มูฟออกจากที่นี่กัน อ้อ ใช้เวลาในการต่อคิวเพื่อจ่ายเงินซักพัก แต่ก็ยังโอเคที่เวลาไม่ได้เลทจนเกินไป อ้อ สำหรับที่นี่เหมือนจะไม่ได้ขายสินค้าของ Pokemon นะ ถ้าอยากได้ก็เดินไปใกล้ๆกันที่ Pokemon Center จะเข้าเค้ากว่า ถึงจะค่ายเดียวกันก็เถอะ
ปิดท้ายการเดินแถวชิบุย่าด้วยการแวะทักทายกับริวและราทาลอสกันซักหน่อยให้สมกับที่เล่นเกมแคปคอมมาเนิ่นนาน
เดินไปฮาราจูกุ สนุกกว่าที่คิด
เคยไปฮาราจูกุก็หลายที แต่เดินไปจากชิบุย่านี่เพิ่งเคยเลย เนื่องจากได้ลองศึกษาสถานที่ตามรอยของอนิเม.. เลิฟไลฟ์! ซุปเปอร์สตาร์!! ครอบครัวใหม่ของซีรีส์เลิฟไลฟ์ที่มีอนิเมออกมา 2 ซีซั่นแล้ว โดยในภาคนี้จะใช้ฮาราจูกุเป็นฐานของเนื้อเรื่องด้วย (จากเดิมที่เป็นอากิฮาบาระ (โตเกียว), นูมาสึ (ชิซึโอกะ) และโอไดบะ (โตเกียว))
อากาศแบบนี้ ระยะทางห่างแค่ 1-2 สถานี ไม่ใช่ปัญหาแน่นอน
การเดินไปย่านฮาราจูกุในคราวนี้ จะผ่านถนนที่ชื่อว่า CAT STREET (ชื่อถนนเฉยๆ ไม่มีแมว) โดยเป็นถนนที่ลึกจากในซอยหลักเข้าไปนิด มีย่านขายของสวยเก๋ อาหารการกินก็เข้าท่าเข้าทาง เรียกได้ว่าระยะทางแค่นี้ แวะมาเดินจะคุ้มค่าสุดๆ
ในย่านนี้
ในละแวกนี้สามารถใช้เวลาในการดื่มด่ำบรรยากาศได้พอสมควร มีร้านทาโกะยากิชื่อดังอย่าง WaraTako(笑たこ) อีกตะหาก รอคิวลองกินร้อนๆ กันซักหกลูก
อีกข้อคือแถวๆ นี้มีศาลเจ้าเล็กที่แอบซ่อนตัวอยู่กับเมืองด้วยชื่อ ศาลเจ้าออนเด็น (Onden Shrine, 穏田神社) หนึ่งในที่ตามรอยของเลิฟไลฟ์! ซุปเปอร์สตาร์!! ตามที่ได้เกริ่นไว้แรกๆ โดยศาลนี้เป็นบ้านของไอดอลสาวผมทองแห่งวงลิเอล่า เฮอันนา สุมิเระ จัง นั่นเอง
ที่บอกสวยคือมีใบแปะก๊วย (มั้ง) ร่วงอยู่เต็มบริเวณอย่างสวยงาม ตรงตามฤดูกาล เข้ากับบรรยากาศที่สงบมาก
แล้วก็เหมือนเป็นธรรมเนียมว่าถ้ามีศาลเจ้าปรากฎในซีรีส์เลิฟไลฟ์! จะต้องมีเครื่องรางที่คอลาโบมาขาย แล้วก็อุดมไปด้วยแผ่นป้ายเอมะที่มีนักวาดแห่กันมาวาดรูปตัวละครใส่ แหม บรรยากาศที่คิดถึงแบบนี้เหมือนกับที่ศาลเจ้าคันดะ ที่อากิฮาบาระเลย อนึ่ง ที่นี่สงบมากๆ เลย ถ้ามีเวลาว่างซัก 10 นาที มานั่งปล่อยอารมณ์ผ่อนคลายกันก็ดีเหมือนกัน
ระหว่างทางเดิน นอกจากศาลเจ้า ก็ยังมีหลายส่วนที่เป็นการตามรอยแบบแอบๆ แต่จะมาเจาะลึกในบทความนี้ก็ใช่ที เอาเป็นว่าระหว่างทางเดินไปย่านฮาราจูกุนี้น่าสนใจเลยทีเดียว คนก็เยอะด้วย อีกอย่างคือแปลกใจที่ใบไม้แถวนี้เป็นสีส้มเหลืองที่สวยดั่งฝันมาก(เว่อร์) อดสงสัยไม่ได้เลยว่าถ้ามาในฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นอย่างไร
จะว่าไปตั้งแต่เช้าของวันนี้ก็ยังไม่ได้กินสิ่งใดเป็นรูปธรรม เลยต้องแวะกินหนึ่งในมื้อราคาแพงของทริปนี้กันซักหน่อยกับร้านเนื้อ โรสท์บีฟโอโนะ (Roast beef Ohno, ローストビーフ大野) สาขาฮาราจูกุ ที่จุดเด่นจะเป็นการเอาวากิวส่วนที่ไม่แพงมาอบนานเพื่อให้มีความนิ่มอร่อยและคงไว้ซึ่งรสชาติ เคยกินไปรอบนึงที่สาขาอากิฮาบาระเมื่อนานมาแล้ว มาถึงนี่มีอีกสาขาก็ต้องแวะเสียมิได้ คนมาก็เยอะพอสมควรด้วย
สนนราคาต่อเมนูก็ราวๆ 2,500-2,900 เยนต่อท่าน สูงหน่อย แต่ว่าคุ้มค่าคุ้มราคาจริงๆนะ อย่าลืมมาลองกัน แต่ต้องเผื่อเวลาไว้รอคิวด้วยนะ หลังจากนี้เมื่ออิ่มท้องก็ต้องไสตัวเดินไปกับหมู่คนที่ค่อน ข้าง เยอะ และ แน่น ของฮาราจูกุและย่านโอโมเตะซันโดะกันหน่อย สมเป็นย่านยอดฮิตเลยนะ จำนวนนักท่องเที่ยวมหาศาลทำให้อดคิดถึงไม่ได้ว่าการท่องเที่ยวกลับมาแล้วจริงๆ หลังยุคโควิด
พวกเราพยายามเดินให้ได้ทั่วๆ ถนนทาเคชิตะอันเป็นถนนหลักของย่านนี้ ซึ่งก็ตามสูตรกับการมีร้านรวงแฟชั่น และร้านอาหารกิ๊บเก๋หรือมีสไตล์ตามซอกซอย เรียกได้ว่าเป็นที่เที่ยวมหาสูตรสำหรับชาวที่เพิ่งเคยมาเยือนญี่ปุ่นครั้งแรก
แต่ถ้าถามว่าทาเคชิตะต่างไปอย่างไรจากมุมมองของผู้เขียน ก็ต้องบอกว่าการมาครั้งนี้มันค่อนข้างสนุกกว่าครั้งที่เคยมาทั้งหลาย เพราะอย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่ามาตามรอย ฉะนั้นการเดินไป เดินมา ก็จะได้รับอรรถรสของการส่องตามรอยนิดหน่อย อีกข้อคือร้านขายของต่างๆ ที่อยู่ในฮาราจูกุบางร้านก็อดจะมาร่วมแคมเปญกับเลิฟไลฟ์ภาคซุปเปอร์สตาร์เสียมิได้ ไม่ว่าจะเป็นแบบเป็นทางการ หรือไม่เป็นทางการ (ฮา)
และที่ทำให้ได้รู้ก็คือพอเดินเข้าซอยย่อยๆ ของถนน จากคนเยอะสุดจะกลายเป็นไร้คนทันทีเลย น่าตกใจมาก การตามรอยทำให้ได้รับรู้ประสบการณ์หลายอย่างจริงๆ
และแน่นอนว่าต้องพาท่านเตคแวะกินเครปเจ้าดั้งเดิมของฮาราจูกุอย่าง MARION CRAPES ที่เคลมว่าเปิดตั้งแต่ปี 1976 เดี๋ยวจะกลายเป็นไม่ได้ลองอาหารถิ่น ที่ตกใจคือเหมือนคิวจะเยอะรอนาน แต่นั่งพักเท้ารอแปปเดียวก็ได้กินละ
หลังจากตรงนี้ก็บ่ายสาม เลยคิดว่าได้เวลาที่จะออกเดินทางไปจุดมุ่งหมายต่อไปกันแล้วหละ แต่ว่าขอรวมๆ ภาพในย่านไว้สำหรับเขียนตามรอยแบบเจาะจงในภายหลังซักหน่อย
มาหยุดตรงแถวๆ ศาลเจ้าเมจิ ตอนแรกคิดกันว่าจะเดินเข้าไปไหม เพราะถ้ารีบเดินเข้ารีบเดินออกก็น่าจะยังตามกำหนดการ แต่ว่าอยู่ๆ ก็คิดว่าเราถ่ายรูปแค่ทางเข้าที่ดูอลังการแล้วก็รีบไปโยโกฮาม่ากันดีกว่า เผื่อเหตุไม่คาดฝันไปช้าแล้วอดดูสิ่งนั้นตามที่เล็งไว้
แถมจริงๆ ที่น่ามหัศจรรย์มากคือจากฮาราจูกุนี้เรานั่งรถไฟฟ้าแบบไม่ต้องต่อเลยด้วยสาย Fukutoshin ก็จะถึงสถานี Motomachi-Chūkagai ได้แบบสบายๆ เรียกว่านั่งพักขากันเพลินประมาณ 1 ชม. เลยทีเดียว
ดูกันดั้มที่โยโกฮาม่า
เหมือนมาทัวร์กันดั้มมาก เพราะว่าแค่มาถึงสองวันนี่จะไปสองที่แล้ว.. จากสถานีที่ลงมาเดินเท้าอีกไม่นานไปทางทะเล ก็ได้พบกับบรรยากาศสไตล์เมืองท่า ลมเย็น มีหอคอยสวยงาม สวนสาธารณะดีๆ ดีเหมือนคุณภาพชีวิตของคนประเทศที่พัฒนาแล้ว
อยากใช้คำว่ามันเป็นเมืองที่รู้สึกได้ถึงความโรแมนติคครับ (?) เมืองท่านี่สุดยอดไปเลย
พอเดินไปจนถึงริมทะเล ก็ได้พบกับบรรยากาศแบบบลมเย็น เรือใหญ่เทียบท่า และมีโมบิลสูทกันดั้มยืนอยู่ลิบๆ ไปไม่ผิดแน่นอน
โดยที่ๆ เรามานี้คือ Gundam Factory Yokohama งานจัดแสดงกันดั้มแบบชั่วคราวที่มีกำหนดรื้อถอนชัดเจน (ข้อมูล ณ วันที่เขียนบทความนี้ก็คือถึง 31 มีนาคม 2024) ฉะนั้นถ้ามีโอกาสก็แวะมาดูกัน~ มันคงไม่ใช้มุกยืดเวลาไปเรื่อยแหงครับ สำหรับค่าเข้าชม ถ้าจะดูแค่ข้างนอกก็ไม่เสีย ถ้าเข้าไปข้างใน + ช็อปปิ้งข้างในเล็กน้อย ก็อยู่ที่ 1,650 เยนรวมภาษี ได้กันพลามาต่อเล่นแผงนึงด้วยนะ
จะมีอลังการแบบนี้โดยการขึ้นไปอาคารซ่อมบำรุง ฟีลลิ่งว่าเราเป็นหน่วยช่างฯ จะราคาราวๆ 3,000 กว่าเยนหละ
บรรยากาศข้างในก็คือเป็นลานโล่ง + อาคารซ่อมบำรุงของเจ้ากันดั้ม RX-78F00 (เป็นตัวพิเศษเฉพาะที่ฐานนี้แหละ ไม่ได้อ้างอิงมาจากในอนิเม แม้รูปร่างคล้ายกัน แต่จะแตกต่างจากกันดั้มตัวดั้งเดิมที่เคยอยู่ที่โอไดบะเรารู้จักกันดี อันนั้นจะรหัส RX-78-2)
นอกจากกันดั้มแล้ว ข้างในก็มีพวกซุ้มขายอาหาร โต๊ะโล่งๆ แล้วก็ร้านขายกันพลา ให้ได้นั่งชิลชมบรรยากาศเพลิน ถ้ามาตอนหน้าหนาวแบบที่มากันนี่ก็กำลังดีเลย แล้วก็กันดั้มจะขยับเป็นพักๆ ตามรอบ ตอนที่มานี่ก็เหมือนจะโคลาโบกับภาคใหม่ (ภาคแม่มดจากดาวพุธ เหมือนที่เพิ่งดูการโคลาโบกับยูนิคอร์นกันดั้มไปที่โอไดบะก่อนนี้ อ้อ ตรวจสอบรอบการแสดงได้จาก https://gundam-factory.net/en/) โดยรอบที่ทางเราต้องรอก็จะหัวค่ำเล็กน้อย
ถ้ารอเวลามันนานไปก็แวะซื้อของกันที่ร้านกันพลาข้างในได้ มีสินค้าที่มีขายแค่ในที่นี่หลายอย่างเหมือนกันนะ
พอประมาณทุ่มนึงก็ถึงเวลาของรอบการแสดงที่รอ พอดึกแล้วพบว่าแสงสีสวยงามมากประทับใจจัด แต่ว่าๆ ถ้าใช้มือถือหรือกล้องที่เก่านิดอาจจะเก็บความประทับใจได้ไม่คมชัดมากนัก อย่าลืมใส่ใจกันตรงนี้ด้วยนะ อนึ่งกันดั้มตัวใหญ่ก็จริง แต่ถ้าจะยิงเก็บรายละเอียดก็คงต้องพกเลนส์มาซูมกันนิดหละ
รอบการแสดงที่รอก็จะเป็นแอคชั่นประกอบเพลง โดยแอคชั่นที่ทำมากสุดก็จะเป็นออกจากแท่งมานั่งคุกเข่าเท่ๆ น่ะหละ แสงสีอลังจริงๆ
เมื่อรับชมจนพอใจก็ได้เวลาไปต่อกันอีกซักนิด วันนี้ยังยาวอยู่ แต่ก่อนไปก็ได้แวะอ่านบอร์ดข้อความ ที่มีสาสน์จากผู้กำกับผู้ให้กำเนิดซีรีส์กันดั้ม โยชิยูกิ โทมิโนะ ที่บอกเอาไว้ว่าขออภัยจริงๆ ที่ทุกคนยังไม่สามารถเห็นกันดั้มที่เดินได้อย่างอิสระด้วยเหตุผลทางวิศกรรมศาสตร์มากมาย การทำให้กันดั้มเดินได้เป็นความฝันของเขาเช่นกัน แต่ตอนนี้ยังทำไม่ได้ (ราวๆ นี้) ก็ประทับใจดีว่าโปรเจคนี้มันไม่ใช่แค่อยากจะทำงานโชว์มาหากำไรอย่างเดียว แต่ตอนนี้มันเป็นความหลงไหลที่จะทำของทีมงาน ของบิดากันดั้มคนนี้ด้วย
ซักวันคงได้เห็นการเดินอย่างอิสระ กับโครงสร้างที่สูงกว่า 18 เมตรแน่ๆ
ไว้เจอกันอีกรอบถ้ามีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีครับ
กินอาหารจีนแบบพื้นบ้านสไตล์ ที่ไชน่าทาวน์
ดึกดื่นแบบนี้แต่ยังไม่ได้กินข้าวเย็น และโยโกฮาม่าก็มีสิ่งที่เรียกว่าไชน่าทาวน์ครับ ฉะนั้นพวกเราจึงย้ายที่ด้วยวิธีการเดินไปนั่นหละ ไม่ห่างจากกันดั้มมากนัก เดินไปซักพักพอเห็นโคมกลมๆ และถนนที่มีแสงสีส้มเรือง ก็มั่นใจได้ละว่าเดินมาถึง
คนเยอะกว่าที่คิดมาก เคยมาตอนที่ไม่ได้ดึกแบบนี้เลยค่อนข้างรู้สึกสนุกกับวิวทิวทัศน์พอสมควรเลย! ปัญหาต่อมาเลยจะเป็นว่ากินอะไรดีเพราะคนดูเยอะ แต่เห็นมีคนต่อคิวรอซาลาเปาอยู่เจ้านึง ก็มาลองกินกันซักลูก (ผมบอกเลยว่านักท่องเที่ยวเนี่ย เวลาเห็นร้านไหนต่อคิวแล้วมีภาพว่าเคยออกรายการทีวีมา มันก็จะดูน่ากินเป็นพิเศษ)
ทีนี้ก็หาที่กิน เลยมานั่งข้างหน้าร้านที่ปิดน่ะหละ นั่งกับพื้นแบบชิลๆ เพราะเห็นชาวญี่ปุ่นเขาก็นั่งกัน ไม่อยากจะบอกว่ารู้สึกเหมือนวาร์ปไปสมัยมหาลัยฯ ที่จะนั่งตรงไหนก็นั่งเลย (ฮา) ทีนี้พอได้กินไปก็รู้สึกว่าค่อนไปทางธรรมดาเล็กน้อย จริงๆ นะ เหมือนว่าซาลาเปาในไทยนี่ได้รับการพัฒนารสชาติมาจนขีดสุดมากกว่าที่นี่
อร่อยก็ต้องบอกอร่อย อันไหนเฉยๆ ก็ตามนั้นหละ
ทีนี้มันยังไม่อิ่ม เลยต้องเดินหาอะไรอีกนิด ทีนี้มันจะมีสิ่งหนึ่งคล้ายซาลาเปาทอด แล้วมันชอบขายทีละ 10 ลูก แต่ชะรอยกลัวใจว่ามันจะไม่อร่อย เลยหาร้านที่มีแค่ 4 ลูกแล้วซื้อมาลองซักหน่อย
พอกินแล้วก็ได้ความว่ามันเป็นเสี่ยวหลงเปา แบบที่มีน้ำซุปเยอะๆ ในซาลาเปาน่ะหละ แต่เอาไปทอดอีกที ได้รสชาติที่กลมกลืนใช้ได้ แต่ก็กินแค่นิดเดียวน่าจะดีกว่าจริง อา อีกอย่างคือราคาของกินที่นี่เหมือนจะแพงแต่ก็ปกติ ไม่ได้เป็นความรู้สึกสถานที่ท่องเที่ยวอะไรขนาดนั้น
แต่จุดอ่อนร้ายกาจก็มีอยู่ คือย่านนี้ขายของกินซ้ำกันมาก เป็นแพทเทิร์นคล้ายกัน เช่น ซาลาเปา เสี่ยวหลงเปา ขนมงาทอด สตรอว์เบอร์รี่เคลือบน้ำตาลเสียบไม้ แล้วก็วนกลับไปซาลาเปาเหมือนเดิม
ภาพจำว่ามีของกินหลากหลายเลยจะหายไปหน่อย เยาวราชไทยแลนด์มีหลากหลายกว่านะ (ฮา) แต่จุดเด่นของที่นี่ก็คือมันดูเป็นความคึกครื้นอีกแบบที่แตกต่าง เดินถ่ายรูปเล่นกินบรรยากาศก็เป็นอีกความสนุกหนึ่งได้
แต่พอผ่านมาวันที่ 2 ของทริป ร่างกายก็เหนื่อยล้า โดยเฉพาะขาที่ใกล้จะสิ้น เลยตัดสินใจว่ากลับกันดีกว่า จะได้พักร่างระหว่างเดินทางกลับโตเกียวแล้วไปแวะอีกนิดหน่อย
ปิดวันที่คาบูกิโจ
จากโยโกฮาม่า กลับมาชินจูกุในโตเกียวนี่ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. กว่าเลยทีเดียว ทำให้สามารถพักขาได้เป็นอย่างดี โดยที่เรามาลงในย่านคาบูกิโจนี่ก็เพื่อมาเดินรับชมบรรยากาศกันแบบในคอร์สรับชมโตเกียวให้ครบถ้วน (แถมยังได้ตามรอยเกมซีรีส์ Yakuza ของ SEGA ด้วย) โดยย่านคาบูกิโจนี้ก็ขึ้นชื่อเรื่องพวกสถานที่ท่องเที่ยวยามดึก ผับบาร์ ร้านอาหารก็มีเยอะ นักท่องเที่ยวก็เดินส่องเดินเล่นได้ทั่วไปไม่ได้มีอะไรน่ากลัวมากนักถ้าไม่ได้เข้าตามร้านต่างๆ ที่ก็มักจะไม่รับชาวต่างชาติอยู่แล้วด้วยหละ
ซุ้มประตูสีแดงที่มาปุปก็รู้ว่ามาย่านนี้ ต้องหาในแมปด้วยคำว่า Kabukicho Ichibangai (คาบูกิโจซอยหนึ่ง) ถึงจะเจอ เพราะถ้าเป็นแค่คาบูกิโจมันก็จะหมายถึงย่านนี้หละ ใหญ่พอตัว เดินไปมาหลงแถมเดี๋ยวไปในย่านที่น่ากลัวๆ จะไม่ดีเอา แถวนี้เป็นย่านที่ยิ่งดึกก็เหมือนจะยิ่งคึก ถ้ามาวันศุกร์ เสาร์ ก็จะคนเยอะเป็นพิเศษ บางทีเดินเลยไปก็จะเจอพื้นที่ๆ คนมาแสดงเปิดหมวกเล่นดนตรีกันด้วย
สำหรับมื้อปิดท้ายของวันนี้ก็หาได้กินที่นี่ไม่ แต่กลับไปกินร้านอาหารแถวที่พักเนื่องจากแถวนี้เหมือนจะไม่มีอะไรถูกปาก แต่ชะรอยว่าพอกลับไปกินแถวบ้านก็เหมือนจะปิดเป็นส่วนใหญ่ ร้านอาหารสำหรับครอบครัวก็ปิดแล้วด้วยพอใกล้ 4 ทุ่ม แต่มีร้านบ้านๆ แถวที่พักยังเหลืออยู่ที่เปิดดึก และเป็นร้านสไตล์ที่ดูน่ากินพอสมควร เข้าไปก็จะเป็นให้เลือกอาหารถาดๆ ที่ปรุงสำเร็จไว้แล้วมาเวฟ ซื้อข้าวเพิ่ม หรือจะสั่งเมนูพิเศษก็แล้วแต่ เบสิคเรียบง่ายแต่ก็อร่อยดี
ชะรอย ข้าพเจ้าจ่ายเงินช้ากว่าเพื่อนฝูงไปนิด ทำให้มีค่าใช้จ่ายบางประการโผล่ขึ้นมา เห็นว่าถ้าหลัง 22.00 น. จะมีค่าบริการกะดึกเพิ่มขึ้นมา เป็นความรู้ใหม่ที่เพิ่งได้ทราบหลังจากมาญี่ปุ่นหลายครั้ง.. เอ๊ะ แต่พวกร้านแฟรนไชส์ไม่ค่อยโดนนะ หรือมันใส่มาแล้วแต่ไม่รู้ตัว!!!
ปิดท้ายวันนี้ที่เหนื่อยล้า.. คือตัวผมอยากแช่น้ำอีกหน่อย เลยตัดสินใจที่จะเดินไปซักผ้า และเลยไปไกลโคตรเพื่อไปแช่น้ำที่โรงอาบน้ำสาธารณะอีกเหมือนเดิม (15-20 นาที) แต่วันนี้.. มันปิด!!! ถึงจะมีโรงอาบน้ำสาธารณะสองที่ติดกันมันก็ปิดหมด!!! เลยได้แค่ปิดวันด้วยการซักผ้าที่เป็นกิจกรรมที่ชอบทำ แล้วก็ปิดวันไปอย่างอดแช่น้ำ..!
ทริปนี้ยังเหลืออีกหน่อย ไว้มีพลังจะมาเขียนต่อให้เสร็จนะ ถ้าไม่มีพลังก็ข้ามไปทริปหน้าละกัน!