Skip to main content

“นักเรียนรุ่นที่ 99 เลขที่ 17 โรงเรียนดนตรีเซโช สึยุซากิ มาฮิรุ… มาค่ะ”

 

Tsuyuzaki Mahiru’s Profile
ชื่อ สึยุซากิ มาฮิรุ (露崎まひる, Tsuyuzaki Mahiru)
นักพากย์ อิวาตะ ฮารุกิ (岩田 陽葵, Iwata Haruki)

นางแบบ, นักแสดง, เคยมีผลงานถ่ายมิวสิกวิดีโอ บทของมาฮิรุเป็นงานพากย์ครั้งแรก ทวิตเตอร์ @haruki_iwata

วันเกิด 4 พฤษภาคม
ส่วนสูง 163 เซนติเมตร (ข้อมูลจาก OVA ที่แถมมากับบลูเรย์แผ่นแรก)
สีประจำตัว เขียวน้ำทะเล #61bf99
อาวุธ ไม้บาตอง, กระบอง (Love Judgment), กองทัพแมวซุสดาล
สิ่งที่ชอบ การเล่นบาตอง, มาสคอตแมวซุสดาล (スズダル), การดูเบสบอล, คาเรนจัง, ทำความสะอาดห้อง

สตอรี่ในมายเธียร์เตอร์ของมาฮิรุจะมีที่เจ้าตัวบอกว่า “ว่างจัง ทำความสะอาดห้องดีกว่า” ด้วยนะคะ (ฮา)

สิ่งที่ไม่ชอบ เรื่องเศร้า, การเล่นไพ่อีแก่กินน้ำ (← น่าจะเล่นไม่เก่งละค่ะ)
ของกินที่ชอบ มันฝรั่ง, คาเรนจัง
ของกินที่ไม่ชอบ ถั่วปากอ้า
วิชาที่ถนัด ดนตรี
วิชาที่ไม่ถนัด ไม่มีเป็นพิเศษ คิดว่าน่าจะไม่มีวิชาที่ไม่ถนัดแต่ก็ไม่ได้คะแนนสูงว้าวแบบพวกท็อปๆ ล่ะ

แต่เคยบอกว่าถ้าทุกวิชาคือวิชาดนตรีก็คงดี

สึยุซากิ มาฮิรุ เป็นตัวละครที่ปูมาตั้งแต่ในเวอร์ชันละครเวทีว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่มีนิสัยค่อนข้างประหม่าง่ายและขาดความมั่นใจในตัวเอง (เปิดตัวมาด้วยฉากที่พยายามเขียนคำว่า ‘คน (人)’ บนฝ่ามือแล้วกลืนลงไป วิธีทำให้หายตื่นเต้นของญี่ปุ่นน่ะค่ะ)  แต่เพิ่งมาเฉลยอะไรหลายๆ อย่างในเวอร์ชันมังงะภาคโอเวอร์เจอร์และอนิเมในปี 2018 นี้เอง และอย่างที่พอจะทราบกัน ตัวละครหลักในซีรีส์ Shoujo☆Kageki Revue Starlight ล้วนเป็น ตัวละครแบบกลม (Round Character) กันทั้งสิ้น คือมีมิติ มีจุดดี จุดด้อย มีการคลี่คลายปมความขัดแย้งทั้งภายในและภายนอก ไปจนถึงพัฒนาทั้งด้านบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย และทัศนคติตลอดการดำเนินเรื่อง ตัวละครของมาฮิรุเองก็มีการพัฒนาไปในทิศทางที่น่าสนใจเหมือนกันค่ะ

ครอบครัวสึยุซากิประกอบด้วย พ่อ, แม่, ย่า (ปกติคำว่าย่ากับยายของญี่ปุ่นใช้เป็น おばあちゃん ทั้งคู่ แต่เราเดาว่าเป็นย่าแหละ… อารมณ์แบบแม่ย้ายมาอยู่กับครอบครัวพ่อที่ทำธุรกิจฟาร์มน่ะค่ะ) น้องชายสามคน น้องสาวสองคน แล้วก็มาฮิรุเองค่ะ บ้านเป็นฟาร์มอยู่ที่ฮอกไกโด ครอบครัวอบอุ่นมาก ทว่าความอบอุ่นนี้เองที่เป็นปัจจัยให้เกิดปมความขัดแย้งภายในตัวละครของมาฮิรุ

แถมให้เล็กน้อย สตอรี่ในมายเธียร์เตอร์ของมาฮิรุที่อ่านจดหมายที่ทางบ้านส่งมาให้ จากย่าเป็น ‘สบายดีหรือเปล่า กินอาหารตรงเวลาใช่ไหม’ จดหมายจากน้องชายคนโต ‘ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะดูแลพวกน้องๆ เอง’ (← ในมังงะคนนี้จะบอกว่าจะคอยช่วยงานที่บ้านแทนส่วนของพี่ด้วย) จดหมายจากน้องสาว ‘โตขึ้นหนูอยากเข้าโรงเรียนเซโชเหมือนกันค่ะ’

“…ตายละ แบบนี้พี่สาวต้องพยายามให้มากขึ้นแล้วสิ”

มาฮิรุในวัยเด็กเริ่มสนใจเส้นทางการเป็นนักแสดงเพราะมีโอกาสได้ดูละครเวทีเรื่องหนึ่งทางโทรทัศน์เข้า

“นั่นเรียกว่าละครเวทีจ้ะ”

“ทุกคนต่างก็ร้องเพลง บ้างก็เต้นรำ แล้วก็สวมบทบาทของตัวเองบนเวที… เพื่อส่งมอบความสุขให้แก่คนอื่นน่ะจ้ะ”

“นี่ คุณย่าคะ! หนูเองก็เป็นแบบนั้นได้ใช่ไหมนะ?”

“แน่นอนอยู่แล้วจ้ะ”

“ถ้าเป็นมาฮิรุละก็ ทำได้อยู่แล้วล่ะ”

 

จากนั้นมาฮิรุก็เริ่มฝึกบาตองมาตลอด รวมทั้งได้รางวัลต่างๆ มาพอสมควรด้วยค่ะ

“คุณย่าคะ หนูแสดงเป็นยังไงบ้างคะ?”

“ทั้งเปล่งประกายแล้วก็สุดยอดมากเลยล่ะ… มาฮิรุเป็นเหมือนดาวของย่าเลยล่ะจ้ะ”

ตัวมาฮิรุมีจุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากเปล่งประกายเหมือนกับคนอื่นๆ เริ่มเรียนร้องเพลงและเล่นบาตองเพียงเพราะอยากเห็นรอยยิ้มของคนสำคัญ พยายามอย่างหนักเรื่อยมา ทั้งยังสร้างความหวังให้กับคนอื่นๆ ได้โดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งรับคำแนะนำและมาสอบเข้าโรงเรียนดนตรีเซโชได้ในที่สุด… ทว่าวันที่มาฮิรุเดินทางเข้ามาสอบในตัวเมืองกลับเจอสิ่งที่ทำให้ความมั่นใจที่ตัวเองมีมาตลอดสั่นคลอน เมื่อต้องมาอยู่ท่ามกลางคนที่เปล่งประกาย ก็เริ่มไม่มั่นใจว่าแสงของตัวเองนั้นสว่างเพียงพอจริงๆ หรือเปล่า ถึงขั้นไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าตัวเองจะสามารถเรียนที่โรงเรียนเซโชไหวจริงๆ

เนื้อเพลงท่อนของมาฮิรุในเพลง 私たちの居る理由 พูดถึงความฝันเหมือนกันค่ะ

夢の前では大きく
เมื่ออยู่ต่อหน้าความฝัน ตัวตนของเราช่างยิ่งใหญ่

人の前では小さくなる
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน ตัวตนนั้นกลับเล็กลงเสียอย่างนั้น 

でも本当の私を知りたくて
แต่ฉันก็ยังอยากรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเป็นเช่นไร

いつもその笑顔に憧れていた
เพราะว่าหลงใหลในรอยยิ้มนั้นเรื่อยมา

และท่อนสุดท้ายนั่น… คาเรนจัง!?

ตีความแบบเอาสื่ออื่นมาร่วมด้วยเราว่าหมายถึงตอนที่ 1 ในมังงะโอเวอร์เจอร์แหละค่ะ เป็นตอนที่มาฮิรุเจอกับคาเรนจังครั้งแรก ได้เห็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ มองตรงไปข้างหน้า มุ่งมั่นและปราศจากความลังเลโดยไม่เกี่ยงว่าอยู่ในสถานการณ์ไหน (ตอนสอบปฏิบัติคาเรนทั้งลืมเนื้อเพลง ทั้งเต้นผิดแบบหันไปคนละด้านกับเพื่อนด้วย แต่คาเรนไม่แพนิคเลย… บ้าจริง) เพราะมาฮิรุรู้ว่าตัวเองขาดความมั่นใจ เลยหลงใหลในสิ่งที่ตัวเองไม่มีล่ะค่ะ

ความขัดแย้งภายในตัวเองของมาฮิรุคล้ายๆ กับของมายะตรงที่ ‘คนรอบข้างคาดหวังว่าทำได้’ ต่างกันที่มายะเลือกที่คิดในมุม ‘เพราะคนรอบข้างเชื่อมั่น ตัวเองเลยต้องตอบสนองความคาดหวังนั้น’ แต่ของมาฮิรุจะเป็น… ‘ทั้งที่คนรอบข้างเชื่อมั่น แต่ฉันกลับเปล่งประกายได้ไม่เท่ากับที่ใครๆ คาดหวัง’ และใช้ชีวิตในช่วงหนึ่งปีภายในโรงเรียนเซโชสูญเสียประกายแสงของตัวเองไปทีละน้อย (ถ้าใช้ภาษาวิชาการหน่อยคือ Self-Esteem/Self-Confidence หรือความมั่นใจและความพึงพอใจในตัวเองของมาฮิรุโดนบั่นทอนจากคนมีพรสวรรค์รอบตัวล่ะ… เหมือนเพื่อนร่วมห้องสองคนที่ลาออกไปตอนขึ้นปีสอง) สุดท้ายการได้เป็นที่พึ่งพิงของ ‘ไอโจ คาเรน’ คือสิ่งที่ยืนยันให้มาฮิรุรู้สึกว่าตัวเองยังมีความหมายและยังมีเรื่องที่มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่จะทำได้อยู่ 

อนึ่ง ตอนจัดอันดับในบอร์ดออดิชันครั้งแรกอันดับมาฮิรุสูงกว่าคาเรนจังนะ ← แต่ส่วนตัวคิดว่าอันดับพวกนี้เป็นแค่ตัวเลขคร่าวๆ สามารถขึ้นลงได้ตลอดเวลาล่ะค่ะ เหมือนที่ฟุตาบะบอกกับคาโอรุโกะว่า ‘เหล่านักแสดงละครเวทีต่างขัดเกลาประกายแสงของตัวเองทุกวัน’ ไม่ได้แปลว่าที่หนึ่งจะชนะคนอื่นๆ ได้เสมอ อยู่ที่ปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบด้วย

สิ่งที่มาฮิรุทำคือการกลไกป้องกันตัวเองทางจิตวิทยาที่ชื่อ Fantasy หรือ Day Dreaming ที่เป็นการจินตนาการเรื่องเพ้อฝันเพื่อหลบเลี่ยงความจริง กับ Compensation ที่เป็นการการชดเชยจุดด้อยของตัวเองด้วยการนึกหาข้อดีอย่างอื่นมาทดแทนค่ะ… ในที่นี้คือการคิดว่า ‘ต่อให้ตัวเองไม่ได้เปล่งประกายเท่าคนอื่น’ แต่ก็ยัง ‘มีประโยชน์กับคาเรนจัง’ ล่ะ จริงๆ กลไกการป้องกันตัวเองทางจิตมีอีกหลายชนิดเลย คนเราใช้กันเป็นปกติ อาจจะเลือกใช้คละๆ กันบ้าง (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในหัวข้อ Defense Mechanism) แต่การเลือกใช้วิธีเดียวซ้ำๆ หรือใช้มากเกินไปก็จะเป็นการบิดเบือนความจริงให้สมดุลทางจิตใจไม่เข้าที่เข้าทางได้เหมือนกันค่ะ (← เท่าที่ดูของคาโอรุโกะน่าจะเป็นการหลีกหนี ส่วนฟุตาบะเป็นการเก็บกดเอาไว้ล่ะ)

ซึ่งในอนิเมตอน 3 เองก็มีฉากที่จุนนะบอกให้คาเรน “เลิกรบกวนมาฮิรุได้แล้ว” แต่มาฮิรุพยายามจะตอบอ้อมๆ แอ้มๆ ว่าไม่ได้รบกวนอะไรเลย เต็มใจที่ให้ทำอย่างนี้ แต่โดนขัดด้วยคำว่าจุนจุนจนสติหลุดไปก่อนด้วยล่ะ  

ทว่าพอ ‘คางุระ ฮิคาริ’ เพื่อนสมัยเด็กของคาเรนกลับมาจากลอนดอน… ทำให้เจ้าตัวที่เคยเหลาะแหละกลับมากระตือรือร้นกับการออดิชันสตาร์ไลต์อีกครั้ง มาฮิรุก็รู้สึกเหมือนคอมฟอร์ตโซนและความหมายในการมีตัวตนของตัวเองถูกแย่งไป และเริ่มตั้งแง่กับฮิคาริ… และในตอนนั้นเองสิ่งที่ทำให้มาฮิรุคว้าประกายแสงของตัวเองกลับมาได้คือคำพูดระหว่างการเรวิวกับคาเรนค่ะ

 

“ฉันน่ะไม่จำเป็นแล้วเหรอ?”

“…เอ๋”

“ที่เริ่มร้องเพลง ที่เริ่มเล่นบาตอง… หรือแม้กระทั่งสอบเข้าโรงเรียนนี้เอง ก็เพราะคุณย่าบอกให้ทำเท่านั้นแหละ”

“ฉันน่ะ ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย!”

“ไม่มีความมั่นใจ ไม่มีแม้กระทั่งความสามารถ …ความเปล่งประกายเองก็ด้วย”

“ถ้าไม่มีความเปล่งประกายของคาเรนจังแล้วละก็ ฉันก็คงทำอะไรไม่ได้เลย”

“เพราะงั้นล่ะ…!!”

 

“มาฮิรุจังน่ะ… เปล่งประกายมากอยู่แล้วนะ”

“ฉันน่ะ… ชอบทั้งเพลงที่อบอุ่นของมาฮิรุจัง

ชอบทั้งการเต้นที่เจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์

ทั้งใจดีแล้วก็… มะ… มีชีวะ…”

“มีชีวิตชีวา?” [*]

 

“นั่นแหละ! การแสดงที่มีชีวิตชีวานั่นเองก็ฉันชอบมากเหมือนกัน!

มาฮิรุจังคิดว่าตัวเองไม่มีอะไรเลยงั้นเหรอ? เรื่องนั้นน่ะ นอน-นอน ไม่จริงสักหน่อย! [**] เปล่งประกายมากเลยต่างหากล่ะ!”

“เข้าเรียนที่นี่เพราะมีสิ่งที่อยากเป็นใช่ไหมล่ะ? ที่เข้าร่วมออดิชันก็เพราะอยากเป็นดวงดาวใช่ไหมล่ะ?

มาฮิรุจังเองก็มีอยู่เหมือนกันนี่นา -สตาร์ไลต์- นั่นน่ะ”

 

[*] คำนี้คาเรนบอกว่า 朗らか ล่ะค่ะ แมกซ์คุงบอกว่าหาดูแล้วหมายถึงร่าเริงแจ่มใส มีชีวิตชีวาอะไรพวกนี้ แต่ส่วนตัวรู้สึกว่ามีชีวิตชีวาน่าจะแปลเข้ากับบริบทง่ายกว่า…

[**] คาเรนพูดแค่ ノンノンだよ ล่ะ ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าจะสื่ออะไร (ปกติน้องใช้เวลาปฏิเสธชาวบ้านแบบมีฟิลเตอร์โชเน็นด้วย ฮา) แต่ก็ไม่รู้ว่าจะแปลยังไงให้ไม่ดูแปลเกินแต่คงความเป็นคาเรนไว้ ฮือ

ฉากนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราคิดว่า… คนบางคนที่ดูขาดความมั่นใจในตัวเอง เขาอาจจะมองไม่เห็นประกายแสงของตัวเองจริงๆ ก็ได้ค่ะ และบางทีการพูด ‘ข้อดี’ ของอีกฝ่ายให้เจ้าตัวฟังตรงๆ มันก็มีความหมายกับเขามากกว่าที่เราคิด สุดท้ายการแข่งเรวิวครั้งนั้นกลายเป็นความพ่ายแพ้ที่ทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง และเมื่อได้ดูตัวเองในรายการที่ที่บ้านส่งมาให้อีกครั้งถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองหลงลืมไปคืออะไร…

“มาฮิรุซัง อยากเป็นดาวแบบไหนเหรอจ๊ะ?”

“เอ๊ะ? ดาวเหรอคะ…”

“คงจะเป็นดาวที่อบอุ่น… และสามารถมอบรอยยิ้มให้เหล่าคนสำคัญได้ค่ะ”

สุดท้ายมาฮิรุก็ตัดสินใจจะก้าวไปข้างหน้าและเปล่งประกายด้วยแสงของตัวเองค่ะ ถึงจะยังเป็นห่วงเป็นใยคาเรนและเพื่อนๆ คนอื่นเหมือนเดิม แต่ไม่เอาความมั่นใจในตัวเองไปยึดติดกับใครแล้ว ฉากในเอนดิ้งของมาฮิรุเลยออกมาเป็นแบบนี้ ต่างจากคนอื่นที่การดำรงอยู่ของคาแรคเตอร์เอื้อกัน ทั้งในฐานะเพื่อน คู่แข่ง คนสำคัญ ไม่ก็ของคาเรนกับฮิคาริที่ถึงจะมีบางซีนที่เอื้อกันแต่ก็ยังมีช่วงที่จุดยืนแยกกันอยู่ หรือของนานะในตอนที่ยังแบกรับความโดดเดี่ยวค่ะ

คอมเมนต์กัน!