Seisho Music Academy Event
戦国英雄伝
-ตำนานยอดขุนพลเซ็นโกคุ-
อาเคจิ มิตสึฮิเดะ รับบทโดย ไอโจ คาเรน
โอดะ โนบุนากะ รับบทโดย คางุระ ฮิคาริ
ซานาดะ ยูคิมูระ รับบทโดย สึยุซากิ มาฮิรุ
อุเอสุงิ เคนชิน รับบทโดย ไซโจ คลอดีน
ทาเคดะ ชินเง็น รับบทโดย เทนโด มายะ
โมริ โมโตนาริ รับบทโดย โฮชิมิ จุนนะ
อาชิคางะ โยชิเทรุ รับบทโดย ไดบะ นานะ
ฮอนดะ ทาดาคัตสึ รับบทโดย อิสึรุกิ ฟุตาบะ
โทคุกาวะ อิเอยาสึ รับบทโดย ฮานายางิ คาโอรุโกะ
ก่อนจะอธิบายว่ายุคเซ็นโกคุ (ยุคสงครามกลางเมือง) คืออะไรนั้น ก็ขออธิบายความเป็นมาก่อนว่ายุคสมัยในช่วงนั้นของญี่ปุ่นจะเรียงลำดับประมาณนี้ เวลาพูดถึงตัวเนื้อหาจะได้เห็นภาพมากขึ้นค่ะ
- สมัยเฮอัน (ค.ศ.794-1185) เป็นยุคที่ย้ายเมืองหลวงมาอยู่เกียวโต ยุคสมัยนี้สิ้นสุดลงเมื่อมีการก่อตั้งรัฐบาลทหารที่คามากุระ
- สมัยคามากุระ-มุโรมาจิ (ค.ศ.1185-1573) ยุครัฐบาลทหาร หรือเรียกทับศัพท์อีกชื่อว่ารัฐบาลบาคุฟุ อธิบายง่ายๆ คือเป็นระบอบที่ “โชกุน” มีอำนาจสูงสุดในการปกครอง (เดิมอำนาจจะอยู่ในมือจักรพรรดิ ส่วนยุคนี้จักรพรรดิมีไว้เป็นสัญลักษณ์เฉยๆ ไม่มีอำนาจทางการเมืองการทหารใดๆ) โดยช่วงคามากุระอำนาจการปกครองจะอยู่ที่ตระกูลมินาโมโตะ ส่วนมุโรมาจิจะอยู่ที่ตระกูลอาชิคางะ
เซ็นโกคุเป็นยุคย่อยๆ ที่อยู่ในยุคคามากุระ-มุโรมาจิอีกทีหนึ่ง โดยเริ่มนับตั้งแต่ปีค.ศ.1467 จากสงครามโอนิน (สงครามแย่งตำแหน่งโชกุนกันภายในตระกูลอาชิคางะ)
หลังจากสงครามนี้โชกุนจะสูญเสียอำนาจการปกครองไปเพราะตีกันเองจนอ่อนแอ และเนื่องด้วยประเทศญี่ปุ่นตอนนั้นยังไม่เป็นปึกแผ่นเหมือนที่เห็นทุกวันนี้ แต่ยังอยู่กันเป็นแว่นแคว้น อำนาจการปกครองในพื้นที่หนึ่งจึงขึ้นกับ “ไดเมียว” เจ้าเมืองที่ปกครองพื้นที่นั้นๆ และยุคเซ็นโกคุสิ้นสุดลงตอนโทคุกาวะ อิเอยาสึรบชนะจนได้ขึ้นเป็นโชกุนคนต่อไป และเริ่มยุคสมัยใหม่ที่ชื่อว่าสมัยเอโดะ
ในอีเวนต์ของเซโชจะยกขุนพลที่มีชื่อเสียงในยุคเซ็นโกคุมาเล่ารายละเอียดแบบเจาะรายบุคคลว่าคนคนนั้นมีวาระสุดท้ายของชีวิตยังไงแบบไล่ไปตามไทม์ไลน์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคนั้น ฉะนั้นข้อมูลด้านบนจึงเป็นข้อมูลคร่าวๆ ที่เล่าให้พอเห็นภาพการปกครองกับที่มาที่ไปของเรื่องราวว่าเป็นประมาณไหน เพราะในตอนนั้นๆ จะมีการพูดถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ต่างๆ อยู่แล้วค่ะ
แต่สำหรับใครที่อยากทราบโครงเรื่องคร่าวๆ ของอีเวนต์นี้ว่ามีพูดถึงเหตุการณ์สำคัญไหนบ้าง แล้วใครมีบทบาทในนั้นแบบภาพรวม ทางเราก็รวมมาให้แบบ (คิดว่า) อ่านง่ายๆ แล้วค่ะ
ปี 1467 สงครามโอนิน จุดเริ่มต้นของยุคเซ็นโกคุ ว่าด้วยตระกูลอาชิคางะสู้กันเองจนอำนาจโชกุนอ่อนแอ
ปี 1546 อาชิคางะ โยชิเทรุ ขึ้นเป็นโชกุน
ปี 1553 เริ่มสงครามที่คาวานากาจิมะครั้งแรก เป็นการรบกันระหว่างอุเอสุงิ เคนชินและทาเคดะ ชินเง็น
ปี 1555 มีสงครามที่โอเกฮาซามะ สงครามที่ทำให้ชื่อโอดะ โนบุนากะเป็นที่เลื่องลือ
ปี 1557 โมริ โมโตนาริ มอบตำแหน่งหัวหน้าตระกูลให้ลูกคนโต และสอนเรื่องลูกธนู 3 ดอกกับลูกๆ (เนื้อหาหลักของสตอรี่อีเวนต์องก์ที่ 2)
ปี 1561 สงครามที่คาวานากาจิมะครั้งที่ 4 (เนื้อหาหลักของสตอรี่อีเวนต์องก์ที่ 4)
ปี 1565 กบฎเอโรคุ อาชิคางะ โยชิเทรุ ถูกสังหาร (เนื้อหาหลักของสตอรี่อีเวนต์องก์ที่ 3)
ปี 1570 สงครามคาเนงาซากิ ตระกูลโอดะโจมตีตระกูลอาซากุระ แต่ทัพโอดะต้องถอนตัวออกมา
ปี 1571 โอดะ โนบุนากะ โจมตีกลุ่มอิกโกะที่วัดฮงกันจิแต่พ่ายแพ้ ในปีเดียวกันจึงมีการวางเพลิงที่ภูเขาฮิเอย์และการกวาดล้างกลุ่มอิกโกะ
ปี 1582 กบฎวัดฮอนโนจิ โอดะ โนบุนากะ ถูกอาเคจิ มิตสึฮิเดะสังหารที่วัดฮอนโนจิ (เนื้อหาหลักของสตอรี่อีเวนต์องก์ที่ 1 และ 5)
ในปีเดียวกัน โทคุกาวะ อิเอยาสึก็ได้เดินทางกลับแคว้นมิคาวะในปกครองอย่างยากเย็นโดยมีฮอนดะ ทาดาคัตสึคอยปกป้อง (เนื้อหาหลักของสตอรี่อีเวนต์องก์ที่ 6)
ปี 1600 สงครามเซกิกาฮาระ เป็นการรบกันระหว่างโทคุกาวะ อิเอยาสึและตระกูลอุเอสุงิ ที่มีตระกูลอิชิดะเข้ามาผสมโรงหวังจะล้มอิเอยาสึด้วย แต่สุดท้ายอิเอยาสึเป็นฝ่ายชนะศึกนี้ และซานาดะ ยูคิมูระถูกจับไปขังไว้ที่คุโดยามะ
ปี 1603 โทคุกาวะ อิเอยาสึขึ้นเป็นโชกุน เริ่มเข้ายุคสมัยเอโดะ
ปี 1614 โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ รับสมัครไพร่พลไปตีอิเอยาสึ ยูคิมูระจึงหลบหนีออกจากการกักขังแล้วไปร่วมศึกการล้อมโอซาก้าในช่วงฤดูหนาวของปีนั้น แต่อิเอยาสึเป็นฝ่ายชนะ
ปี 1615 มีการล้อมโอซาก้าช่วงฤดูร้อนเกิดขึ้นอีก ปราสาทโอซาก้าถูกโจมตีก็จริง แต่อิเอยาสึก็เป็นฝ่ายชนะอยู่ดี ยูคิมูระตายในสนามรบ และตระกูลโทโยโทมิก็ล่มสลาย เป็นการสิ้นสุดยุคเซ็นโกคุอย่างแท้จริง (เนื้อหาหลักของสตอรี่อีเวนต์องก์ที่ 7)
เรื่องเริ่มที่มายะกับคลอดีนซ้อมบทพูดเพื่อเช็กไมค์ว่ามีปัญหาหรือไม่ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไรเป็นพิเศษ
จากนั้นเรื่องจะให้สองคนนี้สนทนากันเพื่อบอกข้อมูลการแสดงสลับๆ กันว่าการแสดงรอบนี้เป็นการแสดงละครอ่านบท (朗読劇) คือเป็นละครที่ผู้แสดงจะใส่ชุดคอสตูมแล้วยืนถือบทละครอ่านอยู่กับที่ ไม่มีการเดินเคลื่อนไหวไปมาแบบละครเวทีทั่วไป ฉะนั้นสิ่งที่นักแสดงต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษเพื่อชดเชยส่วนที่เคลื่อนไหวไปมาไม่ได้ คือการแสดงออกทางน้ำเสียงและสีหน้าให้สมบทบาท มายะบอกว่าการทำแบบนี้ก็เป็นความยากอีกรูปแบบหนึ่งที่ต่างจากการแสดงละครเวทีแบบทั่วไป
คลอดีนเสริมว่าละครอ่านบทเรื่อง “ตำนานยอดขุนพลเซ็นโกคุ” เป็นละครอ่านบทที่ยกเรื่องราววาระสุดท้ายของขุนพลคนนั้นๆ มาแสดง เพราะฉะนั้นฉากจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา (เพราะยกมาหลายคน ฉากที่ใช้ก็เปลี่ยนเยอะตามไป) ถ้าพวกตนไม่แสดงส่งรับกันดีๆ คนดูอาจจะตามเรื่องไม่ทันเพราะฉากเปลี่ยนไว
มายะ: นั่นสินะคะ…
คลอดีน: เป็นอะไรไปน่ะ?
มายะ: ฉันเคยลองถามมาไซซังอยู่หนหนึ่งน่ะค่ะ ว่าทำไมถึงเลือก “ตำนานยอดขุนพลเซ็นโกคุ” มาทำเป็นละครอ่านบท แล้วมาไซซังตอบมาว่า “เนื้อเรื่องตำนานยอดขุนพลเซ็นโกคุน่ะยิ่งใหญ่ เพราะงั้นจะให้แสดงเป็นละครเวทีทั่วไปคงยาก แต่เอามาแสดงเป็นละครอ่านบทก็ได้อยู่นะ”
คลอดีน: หมายความว่าไงเหรอ?
มายะ: ละครอ่านบทเป็นการแสดงที่ให้ผู้ชมวาดเวทีการแสดงในหัวด้วยคำพูดของนักแสดง ฉะนั้นถ้าพวกเราสวมบทบาทเป็นขุนพลที่มีชีวิตอยู่ในยุคเซ็นโกคุได้อย่างสมบทบาท… เราก็จะแสดงภาพทิวทัศน์ของกองทหารหลายหมื่นคนสู้รบกันที่*คาวานากาจิมะ หรือภาพของ*วัดฮอนโนจิที่ถูกแผดเผาได้น่ะค่ะ ที่ทำแบบนี้เพราะว่าจินตนาการของผู้คนนั้นไร้ขีดจำกัดยังไงล่ะคะ
*1 การต่อสู้ที่คาวานากาจิมะ (川中島の戦い) คือการรบกันระหว่างชินเง็นและเคนชินที่คาวานากาจิมะ (มีการรบกันที่นี่ทั้งหมด 5 ครั้ง)
*2 กบฎวัดฮอนโนจิ (本能寺の変) คือเหตุการณ์การก่อกบฎของมิตสึฮิเดะ (อดีตลูกน้องโนบุนากะ) จุดไฟเผาวัดฮอนโนจิซึ่งในขณะนั้นโนบุนากะอยู่ในวัดที่ว่า จึงใช้เรียกเป็นชื่อเหตุการณ์ที่ทำให้โนบุนากะเสียชีวิต
คลอดีนได้ยินมายะเล่าเหตุผลที่ว่าก็หัวเราะแล้วเห็นด้วยว่าจะให้ทหารเป็นหมื่นๆ คนมาขึ้นเวทีแสดงก็ไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ
ฉากตัดมาที่ฝั่งจุนนะกับนานะคุยกันว่าพอเข้าโรงละครมาก็ประหม่าอยู่เรื่อยเลย ถึงทั้งคู่จะเป็นแบบนี้ แต่จุนนะก็แซวนานะว่าตอนให้แสดงเพื่อเช็กไมค์เมื่อกี้ นานะก็แสดงได้อย่างสง่าผ่าเผยดีออก เป็นบทสนทนาแนวๆ ว่าต่อให้ไม่ชินกับเวลาก่อนขึ้นแสดง แต่พอขึ้นแสดงแล้วก็ลืมความประหม่าทั้งหลายและแสดงได้เต็มที่อยู่ดี
จากนั้นมาฮิรุที่ตามหาคาเรนกับฮิคาริอยู่ก็เข้ามาถามจุนนะกับนานะว่าเห็นสองคนนี้บ้างไหม เพราะพวกมาไซอยากเปลี่ยนตำแหน่งยืนตอนสองคนนี้เข้าฉากเลยตามหาตัวอยู่ จุนนะบอบอว่าน่าจะอยู่ข้างเวทีหรือเปล่า เพราะเมื่อกี้เช็กไมค์กัน มาฮิรุเลยจะลองไปข้างเวทีตามที่จุนนะบอกมาดู
ว่าแล้วฉากก็ย้ายมาที่ข้างเวที เป็นคาโอรุโกะคุยกับฟุตาบะว่าขนมที่มายะซื้อมาทำท่าเหมือนอยากให้ตัวเองไปกิน (…) ที่สามารถแปลเป็นไทยอีกทีได้ว่าคาโอรุโกะอยากกินขนมนั่นแหละ
ฟุตาบะ: เธอพยายามไดเอ็ตมาจนถึงตอนนี้เพื่อจะใส่คอสตูมอิเอยาสึให้ได้ไม่ใช่หรือไง? ต่อให้กินจนใส่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรงั้นสิ?
คาโอรุโกะ: ถ้ากินแค่คำเดียวละก็…
ฟุตาบะ: จากคำเดียวก็เป็นสองคำ จากสองคำก็เป็นสามคำ สุดท้ายคาโอรุโกะก็จะกินจนหมดอยู่ดีนั่นแหละ
คาโอรุโกะ: จริงสิ! เราก็กินคำเดียว แล้วเอาที่เหลือให้ฟุตาบะฮังกินให้ก็ได้นี่นา!
ฟุตาบะ: ทำไมฉันต้องรับผิดชอบกินต่อจากคาโอรุโกะด้วยเล่า!
คาโอรุโกะ: ฟุตาบะฮังเย็นชาจัง! ต่อให้เราใส่คอสตูมไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเหรอ?
ฟุตาบะ: แล้วถ้าฉันใส่คอสตูมตัวเองไม่ได้ขึ้นมาจะทำยังไงหา!
แต่คนที่เข้ามาแทรกการตีกันของสองคนนี้ก็เป็นมาฮิรุที่ยังคงตามหาคาเรนกับฮิคาริไม่เจอ คาโอรุโกะเลยบอกว่าพวกคาเรนน่าจะอยู่ที่ห้องพักนักแสดง ไหนๆ แล้วพวกตัวเองก็ควรไปอยู่ห้องพักเพื่อพักผ่อนบ้าง แต่ฟุตาบะก็มองด้วยสายตาเคลือบแคลงใจแล้วพูดว่า “ไม่ได้จะไปกินขนมจริงๆ ใช่ไหม” คาโอรุโกะก็ปฏิเสธสุดใจว่ากับเรื่องแค่นี้ตัวเองอดทนได้อยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นฟุตาบะก็คิดว่าจะคอยจับตาดูคาโอรุโกะจนกว่าการแสดงจะจบลงอยู่ดี
หลังจากตามหาคาเรนกับฮิคาริมานาน ทั้งสองคนก็อยู่ในห้องพักจริงๆ และกำลังกิน*ข้าวราดน้ำร้อนอยู่ เลยคุยกันว่าก่อนออกรบมิตสึฮิเดะก็กินข้าวราดน้ำร้อนด้วยหรือเปล่านะ ฮิคาริเลยออกความเห็นว่าโนบุนากะชอบข้าวราดน้ำร้อน มิตสึฮิเดะอาจจะเคยกินข้าวราดน้ำร้อนกับโนบุนากะก็ได้
*3 เป็นต้นกำเนิดของข้าวราดน้ำชาอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ว่ากันว่าสมัยนั้นข้าวญี่ปุ่นมันแข็ง การราดน้ำร้อนลงไปจะทำให้ข้าวนิ่มและอร่อยขึ้น
มาฮิรุ: อ๊ะ เจอแล้ว! ฉันหาตัวทั้งสองคนมาตลอดเลยนะ~…เอ๊ะ ทำอะไรกันอยู่เหรอจ๊ะ?
ฮิคาริ: เติมพลังก่อนออกรบ
คาเรน: กินข้าวราดน้ำร้อนแบบมีบ๊วยดองน่ะ! อร่อยด้วย! มาฮิรุจังก็มากินด้วยไหม?
มาฮิรุ: ไม่ใช่เวลามาทำแบบนั้นนะจ๊ะ…
คาโอรุโกะกับฟุตาบะที่ตามมาห้องพักเห็นพวกคาเรนกินข้าวราดน้ำร้อนกันก็สนใจ เพื่อนเลยแบ่งให้กินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนคาโอรุโกะไม่เคยพูดว่าตัวเองทนได้ พอมาฮิรุเห็นเพื่อนทำตัวชิลแบบนี้ก็พูดขัดขึ้นมาอีกรอบว่าไม่ใช่เวลามาแบ่งข้าวกินกันแบบนี้ เพราะคาเรนกับฮิคาริต้องไปหามาไซเดี๋ยวนี้เลย ทั้งสองคนเลยตามมาฮิรุไปเพื่อไปเช็กตำแหน่งยืนใหม่
ส่วนคาโอรุโกะที่ตอนแรกได้กินข้าวราดน้ำร้อนหนึ่งคำก็กินข้าวจนหมดชามจริงๆ แถมตอนกินหมดยังทำท่าตกใจบอกกับฟุตาบะว่าข้าวในชามที่ถืออยู่หายไปไหนไม่รู้ จนฟุตาบะต้องตบมุกว่าก็หล่อนไม่ใช่เรอะที่กินจนหมด จะมาตกใจอะไร! แต่คาโอรุโกะก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะขนมกับข้าวถือว่าเป็นคนละอย่างกัน ตัวเองไม่ได้กินขนมแต่กินข้าวก็ไม่เห็นเป็นไร
และแล้วช่วงก่อนแสดงจริงก็มาถึง ทุกคนสวมชุดขุนพลกันเต็มยศแล้วคุยเล่นกันก่อนแสดง อย่างคาโอรุโกะกับฟุตาบะก็คุยเรื่องที่ถึงจะกินข้าวราดน้ำร้อนไปแต่ยังดีที่ยังใส่คอสตูมได้ มาฮิรุกับจุนนะที่ดูประหม่า แต่ก็จะสนุกกับการแสดงให้เต็มที่ และมายะเป็นคนพูดปิดท้ายว่า “พอเริ่มการแสดง ทุกคนก็จะเป็นขุนพลเซ็นโกคุที่มีชีวิตอยู่ในยุคเซ็นโกคุค่ะ มาทำให้เวทีที่ไม่มีอะไรกลายเป็นสนามรบยุคเซ็นโกคุด้วยฝีมือการแสดงของพวกเรากันเถอะค่ะ”
ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปจะเป็นเนื้อเรื่องในละครอ่านบททั้งหมด และนอกจากทุกคนจะแสดงบทหลักที่เป็นขุนพลคนนั้นๆ แล้ว ทุกคนจะได้แสดง (ถ้าในเกมก็คือเป็นเสียงพากย์) เป็นตัวละครสมทบในฉากอื่นๆ ด้วย เพื่อเพิ่มอรรถรส (?) ก็ลองหาฟังในเกมกันได้ หรือในยูทูปก็ลองเอาชื่ออีเวนต์ภาษาญี่ปุ่นไปเสิร์ชได้เลยค่ะ
ฉากเปิดของละครอ่านบทเริ่มที่ผู้บรรยายกล่าวถึงยุคเซ็นโกคุ ว่าเป็นยุคสงครามกลางเมืองที่กินเวลายาวนานนับร้อยปีหลังจากเกิดสงครามโอนิน การรบราฆ่าฟันของเหล่านักรบทำให้แดนอาทิตย์อุทัยปั่นป่วนไปทั่วทุกหนแห่ง แต่ในขณะนี้ก็มีชายผู้หนึ่งตั้งใจจะรวมประเทศญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่น
หลังจบการบรรยายก็เริ่มเนื้อเรื่องหลักของละครอ่านบท โดยเริ่มจากฉากกบฎวัดฮอนโนจิในปีค.ศ.1582 เป็นเหตุการณ์ของโอดะ โนบุนากะที่อยู่ในวัดฮอนโนจิได้รับแจ้งจากโมริ รันมารุ ลูกน้องคนสนิทว่ามีศัตรูบุกเข้ามา ดูจากตราประจำตระกูลที่ประทับอยู่บนธงแล้วเป็นดอกคิเคียวสีฟ้า สันนิษฐานได้ว่าเป็นกองทัพของอาเคจิ มิตสึฮิเดะ ขุนพลที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับโนบุนากะบุกมาโจมตี
เมื่อโนบุนากะได้ยินชื่อมิตสึฮิเดะก็เหมือนจะทำความเข้าใจได้แล้วบอกว่า “งั้นรึ… มิตสึฮิเดะนี่เอง… เช่นนั้นแล้วก็*ช่วยไม่ได้”
*1 คำพูดที่ใช้ในเกมคือ 是非もなし ส่วนต้นฉบับที่เขาว่ากันว่าโนบุนากะพูดออกมาจริงๆ ตอนรู้ว่ามิตสึฮิเดะบุกมาคือคำว่า 是非に及ばず จึงมีการตีความคำพูดอีกทีว่าอาจหมายถึง การที่บุกมาขนาดนี้ก็ไม่ต้องคิดแล้วว่ามาดีหรือมาร้าย มีแต่ต้องออกไปสู้เท่านั้น ซึ่งแสดงถึงการตัดสินใจของโนบุนากะด้วย
รันมารุเสนอให้โนบุนากะหาทางหลบหนี แต่เพราะโนบุนากะก็รู้จักมิตสึฮิเดะดีจึงรู้ว่ามิตสึฮิเดะเป็นคนรอบคอบ ที่ก่อกบฎแบบนี้คงคิดมาดีแล้ว เพราะอย่างนั้นคงจะปิดกั้นทางหนีทีไล่ทุกทางเรียบร้อย
รันมารุ: รันมารุผู้นี้จะเป็นคนเบิกทางหนีให้นายท่านเองขอรับ!
โนบุนากะ: ล้มเลิกเสียเถอะ ทำไปก็เปล่าประโยชน์ ข้าน่ะรู้จักมิตสึฮิเดะดีที่สุด
รันมารุ: การรวมดินแดนอยู่ตรงหน้าท่านแล้วนะขอรับ! นายท่านจะมาตายจากไปไม่ได้นะขอรับ!
โนบุนากะ: ช่างมันปะไร… ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเจ้าก็กินข้าวราดน้ำร้อนซะสิ
รันมารุ: ข้าวราดน้ำร้อน…หรือขอรับ?
โนบุนากะ: เป็นอาหารมื้อสุดท้ายของโนบุนากะผู้นี้ไงล่ะ รันมารุ เจ้าเองก็มากินเป็นเพื่อนข้าซะ เจ้าจะยอมทำตามข้าหรือไม่?
รันมารุ: ขอรับ!
โนบุนากะ: จุดไฟเผาวัดงั้นเรอะ… เริ่มเหมือนข้าขึ้นมาแล้วสินะ
หลังจากนั้นโนบุนากะกับรันมารุก็กินข้าวราดน้ำร้อนในวัดฮอนโนจิที่ถูกวางเพลิง พอโนบุนากะกินเข้าไปก็บอกว่าคืนก่อนรบที่*โอเกฮาซามะก็กินข้าวราดน้ำร้อนแบบนี้เหมือนกัน พอถามรันมารุว่าอร่อยไหม รันมารุก็ตอบทั้งน้ำตาว่าอร่อย จนโนบุนากะหัวเราะว่าจะร้องไห้ทำไม เพราะการตายในสนามรบคือเกียรติของนักรบนะ
*2 การสู้รบที่โอเกฮาซามะ (桶狭間の戦い) เป็นการรบกันระหว่างโอดะ โนบุนากะกับอิมากาวะ โยชิโมโตะ ไดเมียวผู้ครองแคว้นสึรุกะและแคว้นโทโทมิ (ปัจจุบันคือพื้นที่ส่วนหนึ่งของจ.ชิซึโอกะ) ในขณะนั้นไม่มีใครคิดว่าโนบุนากะจะชนะเพราะมีความต่างกันทางด้านกำลังพลและประสบการณ์ แต่โนบุนากะก็เอาชนะได้จนกลายเป็นที่รู้จัก
รันมารุ: เหตุใดท่านมิตสึฮิเดะถึงก่อกบฎกันนะ…
โนบุนากะ: นั่นน่ะ…แปลว่ามิตสึฮิเดะตั้งใจจะรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นด้วยตัวเองน่ะสิ
รันมารุ: รวมดินแดนหรือขอรับ!?
โนบุนากะ: เหล่าขุนพลผู้มีชีวิตอยู่ในยุคเซ็นโกคุล้วนมี “ดินแดน” ของตนต่างกันออกไป รันมารุ ข้าจะเล่าเรื่องราวของเหล่ายอดขุนพลที่สู้รบมากับข้าและมุ่งหวังถึงดินแดนในนิยามของตนให้เจ้าฟังเอง…
จากตอนนี้ไปจะเป็นเรื่องเล่าของโนบุนากะที่พูดถึงเหล่ายอดขุนพลแบบรายคน เริ่มจากคนแรกคือโมริ โมโตนาริ เขาจะออกมาเล่าประวัติคร่าวๆ ของตัวเองว่าเป็นไดเมียวผู้ปกครองพื้นที่แถบชูโกคุ เพราะหัวดีจึงมีคนเรียกว่าผู้ปกครองที่หาตัวจับได้ยาก ที่ผ่านมาตัวเองใช้อุบายต่างๆ แก้ไขเรื่องราวทุกอย่างมาตลอด แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็มีความลำบากใจที่ตัวเองแก้ไขไม่ได้เช่นกัน
ความลำบากใจของโมโตนาริคือเรื่องลูกชายทั้งสามคนของตัวเอง ได้แก่ ทากาโมโตะที่เป็นลูกชายคนโต ไม่รู้ว่าเพราะตัวเองเลี้ยงมาแบบเข้มงวดหรือเปล่า ถึงได้โตมาเป็นคนที่แคร์สายตาคนรอบข้างอยู่เสมอและเป็นคนเก็บกด
โมโตฮารุที่เป็นลูกชายคนรองเกิดมาพร้อมกับพละกำลังมหาศาลจนได้ชื่อว่าเป็นขุนพลผู้ห้าวหาญ แต่ก็ทำอะไรไม่ค่อยคิดจนไม่เหมาะจะเป็นผู้ครองแคว้น
ส่วนทากาคาเกะลูกชายคนสุดท้องโตมาท่ามกลางพี่ๆ สองคนที่เป็นแบบนั้นถึงสมดุลดีทั้งด้านบู๊และบุ๋น แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะดูถูกเหยียดหยามคนอื่นซะอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นเรื่องที่โมโตนาริลำบากใจอยู่คือเรื่องที่ว่าจะวางใจยกผืนดินอันกว้างใหญ่นี้ให้ลูกทั้งสามปกครองต่อได้หรือไม่นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้เองโมโตนาริจึงเรียกลูกชายทั้งสามคนมาประชุมกันเรื่องอนาคตของตระกูลโมริ บทพูดของลูกชายแต่ละคนที่ทักทายพ่อก็จะต่างกันไปตามคาร์อย่างที่โมโตนาริอธิบายข้างบน คือคนโตจะดูเงียบๆ เก็บตัว คนรองจะดูห้าวๆ ส่วนคนเล็กจะดูทะนงตัว
โมโตนาริบอกเหล่าลูกชายว่าจะเรียกมาคุยเรื่องอนาคตของตระกูล ว่าตระกูลโมริของเราเป๊นไดเมียวที่ปกครองพื้นที่ชูโกคุเกินครึ่ง แต่เพราะนี่คือยุคที่มีสงครามกลางเมือง อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้
โมโตนาริ: ทากาโมโตะ เจ้าคิดว่าสิ่งสำคัญที่จะทำให้ตระกูลเราอยู่รอดต่อไปได้คืออะไรล่ะ?
ทากาโมโตะ: …ข้าคาดเดาไม่ถูกเลย
โมโตนาริ: เจ้าเดาสุ่มเอาก็ได้ ฉะนั้นลองตอบข้ามาเสียเถอะ
ทากาโมโตะเงียบไม่ตอบอะไร โมโตนาริเห็นดังนั้นจึงยกลูกธนู 3 ดอกขึ้นมาแล้วแจกให้ลูกคนละดอกแล้วลองหักดู โมโตฮารุกับทากาคาเกะรับไปแล้วหักได้ง่ายๆ แต่ทากาโมโตะบอกว่าตัวเองไร้เรี่ยวแรงจนไม่อาจหักได้ลง ทำเอาพ่ออย่างโมโตนาริต้องเชียร์แล้วเชียร์อีกว่าให้พยายามจนกว่าจะหักได้ แต่สุดท้ายก็หักไม่ได้อยู่ดี
โมโตฮารุไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อต้องเอาลูกธนูมาให้หักเล่นด้วย ทากาคาเกะที่ยุ่งกับการวางแผนรบก็ไม่รู้ว่าพ่อจะสื่ออะไรจนจะขอตัวออกไปก่อน แต่คราวนี้โมโตนาริผู้เป็นพ่อยื่นลูกธนูให้ลูกๆ คนละ 3 ดอกแล้วดูว่าหักได้ไหม แต่เพราะโมโตฮารุมีพลังช้างสารจึงหักได้ง่ายๆ แล้วถามว่าท่านพ่ออยากวัดกำลังพวกเราพี่น้องเหรอ
ทากาคาเกะที่หัวไวเดาว่าพ่อคงอยากจะสอนว่าคนเราสามารถหักธนูดอกเดียวได้ง่ายๆ แต่ถ้าเป็นสามดอกคงหักด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ แต่เพราะพี่ทากาโมโตะหักไม่ได้แม้แต่ดอกเดียว ส่วนพี่โมโตฮารุก็ดันหักได้ทั้งสามดอกซะอย่างนั้น แม้ว่าท่านพ่อจะอยากสื่อว่าหากพวกเราสามพี่น้องร่วมแรงร่วมใจกันคงปกป้องตระกูลโมริต่อไปได้ แต่ผลลัพธ์ออกมาผิดจากที่คิดไว้
โมโตนาริ: เป็นอย่างที่ทากาคาเกะเอ่ยนั่นแหละ…
โมโตฮารุ: อะไรเล่า ท่านบอกมาตรงๆ ก็ได้แท้ๆ
ทากาโมโตะ: ขอบพระคุณท่านพ่อที่ใส่ใจคนไม่ได้ความอย่างข้าด้วยขอรับ ข้าไม่ได้มีความกล้าหาญเหมือนโมโตฮารุ ไม่ได้ชาญฉลาดอย่างทากาคาเกะ ที่ท่านพ่อยกตระกูลให้ข้าสืบทอดเพียงเพราะข้าเป็นลูกชายคนโต แต่หากท่านพ่อไม่ว่าอะไร ข้าก็อยากยกให้น้องชายคนใดคนหนึ่งเป็นผู้สืบทอดแทนข้านะ
โมโตนาริ: พูดบ้าๆ น่า! ข้าตัดสินใจยกตระกูลให้เจ้าดูแลเพราะเจ้าเป็นเจ้านะ! ในยุคที่คนในครอบครัวต่างฆ่าฟันกันเองด้วยความโลภอันน่ารังเกียจ สายสัมพันธ์ของครอบครัวก็เป็นสิ่งที่ถูกลบเลือนไป ข้าถึงคิดว่าในยุคสงครามกลางเมืองเช่นนี้ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดคือสายสัมพันธ์ของครอบครัวยังไงล่ะ…
นอกจากนี้แล้วโมโตนาริก็เอ่ยชมลูกชายคนโตว่าจริงๆ ทากาโมโตะเป็นคนที่มีความอ่อนโยน มีใจที่เป็นห่วงคนอื่นถึงคิดจะยกตระกูลให้น้องดูแล เพราะอย่างนี้ทากาโมโตะถึงเหมาะเป็นผู้นำตระกูลโมริคนปัจจุบัน แล้วถามลูกชายคนรองกับคนเล็กว่าโอเคกับการตัดสินใจของพ่อไหม
โมโตฮารุอยากใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่คิดจะสืบทอดตระกูลที่เป็นหน้าที่ยุ่งยากวุ่นวายอยู่แล้ว ทากาคาเกะก็ไม่อยากรับผิดชอบทำหน้าที่นี้อย่างสุดความสามารถเหมือนกัน ถึงจะดูไร้ความรับผิดชอบ แต่โมโตฮารุจะขอสนับสนุนพี่ด้านพละกำลัง ส่วนทากาคาเกะจะสนับสนุนด้านการวางกลยุทธ์เอง
ได้ยินอย่างนั้นโมโตนาริก็เบาใจว่าพวกลูกชายเติบโตมาอย่างดีกว่าที่คิด และปิดท้ายด้วยการที่ตนบรรยายว่าแม้จะอยู่ในยุคเซ็นโกคุ แต่ก็ไม่ได้คิดจะรบกับใครเพื่อรวมผืนดินแว่นแคว้นให้เป็นหนึ่ง เพราะสำหรับโมโตนาริแล้วลูกชายทั้งสามคนถือเป็นผืนดินของตนเองนั่นเอง
เรื่องราวตอนนี้เป็นของโชกุน อาชิคางะ โยชิเทรุ อย่างที่ทราบกันว่าหลังสงครามโอนินเริ่มในปีค.ศ.1467 ตระกูลอาชิคางะที่ตีแย่งตำแหน่งกันเองตีกันจนบ้านเมืองเสียหาย อำนาจต่างๆ ของโชกุนตระกูลอาชิคางะเลยอ่อนลงแล้วพวกไดเมียวตามแคว้นต่างๆ เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โยชิเทรุที่อยู่ในตระกูลอาชิคางะได้ขึ้นมาเป็นโชกุนคนที่ 13 ในปีค.ศ.1546 ซึ่งอำนาจหลายๆ อย่างก็ยังไม่หวนคืนมาสู่มือโชกุนอยู่ดี
เรื่องราวในเกมเริ่มที่ฉากโยชิเทรุกำลังเขียนบันทึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของตัวเอง มีใจความว่า “ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง รัฐบาลบาคุฟุเสียอำนาจไปจนโชกุนเป็นได้เพียงของประดับที่ไร้กำลัง แม้ข้าจะปรารถนาให้รัฐบาลบาคุฟุกลับมามีอำนาจและหยุดสงครามกลางเมืองนี้ลง ทว่าความปรารถนานั้นคงไม่อาจเป็นจริงได้…”
แต่ในขณะที่โยชิเทรุกำลังเขียนบันทึกอยู่นั้น ข้ารับใช้ก็มาแจ้งว่าทัพของตระกูลมิโยชิบุกใกล้เข้ามาแล้ว แต่โยชิเทรุไม่ได้กระตือรือร้นที่จะหนีแล้วเขียนบันทึกต่อ ข้ารับใช้เห็นท่าทางโยชิเทรุที่เป็นแบบนั้นก็รีบเร่งให้โยชิเทรุรีบหนีไป เพราะทหารที่ประจำที่นี่มีไม่เยอะ คงสู้ไม่ไหว โยชิเทรุจึงวานให้ข้ารับใช้หยิบดาบเตรียมไว้ให้ เพราะถึงเวลาเข้าตาจนจริงๆ ตัวเองจะเป็นคนลุกไปสู้กับศัตรูเอง จากนั้นจึงเขียนบันทึกต่อ
โยชิเทรุระบุไว้ในบันทึกว่าหากบันทึกนี้ไม่โดนเผาทิ้งไปเสียก่อนแล้วมีใครมาเจอเข้า ถึงตอนนั้นตัวเองคงไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เพราะฉะนั้นก็อยากบันทึกถึงหลักฐานการมีอยู่ของชายที่ชื่อว่าอาชิคางะ โยชิเทรุไว้ มีใจความว่าตอนเด็กๆ ตัวเองร่างกายอ่อนแอ วันๆ ได้แต่นอนซมอยู่กับพื้นบ้าน ขนาดหมอยังบอกว่าอายุไม่ยืนหรอก ถึงจะเกิดมาในทายาทตระกูลโชกุน แต่ก็สาปแช่งตัวเองที่ไม่ได้ความ
จุดเปลี่ยนของชีวิตโยชิเทรุมาจากการที่เขาได้พบกับอาจารย์สอนดาบของตระกูลที่ชื่อว่าสึกาฮาระ โบคุเด็น เพราะอาจารย์คอยฝึกสอนโยชิเทรุโดยไม่คิดว่าตนเป็นคนป่วย โยชิเทรุดีใจที่มีคนทรีตตัวเองแบบคนทั่วไปเลยตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อตอบรับความคาดหวังของอาจารย์ให้จงได้ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร่างกายที่เคยขี้โรคกลับมามีแรงแข็งขัน จากที่หมอเคยบอกว่าคงมีอายุอยู่ถึงแค่สิบปี ก็มีปีที่สิบเอ็ดจนได้ และในปีนั้นเองเขาก็ได้รับตำแหน่งโชกุนต่อจากพ่อ
ในเมื่อโยชิเทรุได้เป็นโชกุนแล้ว ภารกิจของเขาคือการกู้สถานะและอำนาจของโชกุนที่ตกต่ำลงให้กลับมาเป็นดังเดิม และหยุดสงครามกลางเมืองให้ได้เร็วที่สุด แต่นับจากนั้นมาแต่ละวันก็ไม่เคยสงบเลย เพราะต้องก่อสงครามกับตระกูลมิโยชิที่จ้องจะชิงอำนาจของตระกูลอาชิคางะไป แต่พอยิ่งสู้คนรอบตัวก็มีแต่จะตายมากขึ้น การสู้รบเองก็กินเวลายาวนานจนโยชิเทรุเริ่มไม่เข้าใจแล้วว่าตัวเองต่อสู้ไปเพื่ออะไรกันแน่ จนโยชิเทรุตระหนักรู้ว่าการสู้รบกันไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรอก
สุดท้ายแล้วใครจะเป็นคนรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นได้ จะเป็นคนตระกูลทาเคดะหรืออุเอสุงิ หรือโอดะ โนบุนากะที่เริ่มมีไพร่พลเพิ่มขึ้น ถึงตัวเองจะนำพาสันติสุขมาสู่ผืนดินนี้ไม่ได้ แต่ก็หวังว่าคนที่รวมดินแดนจะนำพาสันติสุขมาสู่ประเทศได้ ลงชื่อโชกุนรุ่นที่ 13 แห่งรัฐบาลบาคุฟุ อาชิคางะ โยชิเทรุ
เมื่อลงชื่อในบันทึก ทหารของตระกูลมิโยชิก็บุกเข้ามาถึงที่ โยชิเทรุไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องจับดาบมารบราแบบนี้เลย เมื่อจับดาบขึ้นมาโต้กลับทหารของศัตรูก็เอ่ยว่าข้าจะกลายเป็นอสูรในที่แห่งนี้ ใครอยากเดินทางไปนรกก็ก้าวออกมาข้างหน้าเสีย แล้วคนที่ตัดหัวตนไปให้แม่ทัพศัตรูได้ก็ช่วยไปบอกแม่ทัพด้วยว่า “ผู้ที่รวมผืนดินเป็นหนึ่งได้จงเป็นแสงส่องสว่างในยามโกลาหล จงตั้งใจมองดูวิถีแห่งโชกุนอาชิคางะ โยชิเทรุเสียเถอะ!”
พอถึงตรงนี้จะเป็นเสียงบรรยายถึงทฤษฎีหนึ่งที่มีคนกล่าวไว้ ว่าโยชิเทรุได้รับสืบทอดวิชาดาบมาจากอาจารย์จนฟาดฟันทหารของศัตรูที่มาล้อมตนได้ พอดาบทื่อก็หยิบดาบเล่มใหม่ที่ปักอยู่ที่พื้นมาสู้ต่อจนฆ่าศัตรูได้ราวๆ 30 คน อันเป็นวาระสุดท้ายที่สมกับสมญานามโชกุนนักดาบ
เรื่องตอนนี้เปิดมาที่การบรรยายว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม ปีเอโรคุที่ 4 (ค.ศ.1561) มีการรบรากันระหว่างทาเคดะ ชินเง็น เจ้าแคว้นไค กับอุเอสุงิ เคนชิน เจ้าแคว้นเอจิโกะ ที่คาวานากาจิมะ (ปัจจุบันคือพื้นที่ในจ.นางาโนะ) ซึ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะครั้งนี้เป็นการรบกันในพื้นที่นี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว
ฝ่ายที่มีบทพูดก่อนคือทาเคดะ ชินเง็น เขาดูลมที่พัดแรงในสนามรบแล้วพูดกับตัวเองว่านี่ก็รบกับเคนชินไปสามรอบแล้วแต่ไม่เคยตัดสินแพ้ชนะกันได้สักที แต่คราวนี้ที่เป็นครั้งที่สี่นี่แหละจะรบชนะให้จงได้เลย
ฝั่งอุเอสุงิ เคนชินเองก็สังเกตได้ถึงกลิ่นของลมและการเคลื่อนตัวของเมฆ จึงคาดเดาว่าพรุ่งนี้คงมีหมอกลง แต่ขณะที่คิดอยู่นั้นก็มีทหารมาแจ้งว่ากองทัพของชินเง็นบุกมาถึงปราสาทไคซึแล้ว เคนชินได้ยินดังนั้นก็ใจเย็นเพราะว่านี่เป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้แล้ว ถ้าอีกฝ่ายทำตามที่ตัวเองคาดการณ์ไว้ ยามที่ตัดสินแพ้ชนะได้คงอยู่ไม่ไกล
เนื่องด้วยเนื้อเรื่องตอนนี้จะเน้นถึงการวางแผนรบเพื่อหาทางรับมืออีกฝ่ายสลับกันไปมา ฉากจึงตัดกลับมาที่ชินเง็นได้รับรายงานจากทหารว่าตอนนี้ทัพของเคนชินประจำอยู่ที่ภูเขาไซโจ ซึ่งอยู่ใจกลางพื้นที่ที่ตัวเองครอบครอง ชินเง็นไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายเลือกไปตั้งทัพพักแรมอยู่ในจุดอันตรายแบบนั้น และเพราะจับทางอีกฝ่ายไม่ได้จึงคิดว่าน่าจะเป็นกับดัก ขอให้ทัพตัวเองประจำอยู่จุดเดิมไปก่อน
กลับไปที่ฝั่งเคนชินที่ดูหัวเราะชอบใจเมื่อคิดว่าชินเง็นคงสับสนน่าดูว่าทำไมตัวเองถึงทำแบบนี้ ในเมื่อภูเขาไซโจที่ตัวเองอยู่นั้นถูกล้อมรอบด้วยกองทัพชินเง็นทั้งสี่ทิศ แต่ถึงจะเป็นชินเง็นที่วางแผนรบมาหลายปีก็คงไม่เข้าใจการกระทำนี้อยู่ดี เพราะตัวเองคิดว่าการพากองทัพของตัวเองมาอยู่ในพื้นที่ศัตรูที่แม้แต่พวกตัวเองก็หาทางหนีไม่ได้ กองทัพจะมีความสามัคคีมากขึ้นโดยอัตโนมัติ พอไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากรบกับศัตรูแล้ว ความหวาดกลัวก็จะหายไปเอง อยากให้ชินเง็นล้างคอรอไว้เลย เพราะทัพตัวเองตอนนี้แกร่งมากจริงๆ
ชินเง็นประจำทัพอยู่ที่ปราสาทไคซีหลายวันก็ไม่เห็นวี่แววว่าเคนชินจะเคลื่อนทัพลงเขามาเลย ทันใดนั้นเองชินเง็นเห็นนกหัวขวานบินผ่านมาแล้วนึกได้ว่านกหัวขวานเป็นนกที่จะเจาะต้นไม้แล้วรอกินพวกแมลงใต้เปลือกไม้ที่ตกใจเสียงเจาะ ถ้าทัพตัวเองทำแบบนกหัวขวานบ้างก็น่าจะเวิร์ก คือให้แบ่งทัพออกเป็นสองทัพย่อย ทัพหลักให้อยู่ที่ฮาจิมันบาระ ส่วนทัพรองให้ไปบุกโจมตีทัพเคนชินจากด้านหลัง ว่าง่ายๆ คือให้ทัพรองต้อนทัพเคนชินลงเขามาอยู่ที่ฮาจิมันบาระ แล้วทัพหลักจะไปรอล่วงหน้าเพื่อที่ว่าถ้าทัพเคนชินโผล่มาแล้วจะรอตีจากด้านล่างได้เลย
ในคืนนั้นเองเคนชินสังเกตเห็นว่ามีควันลอยขึ้นจากปราสาทไคซึมากกว่าปกติ เลยคาดการณ์ได้ว่าชินเง็นตั้งใจจะลอบโจมตีทัพตัวเองยามดึก แน่นอนว่าเคนชินไม่ปล่อยให้ทัพชินเง็นทำแบบนั้นได้ เลยสั่งให้ทุกคนในกองทัพเคลื่อนพลลงจากภูเขาด้วยเสียงที่เบาที่สุด
จนเวลาล่วงเลยไปถึงวันที่ 10 กันยายนในปีเดียวกัน เป็นวันที่มีหมอกหนาลงปกคลุมพื้นที่คาวานากาจิมะ ชินเง็นบ่นว่าหมอกหนาจนมองไม่เห็นอะไรได้รับแจ้งจากทหารว่ามีทัพม้าของเคนชินปรากฏขึ้นอีกฟากหนึ่งของหมอก อีกฝ่ายเคลื่อนทัพแบบก้นหอยแล้วจะเข้ามาโจมตีทัพหลักของชินเง็น ทำให้ทหารฝั่งชินเง็นเกิดหวั่นใจขึ้นมา แต่ชินเง็นบอกว่าถ้าทัพหลักเราต้านทหารอีกฝ่ายจนกว่าทัพรองจะมาเสริมได้ก็โอเค ฉะนั้นตอนนี้ก็ให้ปกป้องทัพหลักจนกว่าทัพเสริมจะมาถึง
เคนชินสั่งให้พลทหารทั้งหมด 13,000 คนเคลื่อนพลบุกโจมตีทันที ส่วนชินเง็นที่ได้แต่ตั้งรับรอทัพรองก็ได้รับรายงานมาเพิ่มว่ามีทหารม้าเพียงคนเดียวกำลังมุ่งบุกโจมตีมาที่ใจกลางทัพหลัก คนที่บุกมาก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นเคนชินนั่นเอง เมื่อเห็นเคนชินที่อาจหาญกล้าบุกเข้ามาคนเดียว ชินเง็นถึงกับออกปากชมแม้เป็นศัตรูว่าเป็นถึงแม่ทัพแต่ก็กล้าบุกเข้ามาเองขนาดนี้เชียว
เมื่อเคนชินทราบตำแหน่งของชินเง็นแล้วก็บุกเข้าไปโจมตีทันที แต่ชินเง็นก็รับการโจมตีนั้นไว้ได้ทัน
เคนชิน: ชินเง็น! ข้าไม่ปล่อยให้เป็นไปดังใจเจ้านึกหรอก!
ชินเง็น: ข้าน่ะ…จะมาตายในที่แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ!
เคนชิน: คติพจน์ของข้าคือการตายไปกับความเที่ยงธรรมและไม่อาจอยู่ได้หากไร้ความเที่ยงธรรม! ข้าไม่มีทางยอมรับคนอย่างเจ้าที่บุกรุกแคว้นอื่นเพื่อสนองความต้องการของตัวเองเป็นแน่!
ชินเง็น: เหอะ คิดอะไรตื้นๆ… นี่มันยุคสงครามกลางเมือง! ผู้ที่แข็งแกร่งเป็นฝ่ายช่วงชิง ส่วนผู้ที่อ่อนแอก็ตายไป! มันก็เรื่องแค่นี้ไม่ใช่หรือไง!
เคนชิน: เพราะเป็นยุคสงครามกลางเมือง ผู้ที่แข็งแกร่งถึงควรปกป้องทุกคนต่างหาก!
ชินเง็น: จะปกป้องทุกคนได้ก็ต้องมีกำลัง! หากไร้ซึ่งกำลัง พล่ามถึงความเที่ยงธรรมไปก็ไร้ความหมาย!
เคนชิน: ชินเง็น เจ้าต้องการอะไรกันแน่?
ชินเง็น: ดินแดน… ข้าต้องการพลังอันแข็งแกร่งพอที่จะรวบรวมดินแดนนี้ได้
เคนชิน: แม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ได้จากการทำลายชีวิตผู้อื่นน่ะหรือ?
ชินเง็น: แม้คนทั้งโลกจะเป็นศัตรูกับข้า แต่ข้าก็จะยืนอยู่บนจุดสูงสุดให้จงได้ บนจุดสูงสุดนั้นมีทิวทัศน์ที่มีเพียงผู้ยืนอยู่บนจุดนั้นจะมองเห็นได้…ข้าอยากเห็นทิวทัศน์นั้นไงล่ะ
เคนชิน: ช่างละโมบโลภมากซะเหลือเกินนะ
ชินเง็น: เจ้าควรบอกว่ามันคือการเตรียมใจต่างหาก
เคนชิน: คุยกันมากกว่านี้ไปก็ไร้ค่าแล้ว!
ว่าแล้วเคนชินก็เงื้อดาบขึ้นฟาดฟันชินเง็นต่อ แต่ชินเง็นกลับไม่หยุดบทสนทนาลงที่เท่านี้
ชินเง็น: เคนชิน! เจ้าต่อสู้ไปเพื่ออะไรกัน!?
เคนชิน: เพื่อผดุงความเที่ยงธรรม!
ชินเง็น: จะผดุงความเที่ยงธรรมได้นั้นต้องมีกำลัง! หากต้องการกำลังก็มีแต่ต้องช่วงชิงมาเท่านั้น!
เคนชิน: หากผดุงความเที่ยงธรรมได้โดยไม่ต้องช่วงชิงใครทั้งสิ้น การสู้รบก็คงหมดไปแล้วล่ะ!
ชินเง็น: เจ้าคิดว่าในยุคสงครามกลางเมืองจะมีวันนั้นจะมาถึงรึ?
เคนชิน: ต้องมีอย่างแน่นอน!
ชินเง็น: อึก… เจ้าเป็นคนแรกเลยที่ไล่ต้อนข้าได้ถึงขนาดนี้
เคนชิน: เจ้าเองก็เป็นคนเดียวที่ทำให้ข้าเอาจริงขนาดนี้เช่นกัน ชินเง็น
ชินเง็น: หากสู้รบกับเจ้า ข้าคงนำทุกสิ่งเข้าปะทะเจ้าได้สินะ
เคนชิน: หากสู้รบกับเจ้า ข้าคงปะทะได้อย่างสุดกำลังเลยสินะ
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังปะทะกันอย่างดุเดือด พลทหารคนหนึ่งของเคนชินก็มารายงานว่าทัพรองของชินเง็นกลับมาถึงสมรภูมินี้แล้ว ได้ยินดังนั้นเคนชินจึงสั่งให้กองทัพของตนถอนตัวออกจากการรบนี้ทันที
ชินเง็น: ช้าก่อน! เจ้าจะไม่ตัดสินแพ้ชนะกับข้ารึ?
เคนชิน: คงมีวันที่ข้าได้ปะทะกับศัตรูที่ต่อสู้กันอย่างสมน้ำสมเนื้ออย่างเจ้าวนมาเป็นแน่แท้ ไว้มารบกันใหม่โดยเดิมพันด้วยชีวิตเถิด…
ชินเง็นฟังคำเคนชินแล้วรู้สึกถูกใจที่เคนชินเป็นพวกคลั่งการสู้รบ เป็นชายที่ทำให้ตนประหลาดใจเสียจริง หากได้เกิดมาเจอกันในยุคที่ไม่ใช่สงครามกลางเมืองเช่นนี้ อาจจะได้เป็นมิตรกันก็ได้
ส่วนตรงนี้ไม่มีในเกมแต่มีแถมให้ เขาว่ากันว่าสุดท้ายการรบกันระหว่างสองคนนี้ก็ไม่มีใครแพ้หรือชนะแบบชัดเจนอยู่ดี อย่างการรบครั้งนี้ก็มีคนนับว่าช่วงแรกของสงครามเป็นชัยชนะของเคนชิน แต่ช่วงครึ่งหลังที่ชินเง็นมีทัพรองมาช่วยก็ถือเป็นชัยชนะของชินเง็นไป
ย้อนกลับมาที่ฉากในองก์แรก โนบุนากะได้เล่าเรื่องราวของยอดขุนพลทั้งหลายให้รันมารุฟังไป และสรุปว่าขุนพลแต่ละคนล้วนมี “ดินแดน” ต่างกันออกไป อย่างของโมโตนาริคือครอบครัว โยขิเทรุคือสันติสุข ชินเง็นคือพละกำลัง เคนชินคือความเที่ยงธรรม ไม่ว่าใครก็ต่อสู้เพื่อไขว่คว้าดินแดนนั้นมาทั้งนั้น ถือเป็นยุคสมัยที่ยอดเยี่ยมยุคหนึ่งเลยทีเดียว
ขณะที่โนบุนากะหวนนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ที่ผ่านมา ไฟก็ลามมาจนห้องที่ตัวเองกับรันมารุพำนักอยู่แล้ว รันมารุเห็นผู้เป็นนายยังนิ่งไม่ไหวติงก็เป็นห่วง ถึงโนบุนากะจะดูเตรียมใจตายไว้แล้วแต่รันมารุก็อยากให้รีบหนีไปอยู่ดี แต่โนบุนากะก็ยังคงจะอยู่ในห้องที่ไฟเริ่มลามเข้ามา เขากล่าวขอบคุณรันมารุที่คอยเป็นลูกน้องที่ดีมาตลอด และขอฝากทุกอย่างที่เหลือไว้ด้วย
โนบุนากะ: มาแล้วรึ
มิตสึฮิเดะ: นายท่าน… มิตสึฮิเดะเองขอรับ
โนบุนากะ: ไม่นึกเลยนะว่าตัวตั้งตัวตีในการก่อกบฎครั้งนี้จะเสนอหน้ามาถึงที่เลย… เจ้าสั่นกลัวอยู่หรือมิตสึฮิเดะ… เหตุใดเจ้าจึงก่อกบฎเช่นนี้ล่ะ?
มิตสึฮิเดะ: เพื่อให้ประเทศสงบสุข หากนายท่านได้ครองดินแดนนี้เมื่อใด แดนอาทิตย์อุทัยนี้จะกลับกลายเป็นนรกขอรับ *การวางเพลิงที่ภูเขาฮิเอย์และการกวาดล้างกลุ่มอิกโกะ… สิ่งที่นายท่านทำมาจนถึงตอนนี้คือเป็นเพียงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยใช้ชื่อบังหน้าว่าการรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นขอรับ ข้าอยากทำให้ผืนแผ่นดินนี้กลับไปดังแบบที่ควรจะเป็น
*1 เป็นการเผาวัดและศาลเจ้าของโนบุนากะที่ทำให้มีนักบวชล้มตายกว่า 3,000 คน
โนบุนากะ: นั่นคือเหตุผลที่เจ้าก่อกบฎรึ?
มิตสึฮิเดะ: ขอรับ
โนบุนากะได้ยินแล้วก็ดูผิดหวัง เขาเอ่ยถามมิตสึฮิเดะว่าตลอดเวลาที่ได้อยู่เคียงข้างกันมา มิตสึฮิเดะตามืดบอดมองไม่เห็นอะไรเลยเหรอ แต่มิตสึฮิเดะยังยืนยันว่าต้องหยุดการกระทำอันป่าเถื่อนของโนบุนากะไว้ให้ได้
โนบุนากะ: เจ้าโง่! ฟังข้านะมิตสึฮิเดะ ที่ข้าเป็นอสูรและได้ชื่อว่าจอมมารฟ้าที่ 6 ก็เพื่อประเทศนี้ เพื่อให้ข้าเป็นผู้หยุดความขัดแจ้งที่มีมาตลอดร้อยกว่าปีด้วยมือของข้าเอง หน้าที่ของข้าคือการปราบคนชั่วที่มีอยู่ทั่วแดนอาทิตย์อุทัยและทำให้ผืนแผ่นดินนี้สงบสุข
มิตสึฮิเดะ: เช่นนั้นแล้วศัตรูของนายท่านถือเป็นคนชั่วทั้งหมดเลยหรือ? ท่านกล้าพูดหรือไม่ว่าเหล่าชาวบ้านที่ตายไปเพราะเข้ามาพัวพันกับสงครามนั้นเป็นคนชั่วน่ะ!
โนบุนากะ: ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ล้วนแต่ต้องมีผู้เสียสละทั้งสิ้น
มิตสึฮิเดะ: ข้ายอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้หรอก! นายท่านกำลังทำผิดอยู่จริงๆ นั่นแหละ!
โนบุนากะ: มิตสึฮิเดะ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็สานต่อจากข้าเสียสิ แล้วก็ปกครองผืนแผ่นดินนี้ซะ
มิตสึฮิเดะ: ปกครองแผ่นดิน…ข้าเนี่ยนะ?
โนบุนากะ: เออ ท้ายที่สุดวัดฮอนโนจิก็จะมอดไหม้ ผู้ที่รู้ว่าข้าจะดับสูญคือเจ้า มิตสึฮิเดะ หากเจ้าจะสังหารข้าก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ อย่าได้ลังเลไปหน่อยเลย นี่ก็ถือเป็นโชคชะตาเช่นกัน
มิตสึฮิเดะ: โชคชะตา?
โนบุนากะอธิบายว่าหลังจากนี้ประเทศนี้จะเข้าสู่ยุคที่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก แล้วกองทหารประเทศแถบยุโรปอันเกรียงไกรคงบุกมาโจมตีประเทศเรา ศัตรูจะไม่ใช่สเกลแค่รบกันเองในประเทศแต่จะเป็นระดับโลก เพราะฉะนั้นจะให้คนในชาติเรามารบกันเองต่อๆ ไปไม่ได้ ประเทศนี้จำเป็นต้องมีวีรบุรุษที่รวมผืนแผ่นดินนี้ให้เป็นหนึ่งเดียวให้ได้ ซึ่งคนคนนั้นไม่ใช่ตัวโนบุนากะเอง แต่อาจจะเป็นมิตสึฮิเดะ ฮิเดโยชิ หรืออิเอยาสึก็ได้
มิตสึฮิเดะบอกว่าตัวเองเป็นคนที่มีบาปใหญ่หลวงจากการก่อกบฎ ถ้าใครจะเป็นคนได้ครองแผ่นดินนี้ก็ขอให้เป็นฮิเดโยชิหรืออิเอยาสึดีกว่า แต่โนบุนากะอธิบายเสริมว่า “หากโลกนี้เป็นเวทีการแสดง ข้ากับเจ้าก็เป็นเพียงผู้แสดง*ละครเคียวเง็น มีหน้าที่เพียงเชื่อมเรื่องราวจนกว่าตัวเอกจะปรากฏเท่านั้นแหละ”
*2 เป็นละครที่ไว้เล่นคั่นการแสดงละครโน (能)
มิตสึฮิเดะค้านที่โนบุนากะยกให้ตัวเองเป็นแค่คนเชื่อมเรื่องราว แต่โนบุนากะอยากให้มิตสึฮิเดะนึกคำตัวเองที่ว่าจะทำให้ประเทศนี้กลับไปเป็นแบบที่ควรเป็น แปลว่าโนบุนากะก็หมดหน้าที่แล้ว จากนั้นก็เป็นการนึกย้อนว่าที่ผ่านมาตัวเองได้มิตสึฮิเดะช่วยไว้จนมาถึงจุดนี้ได้ อย่างในการรบที่คาเนงาซากิก็ได้มิตสึฮิเดะช่วยชีวิตไว้ มิตสึฮิเดะเป็นขุนพลที่รบได้ดีเยี่ยมเสมอมาจริงๆ
มิตสึฮิเดะเองก็บอกว่าคนที่ช่วยตัวเองไว้ในจังหวะเฉียดตายที่วัดฮงกันจิก็คือโนบุนากะเช่นกัน คนที่ทำให้นักรบพเนจรอย่างตนได้กลายเป็นเจ้าของที่ดินก็คือโนบุนากะ เพราะอย่างนั้นถ้าเป็นไปได้ก็อยากจบชีวิตลงกับโนบุนากะในที่แห่งนี้
โนบุนากะ: มิตสึฮิเดะ… เจ้าตั้งใจจะทำเช่นนี้แต่แรก…
มิตสึฮิเดะ: …ขอรับ
โนบุนากะ: เจ้าโง่เอ๊ย แม้ข้าจะมีคำที่อยากเอื้อนเอ่ยกับเจ้าอีกไม่น้อย…
มิตสึฮิเดะ: แต่ต้องลาจากกันแล้วขอรับ
โนบุนากะ: เช่นนั้นแล้วมาแสดงละครเป็นครั้งสุดท้ายกันเถิด
มิตสึฮิเดะ: ใช้เวทีการแสดงเป็นวัดฮอนโนจิในกองเพลิง… ช่างงดงามเสียจริงขอรับ
ฉากตัดไปบทบรรยายว่ากบฎวัดฮอนโนจิอันเป็นเหตุการณ์ใหญ่ในประวัติศาสตร์ยุคเซ็นโกคุก็ได้จบลง เมื่อข่าวการตายของโนบุนากะแพร่ไปตามพื้นที่ต่างๆ ก็ส่งผลกระทบกับเหล่าขุนพลทั้งหลายเป็นอย่างมาก ทำให้ความโกลาหลในประเทศนั้นทวีคูณยิ่งขึ้น
ในวันที่ 2 เดือนมิถุนายน ปีเทนโชที่ 10 (ค.ศ.1582) โทกุกาวะ อิเอยาสึ ผู้เป็นพันธมิตรกับโนบุนากะ จะเดินทางไปหาโนบุนากะที่เกียวโต พวกตัวเองเลยมาพำนักอยู่ที่เมืองซาคาอิ จ.โอซาก้า แต่ยังไม่ทันได้เจอหน้าก็ได้ข่าวเรื่องที่ว่ามิตสึฮิเดะก่อกบฎฆ่าโนบุนากะในวัดฮอนโนจิซะอย่างนั้น อิเอยาสึที่เคารพรักโนบุนากะได้ยินแล้วก็ยอมไม่ได้จึงอยากเดินทัพไปเกียวโตล้างแค้นให้โนบุนากะทันที
ฮอนดะ ทาดาคัตสึ บริวารคนสนิทของอิเอยาสึค้านการกระทำที่บุ่มบ่ามของผู้เป็นนาย เพราะที่มากันตอนนี้มีแค่เหล่าบริวาร ไม่มีกำลังพอจะไปสู้มิตสึฮิเดะหรอก แต่อิเอยาสึก็ยังเถียงหัวชนฝาว่าจะไปแก้แค้นศัตรูให้ได้ แม้ว่าจะแลกด้วยชีวิตก็จะสังหารมิตสึฮิเดะให้ได้ จนทาดาคัตสึต้องดึงสติแรงๆ ด้วยการบอกว่าชีวิตของท่านไม่ใช่ของท่านคนเดียว (เพราะถ้าเจ้าแคว้นตายไปลูกน้องก็อยู่กันไม่ได้) ถ้ายืนกรานจะไปให้ได้ ทาดาคัตสึก็เตรียมใจคว้านท้องตัวเองไว้แล้ว ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็จะหยุดอิเอยาสึให้ได้ เพราะงั้นอิเอยาสึช่วยฟังที่ตัวเองพูดทีเถอะ
เมื่ออิเอยาสึใจเย็นลงเรื่องจะบุกเดี๋ยวนี้ก็เปลี่ยนเรื่องมาวางแผนกันว่าหลังจากนี้จะเอายังไง เพราะมิตสึฮิเดะก็ฉลาดคงจะปิดทางหนีของอิเอยาสึไว้หมดแล้ว ถ้าหาทางกลับไม่ได้ตัวเองก็คงโดนสังหารไปด้วย แต่ทาดาคัตสึเสนอว่าให้เดินทางข้ามแคว้นอิงะแล้วนั่งเรือจากแคว้นอิเสะไปยังแคว้นมิคาวะ (ตระกูลโทคุกาวะครองแคว้นมิคาวะ) ถ้าอธิบายคร่าวๆ ด้วยแผนที่ปัจจุบัน คือนั่งเรือจากเบอร์ 24 (จ.มิเอะ) ข้ามฟากไป 23 (จ.ไอจิ) อีกทั้งแคว้นอิงะตอนนี้ไม่มีคนครองแคว้น ถือเป็นพื้นที่ป่าเถื่อน ถ้าเดินทางเส้นทางนี้ ต่อให้เป็นมิตสึฮิเดะก็ไม่น่าจะตามมาได้
ในขณะเดียวกันอิเอยาสึก็สงสัยว่าด้วยจำนวนคนที่มีไม่เยอะของตัวเองจะพอฝ่าแดนเถื่อนไปได้จริงเหรอ แต่ทาดาคัตสึออกปากว่าจะปกป้องอิเอยาสึให้ได้แม้ต้องแลกด้วยชีวิต
ฉากก็ตัดมาระหว่างเดินทางอย่างยากลำบาก เพราะนอกจากทางจะไกลแล้วยังต้องคอยสู้กับพวกคนในพื้นที่ป่าเถื่อนรอดักปล้นหรือจะมาสังหารตนระหว่างทางอีก ซึ่งก็มีตอนที่อิเอยาสึออกไปสู้ด้วยจนเจ็บตัวแล้วทาดาคัตสึคอยดูแล ทำแผลให้เจ้านาย อิเอยาสึบอกว่าถ้าทาดาคัตสึมาคนเดียวอาจจะสบายกว่านี้ก็ได้ แต่ทาดาคัตสึที่เป็นลูกน้องดีเด่นก็พูดให้กำลังใจเจ้านายว่าอีกไม่นานจะเห็นทะเลของอิเสะแล้ว
พูดยังไม่ทันขาดคำก็มีโจรบุกมาเรื่อยๆ แต่คราวนี้ทาดาคัตสึจะเป็นคนสู้เองคนเดียว พอสู้เสร็จอิเอยาสึก็ดูถอดใจเพราะล้ามากแล้ว อยากให้ทาดาคัตสึทิ้งตัวเองไว้ที่นี่ ซึ่งก็ไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นเพราะพวกอิเอยาสึเดินทางมาถึงที่หมายพอดี ทำให้อิเอยาสึสาบานว่าจะรวมแผ่นดินผืนนี้ให้เป็นปึกแผ่น นำพาสันติสุขมาสู่ประเทศชาติ และเพื่อการนั้นแล้วจะขอยืมแรงทาดาคัตสึด้วย
หลังจากที่อิเอยาสึข้ามผ่านแคว้นอิงะมาได้เกือบ 20 ปีก็เกิดสงครามครั้งใหญ่ที่ชื่อว่าสงครามเซกิกาฮาระ เป็นสงครามระหว่างตระกูลอิเอยาสึกับตระกูลโทโยโทมิและจบที่ตระกูลอิเอยาสึได้รับชัยชนะ แต่หลังจากนั้นอีก 15 ปีคนฝั่งตระกูลโทโยโทมิก็บุกมาล้อมปราสาทโอซาก้า ซึ่งการล้อมโอซาก้านี้จะแบ่งเป็นสองช่วงคือเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงฤดูหนาว (เดือนพฤศจิกายน) และครั้งที่สองเกิดขึ้นช่วงฤดูร้อน (เดือนเมษายน)
ฉากเปิดจากฝั่งอิเอยาสึที่ในขณะนั้นอายุประมาณ 70 ปีต้นๆ พูดพึมพำกับตัวเองว่าการรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นอยู่อีกไม่ไกลแล้ว เห็นหรือเปล่าทาดาคัตสึว่าพอมีเจ้าอยู่เคียงข้างแล้วอุ่นใจแค่ไหน ที่พูดอย่างนี้เพราะในปีค.ศ. 1615 ที่เกิดเหตุการณ์นี้ทาดาคัตสึได้เสียชีวิตไป 5 ปีแล้วด้วยวัยชรา (ทาดาคัตสึอายุอ่อนกว่าอิเอยาสึ 6 ปี) แม้ทาดาคัตสึจะไม่ได้อยู่เห็นช่วงที่อิเอยาสึได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินด้วยตาตัวเอง แต่อิเอยาสึก็เชื่อว่าทาดาคัตสึคงจะเฝ้ามองตัวเองอยู่บนท้องฟ้า
ตัดมาที่ฝั่งซานาดะ ยูคิมูระ ขุนพลที่รบให้กับฝั่งตระกูลโทโยโทมิบอกกับเหล่าทหารว่าพวกเรามีจำนวนคนน้อยกว่าฝั่งอิเอยาสึถึงสามเท่า คงจะคิดสินะว่าพวกเราไม่มีทางชนะได้ แต่ยังไงตัวเองก็คิดว่าชนะ เพราะตลอดเวลา 14 ปีที่ตัวเองโดนอิเอยาสึขังไว้ที่คุโดยามะหลังจากแพ้ในสงครามเซกิกาฮาระตอนปี 1600 ก็คิดถึงเรื่องการล้มอิเอยาสึอยู่ตลอดเลย ถ้าทุกคนจะกลัวที่เราคนน้อยกว่าก็ไม่แปลก แต่ยูคิมูระมาที่นี่เพื่อเอาชนะ ถ้าใครเชื่อมั่นในตัวเองก็อยากให้มาสู้ไปด้วยกัน
กลับมาที่อิเอยาสึได้รับรายงานว่าไดเมียวจากทั่วประเทศอย่างคนตระกูลดาเตะ อุเอสุงิ มาเอดะก็มาร่วมสงครามด้วยไพร่พลกว่าสามหมื่นคน อิเอยาสึพิจารณาว่าตอนฤดูหนาวที่ผ่านมาก็โดนยูคิมูระเล่นงานมาบ้างเหมือนกัน แต่ยังไงซะถึงยูคิมูระจะรบเก่งแต่ตอนนี้คงทำอะไรตัวเองไม่ได้อยู่ดี
ฉากตรงนี้จะตัดสลับๆ กันระหว่างอิเอยาสึกับยูคิมูระที่ต่างฝ่ายต่างพร้อมรับมือกัน ถึงอิเอยาสึจะมองว่ายูคิมูระทำอะไรไม่ได้แต่ก็จะไม่ประมาท ส่วนยูคิมูระก็ปลุกขวัญกำลังใจกองทหารให้ลุกขึ้นสู้ด้วยการบอกว่าเป้าหมายคือหัวอิเอยาสึเท่านั้น
ยูคิมูระตีกองทัพฝั่งอิเอยาสึบางส่วนจนแตกและบุกเข้ามาถึงตัวทัพหลักที่มีอิเอยาสึได้สำเร็จ ทหารฝั่งอิเอยาสึสั่งให้พลปืนยิงต้านทัพยูคิมูระไว้ไม่ให้เข้าถึงตัวอิเอยาสึ แต่อิเอยาสึก็สั่งให้หยุดยิงเพราะทหารฝั่งยูคิมูระก็สะบักสะบอมกันหมดแล้ว มีแค่ทหารไม่กี่คนคงทำอะไรมากไม่ได้หรอก แล้วไปเจรจากับยูคิมูระว่าผลแพ้ชนะมันเห็นกันโต้งๆ อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องสู้ต่อเพื่อตัดสินอะไรแล้วยอมถอนทัพไปซะดีๆ
ยูคิมูระ: ช่างน่าขันนัก! ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะเสียหน่อย! ตราบใดที่ใจดวงนี้ยังคงเต้นอยู่ ข้าจะนำหอกของข้าแทงทะลวงเจ้า!
อิเอยาสึ: แม้จะสังหารข้าแต่ก้ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอก ประเทศนี้เป็นของโทคุกาวะเรียบร้อยแล้ว
ยูคิมูระ: แม้จะเป็นเช่นนั้น! แต่นักรบย่อมดิ้นรนจนถึงที่สุด!
อิเอยาสึประเมินแล้วว่าคุยไปก็คงไม่รู้เรื่อง เลยได้ปะทะกับยูคิมูระ (ด้วยความที่เป็นเนื้อเรื่องเกม) ระหว่างปะทะก็มีการพูดคุยกันอยู่ดี
อิเอยาสึ: ฮึ่ย! เหตุใดเจ้าถึงต้องต่อต้านข้าจนถึงขั้นต้องทำเช่นนี้ด้วย?
ยูคิมูระ: เพื่อผู้คนที่ตายไปโดยฝากความหวังไว้กับข้า!
อิเอยาสึ: อย่างนั้นข้าก็แพ้เจ้าไม่ได้หรอก! มีผู้คนมากมายตายไปโดยฝากความฝันของดินแดนนี้ไว้กับข้า… มีพวกพ้องคนสำคัญจำนวนมากที่ตายไปเพื่อให้ตัวข้ามีชีวิตอยู่… ถ้าเป็นการทำเพื่อปิดฉากยุคสงครามกลางเมืองแล้วละก็ ข้าจะเป็นอสูรให้เอง!
ยูคิมูระ: มีผู้คนที่ไม่อาจมีชีวิตอยู่ใด้ในยุคสมัยที่เจ้าสร้างขึ้น! หากจากนี้ไปต้องมีผู้คนจำนวนมากต้องทุกข์ทรมาน ข้าก็จะสังหารเจ้าในที่นี้เดี๋ยวนี้แหละ!
อิเอยาสึ: ทำไมถึงต้องมาขัดขวางข้าอยู่ร่ำไปด้วยนะ… ข้าคิดผิดจริงๆ ที่ทำให้เจ้าเป็นศัตรูของข้า
ยูคิมูระ: ที่ข้ากลับสู่สมรภูมิรบก็เพราะมีเจ้าไงล่ะ อิเอยาสึ หากเจ้าไม่คิดจะช่วงชิงดินแดนตระกูลโทโยโทมิ ข้าก็คงไม่มาร่วมรบหรอก
อิเอยาสึ: จะบอกว่าข้าเป็นคนเรียกเจ้าเข้าสู่สมรภูมิหรือไงกัน?
ยูคิมูระ: เออ ตลอด 14 ปีมานี้ข้ามีชีวิตโดยคิดเพียงแต่การจะเอาชนะเจ้าให้ได้… เจ้าคือผู้สร้างซานาดะ ยูคิมูระคนนี้ขึ้นมา!
อิเอยาสึ: …นี่ข้าเผลอสร้างสัตว์ประหลาดน่ารำคาญออกมาหรือนี่
ยูคิมูระ: …ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วไงล่ะ
อิเอยาสึ: หรือไม่ก็เป็นโชคชะตาที่นำพาให้เกิดเหตุนี้สินะ
ยูคิมูระทำให้อิเอยาสึเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำได้ เขาขู่ว่าถ้าอิเอยาสึขยับตัวแม้แต่นิดเดียวก็จะเอาหอกแทงให้ตายซะ แต่อิเอยาสึก็ยังพูดคำเดิมว่าต่อให้ตัวเองตายไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ต่อให้ยูคิมูระดิ้นรนแค่ไหนกระแสของยุคสมัยก็จะเหมือนเดิม ยังไงซะพวกนักรบที่มีชีวิตอยู่แค่ในสนามรบอย่างยูคิมูระก็ทิ้งไว้กับยุคสมัยเก่าๆ
ยูคิมูระรู้อยู่แล้วว่าสักวันบทบาทของนักรบจะหมดลงในสักวัน เพราะอย่างนั้นจึงอยากให้อิเอยาสึสาบานว่าตนจะสร้างประเทศที่ให้คนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดาหรือนักรบได้อยู่อย่างสงบสุขและเท่าเทียมกันให้จงได้ และอย่าลืมว่าสันติสุขที่ได้มานั้นอยู่บนกองเลือดของเหล่านักรบจำนวนมากที่ไหลริน ก่อนจะฝากแดนอาทิตย์อุทัยให้อิเอยาสึดูแล เพราะต่อให้อิเอยาสึจะดูสู้ไม่ได้ แต่รอบๆ ก็ยังมีทหารของอิเอยาสึอย่างพลปืนล้อมอยู่ สุดท้ายยูคิมูระจึงถูกพลปืนอิเอยาสึยิงตาย
ละครอ่านบทเรื่องตำนานยอดขุนพลเซ็นโกคุจึงจบลงที่ฉากอิเอยาสึสาบานตนว่าจะสร้างประเทศที่สงบสุขและเท่าเทียมอย่างที่ยูคิมูระได้ฝากเจตนารมณ์ไว้ก่อนตาย และยกธงประกาศว่าตระกูลโทคุกาวะเป็นฝ่ายชนะ
หลังจบการแสดงย่อมมีงานเลี้ยงปิดท้าย เรื่องเปิดมาที่ฮิคาริมุ่ยหน้าถามเพื่อนทุกคนว่าตัวเองต้องเป็นตัวแทนกล่าวเปิดงานจริงๆ เหรอ จุนนะบอกว่าฮิคาริแสดงเป็นโนบุนากะก็ถือว่าเหมาะกับหน้าที่นี้แล้ว เพื่อนคนอื่นก็เชียร์กันยกใหญ่แต่ไม่ทำให้ฮิคาริหายเขินอยู่ดี
ฮิคาริ: …ตำนานยอดขุนพลเซ็นโกคุ…
คาโอรุโกะ: คางุระฮัง! องอาจกว่านี้หน่อยสิ! พูดให้เสียงดังฟังชัดไปเลยค่ะ!
ฮิคาริ: …! ฉลองให้กับความสำเร็จของตำนานยอดขุนพลเซ็นโกคุ! ชนแก้ว!
หลังจากชนแก้ว มายะกับคลอดีนก็เชิญชวนให้เพื่อนๆ กินขนมที่มีแรงบันดาลใจจากเคนชินกับชินเง็น อันได้แก่ไดฟุกุเคนชินกับป๊อปคอร์นชินเง็น คาโอรุโกะเห็นขนมจำนวนมากก็มีความสุขจนฟุตาบะต้องขัดก่อนว่าอย่ากินคนเดียวจนหมดล่ะ แต่พอได้กินจริงๆ คาโอรุโกะก็ต้องขัดกลับว่าฟุตาบะฮังนั่นแหละที่ต้องเหลือให้เรากินด้วย
มาฮิรุเห็นภาพที่เพื่อนๆ กินขนมกันเฮฮาแล้วหัวเราะ จุนนะเลยทักว่าแปลกดีเหมือนกัน เพราะเมื่อกี้พวกเราทุกคนยังเป็นขุนพลที่รบรากันเองอยู่เลย แต่ตอนนี้ขุนพลเหล่านั้นมานั่งล้อมวงกินขนมด้วยกันซะแล้ว
มาฮิรุ: ถ้าพวกขุนพลมาเห็นพวกเราตอนนี้เข้าคงตกใจน่าดูเลยเนอะ
จุนนะ: ฉันมีบทพูดของยูคิมูระที่ชอบอยู่แหละ ที่บอกว่า “สันติสุขที่ได้มานั้นอยู่บนกองเลือดของเหล่านักรบจำนวนมากที่ไหลริน”… ที่พวกเราได้ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขแบบนี้ในตอนนี้ ต้องเป็นเพราะมีผู้คนมากมายต่อสู้กันเพื่อสันติสุขแน่เลย
คาโอรุโกะ: นั่นสินะ อิเอยาสึฮังรับเจตนารมณ์ของทุกคนมาแล้วสร้างโลกที่สงบสุขให้ดำเนินต่อมาได้นี่นา
นานะ: อื้อ สำหรับโยชิเทรุแล้ว ดินแดนคือโลกที่สงบสุขล่ะ
มายะ: ขุนพลแต่ละคนก็มีดินแดนของตัวเองต่างกันไปสินะคะ อย่างดินแดนของชินเง็น คือพละกำลังที่จะรวบรวมดินแดนนี้ได้
คลอดีน: ส่วนดินแดนของเคนชิน คือใจอันเที่ยงธรรมที่จะช่วยเหลือผู้อ่อนแอสินะ
ฮิคาริ: ดินแดนของโนบุนากะ คือประเทศญี่ปุ่นที่แข็งแกร่งไม่แพ้ต่างชาติ
คาเรน: ดินแดนของมิตสึฮิเดะซัง คือความยุติธรรม
จุนนะ: ดินแดนของโมโตนาริ คือครอบครัว
มาฮิรุ: ดินแดนของยูคิมูระซัง คือโลกที่เหล่านักรบใช้ชีวิตต่อไปได้
ฟุตาบะ: ดินแดนของทาดาคัตสึคงเป็นอิเอยาสึแหละนะ
คาโอรุโกะ: และดินแดนของอิเอยาสึฮัง คือการสานต่อเจตนารมณ์ของทุกคน และสร้างยุคสมัยที่สงบสุขขึ้นมาสินะ
มาฮิรุ: สันติสุขที่ได้มานั้นอยู่บนกองเลือดของเหล่านักรบจำนวนมากที่ไหลริน…
นานะ: เพราะมีการสู้รบกันมากมาย มีความปรารถนาของคนหลายคนที่สั่งสมกันมา จนทำให้ประเทศนี้สงบสุขได้สินะ
จุนนะ: อืม ที่พวกเราแสดงละครเวทีแบบนี้ได้ ก็อาจเป็นเพราะเหล่าขุนพลเซ็นโกคุก็ได้นะ
คาเรน: พวกเราเองก็ต้องพยายามไม่ให้แพ้เหล่าขุนพลเซ็นโกคุบ้างแล้วสินะ!
ฮิคาริ: อื้อ มาพยายามกันเถอะ โดยมุ่งเป้าสู่ดินแดนของแต่ละคน
ขอขอบคุณทุกท่านที่อาจจะเลือกอ่านเนื้อหาทั้งหมด หรือเลือกอ่านแค่องก์ที่สนใจ ไม่ว่าจะแบบไหนเราก็รู้สึกขอบคุณทั้งสิ้นที่อ่านมาถึงหน้านี้ค่ะ
ที่รอบนี้มาพิมพ์เกร็ดแถมท้ายแบบนี้ เพราะเนื้อเรื่องอีเวนต์คราวนี้ค่อนข้างเฉพาะทางและเนื้อหาก็เหมือนหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ไม่ใช่น้อย เพราะอย่างนั้นส่วนที่อาจจะทำให้ทุกท่านตื่นเต้นขึ้นมานิดหนึ่งเป็นเนื้อเรื่องเสริมของการ์ดแต่ละใบ ที่เป็นพาร์ทเด็กๆ แต่ละคนตีความตัวละครขุนพลแต่ละคนในแบบที่ต่างกันไปค่ะ
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่เราก็มีการ์ดกับตัวแค่คาเรนที่เป็นมิตสึฮิเดะกับมาฮิรุที่เป็นยูคิมูระเท่านั้น (…) ไปลองหาในเว็บต่างๆ ก็มีไม่ครบเลยกลายเป็นว่าคงอธิบายได้แค่ภาพรวมโดยยกตัวอย่างจากเนื้อเรื่องการ์ดที่มีล่ะค่ะ
ปกติแล้วเราจะรู้เรื่องคนคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ได้ก็จากงานวรรณกรรมหรือบันทึกต่างๆ ที่อยู่ในยุคสมัยนั้นๆ ทีนี้ในยุคเซ็นโกคุเป็นยุคสงครามกลางเมืองที่คนรบราฆ่าฟันกันเป็นกิจวัตร เนื้อเรื่องทั้งหมดที่เอามาใช้อ้างอิงในการเขียนเป็นสตอรี่อีเวนต์นี้จึงมาจากบันทึกประจำตระกูลหรือบันทึกส่วนบุคคลเป็นหลัก และแน่นอนที่ขาดไม่ได้คือเรื่องเมาท์ในสมัยนั้นที่ไม่มีใครรู้ว่าจริงแท้แค่ไหน แต่เพราะอยู่ในยุคสงครามบางอย่างมันก็จะหายไป (โดนเผา โดนทำลายต่างๆ) ทำให้เราไม่รู้ที่มาที่ไปของขุนพลบางคน หรือบางคนก็มีเรื่องเล่าเยอะมากจนไม่รู้ว่าจะเลือกตีความจากแหล่งข้อมูลไหน ทำให้เหล่านักเรียนเซโชรอบนี้ต้องเจอโจทย์การตีความที่ต่างกันออกไปค่ะ
อย่างคาเรนที่แสดงเป็นอาเคจิ มิตสึฮิเดะ จะมีประเด็นหลักอยู่ที่ “ทำไมมิตสึฮิเดะถึงทรยศโนบุนากะแล้วก่อกบฎ” รวมถึงข้อมูลที่มีเยอะมากจนไม่รู้ว่าจะเลือกอันไหนมาตีความ ซึ่งมายะจะเป็นคนให้คำแนะนำว่าลองกลับไปอ่านบทดูอีกรอบไหม เพราะบางทีอาจจะมีคำใบ้ซ่อนอยู่ในตัวบทละคร อย่างเช่นตอนคาเรนอ่านแล้วรู้สึกยังไง
คาเรนคิดว่ามิตสึฮิเดะเป็นคนขี้ขลาด เพราะตอนอยู่ต่อหน้าโนบุนากะก็ดูสั่นกลัว คงลังเลว่าจะก่อกบฎไหมจนถึงนาทีสุดท้าย และที่ลังเลก็เพราะโนบุนากะเป็นคนปั้นให้ตัวเองมีวันนี้ได้ ทั้งตัวเองยังพยายามเพื่อโนบุนากะมามาก แต่โนบุนากะดันเปลี่ยนไปเป็นคนทำเรื่องแย่ๆ เพื่อรวมดินแดน ถ้าไม่หยุดโนบุนากะไว้ประเทศคงแย่ ตัวเองจึงต้องเป็นคนหยุดโนบุนากะให้ได้ สรุปคือที่ทำไปเพราะไม่อยากเห็นโนบุนากะที่โหดร้ายอีกต่อไปแล้ว
มายะได้ยินก็บอกว่าคาเรนรู้อยู่แล้วว่าคำใบ้อยู่ที่ฮิคาริ เพราะทุกๆ เรื่องของมิตสึฮิเดะก็มุ่งไปที่โนบุนากะ ถ้าได้รู้ว่าฮิคาริตีความโนบุนากะเป็นแบบไหนก็อาจจะช่วยกำหนดแนวทางตัวละครมิตสึฮิเดะของตัวเองได้ พอคาเรนไปหาฮิคาริ ฮิคาริก็ลังเลเรื่องตีความเหมือนกัน เลยถามคาเรนว่ามองโนบุนากะเป็นยังไง เพราะโนบุนากะก็ถือว่าดังแล้วมีเรื่องเล่าเยอะมากคนหนึ่ง
คาเรนมองว่าโนบุนากะเป็นคนอ่อนโยน เพราะในบทละครโนบุนากะพยายามเพื่อให้ญี่ปุ่นไม่น้อยหน้าประเทศอื่น ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแต่ทำเพื่อทุกคน ถึงได้แสดงเป็นจอมมารเพื่อรวมดินแดนให้เป็นหนึ่งหรือเปล่า แบบเป็นคนที่ยอมให้คนอื่นเกลียดเพียงเพราะจะทำเพื่อทุกคน คงจะทรมานมากเลย ต่อให้ไม่มีใครเข้าใจก็ช่าง แต่จะทำเพื่อทุกคน
ส่วนฮิคาริมองมิตสึฮิเดะว่าเพราะมิตสึฮิเดะเคารพรักโนบุนากะมากๆ ถึงได้พยายามหยุดโนบุนากะมากกว่าที่ก่อกบฎไปเพื่อหวังจะล้างแค้น ถ้าคุยกันดีๆ อาจจะไม่มีการก่อกบฎเกิดขึ้นก็ได้ จากความคิดที่ว่าเป็นศัตรูกันไม่ควรคุยปรึกษาเรื่องตีความบทกัน ก็กลายเป็นว่าเพราะเป็นตัวละครที่ส่งผลให้กันและกัน ถึงจำเป็นต้องคุยเพื่อปรึกษา คาเรนกับฮิคาริถึงหาการตีความในแบบของพวกตัวเองได้
ส่วนของมาฮิรุที่แสดงเป็นซานาดะ ยูคิมูระ เป็นขั้วตรงข้ามกันกับคาเรนตรงที่ยูคิมูระไม่มีประวัติช่วงครึ่งแรกของชีวิตเลย แล้วมามีบทบาทเยอะๆ ก็ตอนการล้อมอุเอดะกับการล้อมโอซาก้าสองฤดู ทำให้มาฮิรุไม่เข้าใจพื้นเพของตัวละครนี้ แล้วการต่อสู้ครั้งสุดท้ายไปสู้ด้วยความคิดแบบไหน คือรู้ว่าเป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญแต่ไม่เข้าใจเลย ในตอนนี้ฟุตาบะจะเป็นคนมาช่วยด้วยการพาเพื่อนไปเปลี่ยนบรรยากาศ
มาฮิรุเล่าเรื่องที่ยูคิมูระโดนขังอยู่ 14 ปีหลังจากสงครามเซกิกาฮาระแล้วอยู่ๆ ก็ออกมารบที่การล้อมโอซาก้า ฟุตาบะเลยจุดประกายว่าจริงๆ เขาเป็นคนที่เจ๋งมากนะ ใช้ชีวิตแร้นแค้นแบบคนไม่มีอะไร แต่กล้าต่อกรกับผู้มีอำนาจที่คุมญี่ปุ่นไว้ได้ บางทียูคิมูระอาจจะรอมาตลอด 14 ปีเพื่อให้ถึงคิวที่พลังของตัวเองจะโดดเด่น อาจจะทำเป็นใช้ชีวิตอดๆ อยากๆ แต่ฝันว่าสักวันจะได้เปล่งประกายในสนามรบหรือเปล่า
มาฮิรุเลยได้คำตอบจากคำพูดฟุตาบะว่าสำหรับนักรบเซ็นโกคุแล้ว สมรภูมิรบคือเวทีการแสดง ที่เตรียมตัวกว่าคนอื่นหลายเท่า รอคิวมาเป็นสิบๆ ปีเพราะจะได้เปล่งประกายกว่าใครนี่เหมือนนักแสดงเลย งั้นการล้อมโอซาก้าคือเวทีการแสดงที่ยูคิมูระรอมาตลอด
ฟุตาบะเสริมว่ากองทัพยูคิมูระใส่ชุดเกราะสีแดงทั้งตัว ก็เคยคิดนะว่าทำไมต้องแต่งตัวให้ดูเด่นด้วย มาฮิรุเลยออกความเห็นว่าชุดเกราะก็เหมือนคอสตูมนักแสดง ที่ใส่ชุดแดงให้เด่นก็แปลว่าอยากเด่นและเปล่งประกายให้มากกว่าใคร เพราะฉะนั้นในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายยูคิมูระรู้สึกสนุกสนานไปกับมัน สำหรับเขาคงเป็นเวทีที่เหมาะเจาะเพราะมีขุนพลทั่วประเทศมารบรากันนั่นเอง
ส่วนที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของอีเวนต์นี้คือการที่เอาบทขุนพลมาเปรียบกับตัวตนของนักแสดงแต่ละคนได้แบบเนียนประมาณหนึ่ง
- จุนนะ-โมโตนาริ เด่นเรื่องปัญญาเหมือนกันทั้งคู่
- นานะ-โยชิเทรุ อยู่ในตำแหน่งสูงสุดที่ไร้อำนาจและหวังว่าอำนาจจะกลับสู่ตนอีกครั้ง ดูถือตนกับทุ่มสุดตัวโดยไม่ยืมมือใคร
- คาเรน-มิตสึฮิเดะกับฮิคาริ-โนบุนากะ ก็มีความสัมพันธ์คล้ายๆ กันตรงที่ต่างส่งอิทธิพลซึ่งกันและกัน คนที่จะช่วยหรือหยุดอีกฝ่ายได้มีแค่เราสองเท่านั้น
- คลอดีน-เคนชินกับมายะ-ชินเง็น ก็เป็นคู่กัดที่ให้เกียรติกัน เป็นคู่แข่งที่สู้ด้วยแล้วสบายใจที่สุด
- คาโอรุโกะ-อิเอยาสึกับฟุตาบะ-ทาดาคัตสึ ก็เป็นนายบ่าวที่เชื่อใจกันมากๆ คอยช่วยเหลือกันและกัน ยิ่งทาดาคัตสึคือฟุตาบะมากตรงที่ทำงานถวายหัวสุดๆ
- มาฮิรุ-ยูคิมูระ ก็เรียนรู้จากความพ่ายแพ้แล้วแปรเปลี่ยนมาเป็นความอดทนรอเพื่อให้เปล่งประกายยิ่งกว่าใคร
อย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่องอีเวนต์นี้ประกอบด้วยข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่อ้างอิงได้ครึ่งหนึ่ง และการตีความตัวละครของเด็กๆ ให้บทสมูทขึ้นอีกครึ่งหนึ่ง ดังนั้นก็สามารถเชื่อ (?) เนื้อหาได้ระดับหนึ่งโดยตระหนักว่าเป็นสิ่งที่ผ่านการตีความมาแล้ว ซึ่งก็เป็นไปได้สูงว่าถ้าไปเจอข้อมูลชุดอื่นจะเจอเนื้อหาที่แตกต่างออกไป ก็เลือกเชื่อและตีความในแบบที่ตนสบายใจกันคงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดล่ะค่ะ (ถ้าพูดมากกว่านี้คืออย่างโนบุนากะนี่มีสื่อบันเทิงเอาไปยำเป็นล้านรูปแบบแล้ว บุคคลในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นจึงมีหลายมุมมองมากจริงๆ)
ปล. ในบรรดาขุนพลเซ็นโกคุทั้งหมดเราชอบดาเตะ มาซามุเนะค่ะ แต่เขาไม่มีบทในเกมนี้เลยแม้แต่น้อย ได้แต่หวังว่าสักวันเกมจะประทานบทท่านดาเตะให้ใครสักคนค่ะ