Skip to main content


มารู้จักขงเบ้งกันเถอะ ?! สำหรับใครที่เคยดูอนิเมะ Paripi Koumei หรือที่รู้จักในนาม ขงเบ้งเจาะเวลามาปั้นดาว น่าจะพอรู้จักขงเบ้งกันอยู่แล้วว่าเป็นใคร แต่ในบทความนี้จะนำทุกท่านไปรู้จักกับตัวตนของขงเบ้งแบบเจาะลึกยิ่งขึ้น ทั้งชีวประวัติและกลศึกต่างๆ ที่น่าสนใจ รวมทั้งเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง เรียกได้ว่าหากอ่านดูบทความนี้จบแล้วย้อนไปดูอนิเมะ Paripi Koumei ซ้ำอีกรอบจะยิ่งอินขึ้นแน่นอน !!

สารบัญเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ขงเบ้งคือใคร 

เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้จักชื่อนี้กันอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนที่ติดตามอ่านสามก๊ก คงจะไม่มีใครไม่รู้จักยอดกุนซือแห่งจ๊กก๊กคนนี้ หรือแม้แต่คนทั่วๆไปที่ไม่ได้ติดตามสามก๊กอย่างจริงจังก็คงเคยได้ยินชื่อนี้ผ่านหูกันมาบ้าง เนื่องจากขงเบ้งถือเป็นตัวละครที่ดำเนินเรื่องหลักๆของสามก๊ก และมักถูกนำไปใช้อ้างอิงตามหนังสือบริหารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารคน หรือธุรกิจก็ตาม 

แต่สำหรับใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลย แล้วพึ่งมารู้จักตอนดูอนิเมะ Paripi Koumei เราก็จะขอกล่าวถึงตัวละครขงเบ้งคร่าวๆไว้ ณ ที่นี้ ก่อนจะเข้าเรื่องของกลยุทธ์หลักๆจากสามก๊กที่ขงเบ้งใช้ และมีส่วนเกี่ยวพันในอนิเมะ Paripi Koumei

ขงเบ้ง หรือชื่อจริงคือ จูกัดเหลียง เดิมทีเป็นชาวบ้านทั่วๆไป อาศัยอยู่ที่เชิงเขาโงลังกั๋ง ดำรงชีวิตด้วยการเป็นชาวนา แต่ด้วยความที่เป็นคนที่ฉลาดปราชญ์เปรื่อง รอบรู้ศาสตร์ต่างๆอย่างกว้างขวาง ทำให้ขงเบ้งเป็นที่รู้จัก และยอมรับจากบรรดานักปราชญ์หลายท่านรวมถึงยอดนักปราชญ์ในยุคนั้นอย่าง สุมาเต๊กโชที่เป็นอาจารย์ของขงเบ้งเอง

ด้วยความฉลาด รอบรู้นี้เอง ชื่อของขงเบ้งก็ได้ไปถึงหูเล่าปี่ตามคำแนะนำของ ชีซี เพื่อนร่วมสำนักสุมาเต๊กโช และกุนซือคนก่อนของเล่าปี่ที่หลงกลอุบายของโจโฉเป็นเหตุให้ต้องจากเล่าปี่ไปอยู่กับโจโฉแทน จากทั้งที่เคยได้ยินชื่อและคำกล่าวยกย่องขงเบ้งจากสุมาเต๊กโช ประกอบกับคำแนะนำจากชีซี เล่าปี่จึงได้ออกเดินทางไปเพื่อเชิญขงเบ้งมาเป็นกุนซือของจ๊กก๊ก ซึ่งขงเบ้งก็ได้ยอมสละชีวิตชาวนาอันเรียบง่ายมาเข้าพวกกับเล่าปี่ เนื่องจากเห็นในความพยายามของเล่าปี่ในการมาขอร้องตนเอง และเชื่อว่าด้วยทัศนคติและอุปนิสัยของเล่าปี่นี่แหละ ที่เหมาะสมกับการเป็นผู้นำที่จะสร้างความสงบสุขแก่แผ่นดินจีนในยุคสามก๊ก 

คำเตือน!! เนื้อหาในส่วนต่อไปนี้มีการสปอยเนื้อเรื่อง Paripi Koumei 

กลยุทธ์ที่พบในเรื่องสามก๊ก และความเกี่ยวข้องกับส่วนต่างๆของ Paripi Koumei หลักๆเท่าที่จับความได้ ตามไทม์ไลน์ของเนื้อเรื่องสามก๊ก 

กลยุทธ์เผชิญศึกที่ 7  มีในไม่มี  : ปรากฏใน Paripi Koumei ตอนที่ 3

เริ่มต้นเรื่องสามก๊กจากสมัยปลายราชวงศ์ฮั่นที่สมัยพระเจ้าเลนเต้ปกครองเมืองโดยขาดความชอบธรรมอีกทั้งปล่อยให้ขันทีทั้ง 10 ทำการปกครองบ้านเมืองแทน โดยเหล่าขันทีทั้ง 10 ก็ได้โกงกินบ้านเมือง รีดไถชาวบ้าน จนเกิดความเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า บรรดาชาวบ้าน นำโดย เตียวก๊ก จึงได้ก่อตั้งกองกำลังปกป้องตนเองขึ้นมาต่อสู้กับกลุ่มขันที ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่ากลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองนั่นเอง ช่วงที่มีการต่อสู้กันระหว่างขันที และโจรโพกผ้าเหลือง ก็ได้มีเหล่าทหารผู้กล้าจำนวนมากออกมาอาสาปราบกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองและหวังจะกอบกู้ราชวงศ์จากพวกเหล่าขันทีกังฉิน นอกจากทหารผู้กล้าที่เราเคยได้ยินกันดีอย่างโจโฉ เล่าปี่ ซุนเกี๋ยน อ้วนเสี้ยว ตั๋งโต๊ะแล้ว ใน Paripi Koumei กล่าวถึงทหารอีกนายหนึ่งนั่นคือ ไทสูจู้ ผู้ซึ่งอาสาที่จะนำสารขอความช่วยเหลือจากขงหยงไปให้เล่าปี่ เพื่อให้มาช่วยต่อสู้กับโจรโพกผ้าเหลืองที่กำลังปิดล้อมเมืองของตัวเองไว้ 

กลยุทธ์ที่ไทสูจู้ใช้ในการฝ่าวงล้อมของโจรโพกผ้าเหลืองออกไปนั้น ใน Paripi Koumei เรียกว่า กลยุทธ์เผชิญศึกที่ 7  มีในไม่มี (Create something from nothing จาก Thirty-Six Stratagems) หรือกล่าวคือการหลอกให้อีกฝ่ายเชื่อว่าตนเองมีบางอย่างทั้งๆที่ไม่มีอะไรอยู่เลย (ในทางกลับกันด้วย หรือก็คือ หลอกอีกฝ่ายว่าตัวเองไม่มีอะไร แต่จริงๆคือมีของอยู่นั่นเอง) ซึ่ง ไทสูจู้ ได้ออกมายิงธนูใส่เป้านอกตัวเมือง สร้างความสงสัยให้กลุ่มโจรโพกผ้าเหลือง แต่เมื่อยิงจนลูกธนูหมดก็กลับเข้าเมืองไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาทำเช่นนี้ติดกันอยู่ 2 วัน พอวันที่ 3 จากความสงสัยของกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองก็กลายเป็นความเมินเฉยและไม่สนใจ ไทสูจู้จึงอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอ ควบม้าออกจากเมืองไปหาเล่าปี่ ทางฝ่ายโจรโพกผ้าเหลืองที่ตามมาบ้างก็โดนยิงตาย บ้างก็ไม่กล้าตามต่อเพราะเห็นฝีมือในการยิงธนูในเป้าของไทสูจู้ใน 2 วันที่ผ่านมาก็เกิดความเกรงกลัว ถือเป็นการหลอกศัตรูได้อย่างมีชั้นเชิงมาก 

ซึ่งในเรื่อง Paripi Koumei ตอนที่ 3 นั้น ขงเบ้ง ทราบดีว่าการที่จะให้ เอโกะ ร้องเพลงแสดงในช่วงเวลาเดียวกับที่วง Jet Jacket แสดงอยู่นั้น ย่อมไม่เกิดผลดีต่อเอโกะเอง ขงเบ้งจึงหลอกว่าเครื่องเสียงของฝั่งตนมีปัญหา (หลอกให้อีกฝ่ายคิดว่าฝั่งตัวเองมีปัญหา ทั้งๆที่ไม่มีอะไรเพื่อให้อีกฝ่ายตายใจ) จึงขอเลื่อนการแสดงออกไปก่อน จนเมื่อวง Jet Jacket แสดงใกล้จบ และตัวขงเบ้งเองรู้ดีว่าทางฝั่งนักร้องของวง Jet Jacket จะไม่สามารถแสดงเพลงที่เป็นซิกเนเจอร์ของวงเพื่อดึงผู้ชมต่อไว้ได้เนื่องจากต้องเก็บเสียงไว้ใช้ในการแสดงวันถัดไป จึงเริ่มให้เอโกะแสดงนั่นเอง นอกจากจะเป็นการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสแล้ว ยังชี้ให้เห็นถึงความที่ขงเบ้งเป็นคนที่หูตากว้างไกลรับรู้ข้อมูลและข้อจำกัดต่างๆของอีกฝ่าย แล้วนำมาปรับใช้ให้ฝั่งตัวเองได้เปรียบอีกด้วย

คนดูเริ่มย้ายจากเวที Jet Jacket ไปหาเอโกะแทน

ต่อมาในการหลอกให้คาเบะไทจินมาเป็นแรปเปอร์ซัพพอร์ตเอโกะ ขงเบ้งก็ได้ใช้กลยุทธ์ตามตำราพิชัยสงครามซุนวู (The Art of War) ที่ว่า “จงใช้ผลประโยชน์เพื่อล่ออีกฝ่ายให้เดินตามที่เราต้องการ” 

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าตัวคาเบะไทจินในตอนที่พบกับขงเบ้งนั้นต้องการอะไรกันแน่ จากการปูเรื่องมาเราจะเห็นว่าตัวคาเบะไทจินเองเดิมทีเรียกได้ว่าเป็นคนแปลกแยกในสังคม ไม่ค่อยมีเพื่อนจนได้ลองไปเข้าวงการแรปแล้วพบว่าตัวเองทำได้ดี จนเป็นที่ยอมรับในวงการแรปเปอร์และแฟนๆ และได้เข้าแข่งแรปตัวต่อตัวหลายครั้ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปความสนุกที่เคยมีก็ถูกลืมเลือน กลายเป็นความกดดันเพราะความความคาดหวังจากคนรอบข้างเข้ามาแทนที่และความเครียดสะสมทำให้เขาเป็นโรคกระเพาะขึ้นมาอีกเขาจึงได้ละทิ้งความสามารถและลาจากวงการไปอย่างเงียบๆทั้งๆที่ยังอยากจะแรปอยู่ ดังนั้นเป้าหมายหลักที่ขงเบ้งต้องทำคือการทำให้คาเบะไทจินสามารถกลับขึ้นเวทีได้โดยไม่มีโรคทั้งทางกายและทางจิตใจมารบกวนนั่นเอง

การแรปตัวต่อตัวของคาเบะไทจินและขงเบ้ง

ช่วงตอนนี้เราจะได้เห็นนิสัยขงเบ้งอย่างชัดเจนที่ว่าเป็นคนชอบท้าทายและลองดีกับผู้อื่น อย่างการไปพูดท้าทายให้คาเบะไทจินให้ขึ้นมาแข่งแรปกับตัวเองก็พูดว่า “อย่างคาเบะไทจินในตอนนี้มาแรปแข่งกับมือสมัครเล่นเช่นตัวเองก็คงแพ้อยู่ดี” ฟังดูอาจจะไม่ได้อะไรมาก แต่ถ้าในสายตาของคนที่เคยเป็นมืออาชีพแล้วโดนพูดแบบนี้ใส่ถือว่าเป็นการหยามศักดิ์ศรีอย่างถึงที่สุด คาเบะไทจินจึงยอมขึ้นเวทีไปแข่งตัวต่อตัวกับขงเบ้ง นอกจากนี้ขงเบ้งยังได้วางแผนอย่างแนบเนียนเพื่อให้คาเบะไทจินเอาชนะปมในใจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการทำให้เจ้าตัวนึกถึงความสนุกของการแรปได้ หรือแม้กระทั่งการให้ยากระเพาะในเครื่องดื่มก่อนที่คาเบะไทจินจะขึ้นมาแข่งกับตัวเองบนเวที 

เมื่อคาเบะไทจินสามารถกลับขึ้นเวทีโดยไม่มีอาการทางกายและจิตใจแล้วก็ถือว่าขงเบ้งสามารถทำให้ความปรารถนาของเจ้าตัวเป็นจริงได้ คาเบะไทจินจึงยอมที่จะมาเป็นพรรคพวกกับทางฝั่งเอโกะนั่นเอง 

กลยุทธ์เรือฟางยืมลูกธนูแสนดอก : ปรากฏใน Paripi Koumei ตอนที่ 11

ตอนที่จะเล่าต่อจากนี้ถือเป็นศึกใหญ่ที่สร้างชื่อให้ขงเบ้งเป็นอย่างมากและคาดว่าหลายๆคนคงเคยได้ยินหนังฟอร์มยักษ์ที่ชื่อว่า สามก๊ก โจโฉแตกทัพเรือ (The battle of red cliffs) ซึ่งเหตุการณ์หลายๆอย่างในตอนนี้มีความสัมพันธ์กับอนิเมะ Paripi Koumei หลายช่วงมาก คงต้องขอเท้าความเรื่องสามก๊กก่อนจึงจะเชื่อมเข้าเรื่อง Paripi Koumei ได้ 

หลังจากที่พระเจ้าเลนเต้สิ้นพระชนม์ลง กลุ่มขันทีทั้ง 10 ถูกอ้วนเสี้ยวจัดการ ตั๋งโต๊ะก็ได้เข้ามายึดอำนาจในพระนคร ตั้งหองจูเหียบ หรือ พระเจ้าเหี้ยนเต้ ขึ้นครองราชย์ และตั้งตนเป็นอัครมหาเสนาบดี ปกครองบ้านเมืองอย่างเลวร้ายยิ่งกว่ายุคขันที กลุ่มทหารจากหลากหลายแหล่งจึงต้องการปราบตั๋งโต๊ะให้สิ้นซาก ส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไรนั้นถ้าเล่าทั้งหมดคงจะยาวเกินไป แต่ขอสรุปว่าในท้ายที่สุด หลังหมดยุคตั๋งโต๊ะ เหลือกลุ่มอำนาจหลักๆอยู่ 3 กลุ่มด้วยกันคือ โจโฉ (วุยก๊ก), เล่าปี่ (จ๊กก๊ก), และซุนกวน (ง่อก๊ก) ที่ยังคงต่อสู้กันเพื่อที่จะเป็นผู้รวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียว แต่ยังคงคานอำนาจกันอยู่ 

ด้วยความที่โจโฉเล็งเห็นความอันตรายของกลุ่มเล่าปี่ตั้งแต่สมัยที่รวมตัวกันจะล้มตั๋งโต๊ะแล้วจึงมีความพยายามที่จะทำลายเล่าปี่อยู่เรื่อยไป ในที่สุดโจโฉก็สามารถตีเล่าปี่จนทำให้เล่าปี่ต้องทิ้งเมืองซินเอี๋ยและพาชาวเมืองอพยพหนีทัพของโจโฉกันอย่างทุลักทุเล ว่ากันว่าทัพครั้งนี้ของโจโฉมีจำนวนพลหลักล้าน ในขณะที่ทางเล่าปี่หลังจากถูกตีอย่างสะบักสะบอมก็เหลือพลทหารหลักพัน ขงเบ้งจึงได้วางแผนขอความช่วยเหลือจากฝ่ายซุนกวนให้สู้กับโจโฉแทน การไปขอร้องซุนกวนครั้งนี้ก็ต้องพูดถึง จิวยี่ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากเป็นกุนซือคนสำคัญของทางง่อก๊กที่ถึงจะมีความเก่งกาจแค่ไหน ก็ยังไม่สามารถเอาชนะปัญญาของขงเบ้งได้สักครา ด้วยสาเหตุนี้เองแม้ซุนกวน และจิวยี่จะตกลงเข้าร่วมจัดการโจโฉ ตัวจิวยี่เองก็มีความพยายามที่จะเอาชนะขงเบ้งอยู่ตลอดเวลาเนื่องด้วยเล็งเห็นว่าหากปล่อยขงเบ้งทิ้งไว้ ท้ายที่สุดจะเป็นภัยต่อง่อก๊กนั่นเอง 

การรบกับโจโฉครั้งนี้ถือว่าฝั่งง่อก๊กได้เปรียบเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นการรบด้วยเรือซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของง่อก๊กอยู่แล้ว ในขณะที่ฝั่งวุยก๊กแม้จะมีกำลังพลมาก แต่เป็นทหารบกทั้งสิ้นจึงต้องทำการฝึกเพื่อให้สามารถทำการรบบนเรือได้ซะก่อน ในการรบครั้งนี้จิวยี่ได้มอบภารกิจที่ไม่น่าจะทำได้สำเร็จให้ขงเบ้งเพื่อหวังจะทำลายชื่อเสียงของขงเบ้ง แต่ด้วยความเป็นคนชอบความท้าทาย และสามารถทำทุกอย่างให้เป็นไปได้อย่างปาฏิหารย์ ขงเบ้งก็รับภารกิจอย่างเต็มใจทุกครั้งไป ภารกิจที่ถูกนำมาพูดใน Paripi Koumei ตอนที่ 11 นั้นก็คือ การที่จิวยี่ให้ขงเบ้งเตรียมลูกธนูมาให้ 100,000 ดอก ภายในเวลา 10 วัน ซึ่งถ้าพิจารณาตามเทคโนโลยีและวิทยาการในสมัยนั้นแล้วนั้นการผลิตลูกธนูวันละ 10,000 ดอกถือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เอาซะเลย แต่ขงเบ้งนอกจากจะไม่ปฏิเสธแล้วยังรับปากว่าจะนำลูกธนูตามจำนวนที่กำหนดมาให้ภายใน 3 วัน แล้วขงเบ้งทำได้อย่างไรกัน 

การนำลูกธนูมาให้จิวยี่ครั้งนี้นั้น ขงเบ้งนำเรือหลายสิบลำและหุ่นฟางใส่ไปบนเรือก่อนมุ่งหน้าไปทางทัพของโจโฉตอนกลางคืนที่มีหมอกลง ฝั่งโจโฉที่ไม่ถนัดการรบทางเรืออยู่แล้ว ประกอบกับการที่มีหมอกทำให้ไม่ทราบกำลังที่แน่ชัดของอีกฝ่ายจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายตั้งรับและยิงธนูป้องกันตัวเองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขงเบ้งจึงได้นำเรือที่บรรทุกลูกธนูจากโจโฉเกินกว่า 100,000 ดอกไปมอบให้จิวยี่ในวันนั้นนั่นเอง ซึ่งในเรื่อง Paripi Koumei ก็คือตอนที่ขงเบ้งนำ qr code ปลอมไปให้คนกดถูกใจให้เอโกะแทนเพราะเหล่าผู้ชมคิดว่าเป็น qr code ของวง Azalea ถึงแม้ว่าในอนิเมะลูกธนูที่ขงเบ้งได้มาจากการหลอกผู้อื่นนั้นจะยังไม่ถึง 100,000 อย่างที่ตั้งไว้ แต่ใจความสำคัญก็คือการได้มาซึ่งประโยชน์ของฝั่งตนโดยที่ตัวเองแทบไม่ต้องลงแรง และยังทำให้อีกฝั่งเสียโอกาสต่างหากที่ถือเป็นชัยชนะอย่างแท้จริง

qr code ปลอมที่ขงเบ้งใช้หลอกผู้ชมให้เข้ามากดไลค์เอโกะ

การรบในครั้งนี้ยังมีหลายจุดที่ไม่สามารถจะเล่าได้หมดในบทความเดียวแต่ท้ายที่สุดแล้วนั้นโจโฉก็ต้องแตกพ่ายไปอย่างย่อยยับจากทัพหลักล้าน ก็เหลือเพียงไม่กี่ร้อยนับเป็นความอัปยศของโจโฉอย่างมากที่ต้องหนีไปอย่างหัวซุกหัวซุน แต่ก็ยังทิ้งแม่ทัพไว้ตามเมืองที่เคยยึดมาได้ จิวยี่จึงต้องยกทัพไปตีเพื่อยึดเมืองและนำมาเป็นของขวัญให้แก่ซุนกวนนายของตน ถึงกระนั้นขงเบ้งก็เป็นผู้ที่ก้าวนำความคิดของจิวยี่อยู่เสมอ แม้จิวยี่จะลงแรงกับการต่อสู้เท่าไร สุดท้ายเมืองที่เคยตกเป็นของโจโฉก็กลับมาอยู่ในมือของเล่าปี่ตามแผนที่ขงเบ้งวางไว้โดยที่ฝั่งเล่าปี่แทบไม่ได้เสียอะไรเลย นับเป็นความอับอายของจิวยี่ที่เสียไพร่พล และเสบียงไปมากมายในการสู้รบกับโจโฉที่ถึงแม้จะชนะแต่ไม่สามารถยึดเมืองใดกลับมาได้เลย แถมตัวเองยังได้รับบาดเจ็บปางตายตอนที่พยายามจะยึดเมืองคืนอีกด้วย

ไพ่ใบสุดท้ายที่จิวยี่นำมาใช้สู้กับขงเบ้งจึงเป็นการวางแผนยกลูกสาวของซุนกวนให้แต่งงานกับเล่าปี่ เพื่อล่อเล่าปี่มาแต่งงานในเมืองซุนกวนแล้วหวังให้ลูกซุนกวนลงมือฆ่าเล่าปี่ซะ 

เหตุการณ์ขงเบ้งมอบถุงไหม 3 ใบให้จูล่ง :  ปรากฏใน Paripi Koumei ตอนที่ 7

แผนครั้งนี้จิวยี่ตั้งใจจะทำให้เรื่องเงียบที่สุด รู้กันเฉพาะกับซุนกวนเท่านั้น เพราะในยุคสมัยนั้นการเป็นหญิงม่ายถือเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก ยิ่งมีข่าวเรื่องคิดทำร้ายสามีด้วยแล้วนั้นยิ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอายของวงศ์ตระกูลอย่างมาก 

ขงเบ้งถึงแม้จะรู้ถึงความประสงค์ร้ายของจิวยี่ในการมอบลูกสาวซุนกวนให้แต่ก็ยังยอมเล่นไปตามแผนของจิวยี่โดยส่งเล่าปี่ไปแต่งงานแต่โดยดีพร้อมส่ง จูล่ง คอยอารักขาไปโดยมอบถุงไหม 3 ใบให้จูล่งและบอกว่าให้เปิดถุงแต่ละถุงเมื่อไรบ้าง ซึ่งก็คือ

ใบแรก ให้เปิดเมื่อเรือเทียบท่าเมืองลำซีของซุนกวน โดยภายในมีคำสั่งว่าให้กระพือข่าวเรื่องเล่าปี่จะเข้ามาแต่งงานกับลูกซุนกวน และให้เล่าปี่ไปคำนับ เกียวก๊กโล่ ที่เป็นพ่อตาของจิวยี่และซุนเซ๊ก (พี่ของซุนกวน) ทำให้เรื่องไปถึงหูภรรยาซุนกวน มีหรือที่แม่จะยอมให้ลูกสาวตัวเองเป็นม่ายแถมเป็นม่ายเพราะลงมือฆ่าสามีตัวเองอีกยิ่งจะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านเข้าไปใหญ่ จึงไปโวยวายใส่จิวยี่ว่าคิดแผนแบบนี้ออกมาได้อย่างไรเป็นอันทำให้จิวยี่ต้องเปลี่ยนแผนกลางคัน เป็นการให้เล่าปี่หลงเสพสุขกับลูกสาวซุนกวนจนไม่เป็นอันทำการทำงาน ซึ่งขงเบ้งก็ปล่อยไปอีกเช่นกันจนเวลาผ่านไปราว 1 ปี ในวันสิ้นปีก็ถึงเวลาที่จูล่งต้องเปิดถุงใบที่ 2 ที่มีคำสั่งว่าให้แจ้งเล่าปี่ว่าโจโฉเข้าตีเมืองเกงจิ๋วและสถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีนักให้เล่าปี่กลับมาช่วยรบด้วย เล่าปี่จึงตื่นจากภวังค์และได้ขอตัวกลับเมืองเกงจิ๋ว และแน่นอนว่าหลังจากอยู่กันมา 1 ปี ลูกซุนกวนก็รักเล่าปี่แล้วจึงขอติดตามกลับไปด้วย เมื่อซุนกวนกับจิวยี่ทราบเรื่องก็รีบส่งทหารไปตั้งด่านปิดทางและล้อมจับเล่าปี่ จนเล่าปี่ไปจนมุมที่เขา ก็ได้เวลาคำสั่งในถุงใบที่ 3 ทำงาน ซึ่งก็คือ ให้เล่าปี่เล่าความจริงเรื่องที่ซุนกวนกับจิวยี่วางแผนเรื่องการแต่งงานของตนกับลูกซุนกวนให้ลูกซุนกวนฟัง และใช้ให้ลูกซุนกวนใช้ฐานะของตัวเองขอให้ทหารเปิดทางให้เล่าปี่ พอลูกซุนกวนทราบความจริงมีหรือที่จะไม่ยอมช่วยเล่าปี่แต่โดยดี เพราะนอกจากความรักที่มีต่อเล่าปี่แล้วยังพกความเจ็บใจที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอีกด้วย ด้วยเหตุทั้งหมดนี้เอง ขงเบ้งจึงทำให้เล่าปี่กลับเมืองเกงจิ๋วได้อย่างปลอดภัยพร้อมได้เมียสาวมาเพิ่มและไม่ต้องเสียอะไรอีกเช่นเคย 

ท้ายสุดจิวยี่จึงคิดจะยึดเมืองเกงจิ๋วด้วยตัวเอง เนื่องจากก่อนหน้านี้ ขงเบ้งและเล่าปี่ได้บอกว่าจะคืนเมืองเกงจิ๋วให้แก่ตระกูลซุนก็ต่อเมื่อเล่าปี่สามารถยึดเมืองเสฉวนได้แล้ว จิวยี่จึงคิดวางแผนแสร้งจะตีเสฉวนให้ โดยขอยกทัพผ่านเมืองเกงจิ๋วก่อนจะไปตีเสฉวน ซึ่งจริงๆจิวยี่คิดว่าจะถือโอกาสอาศัยตอนที่เล่าปี่เปิดเมืองเกงจิ๋วให้เป็นทางผ่าน เข้ายึดเมืองเกงจิ๋วโดยตรง แต่แน่นอน มีหรือที่ขงเบ้งจะไม่รู้ทันแผนการของจิวยี่ จึงได้ซ้อนแผนปิดเมืองเกงจิ๋วไม่ให้จิวยี่ผ่าน และได้จัดทัพไว้นอกเมืองรอล้อมทัพจิวยี่ไว้เรียบร้อยแล้ว ทำให้จิวยี่ต้องหนีเอาตัวรอดอย่างสะบักสะบอม 

ไม่ว่าจิวยี่จะวางแผนจัดการกับขงเบ้งอย่างไร ก็ไม่มีครั้งใดที่จะสามารถเอาชนะขงเบ้งได้เลย แถมขงเบ้งยังได้แสดงความหยั่งรู้เหนือจิวยี่ไปหลายชั้นจนนำไปซึ่งความเจ็บใจ และเมื่อรวมกับพิษบาดแผลจากการสู้รบที่ผ่านมาก็ทำให้จิวยี่ตรอมใจตายพร้อมคำตัดพ้อที่เป็นที่จดจำว่า “ฟ้าให้จิวยี่มาเกิด ไฉนต้องให้ขงเบ้งมาเกิดด้วย”

เหตุการณ์ที่ขงเบ้งมอบถุงไหม 3 ใบให้จูล่งนี้ ก็พบได้ใน Paripi Koumei ตอนที่ 7 ที่มอบภารกิจให้เอโกะไปตามหาเสียงที่แท้จริงของตนเอง และบอกให้เอโกะเปิดถุงเมื่อไม่สบายใจตามลำดับที่เขียนไว้ แต่เอโกะดันเปิดพร้อมกันที่เดียวเลย… ซึ่งในถุงก็มีคำสั่งและเอกสารสำคัญที่จะนำพาเอโกะไปสู่การพบนานามินและเหตุผลในการร้องเพลงของตัวเอง ได้แก่

  1. ให้ซื้อพุดดิ้ง เพื่อนำไปสตีฟ ดีเจที่สามารถอเร้นจ์เพลงให้ไพเราะได้ 

สตีฟ คิโด ผู้ซื้อได้ด้วยพุดดิ้ง

  1. ใบอนุญาตในการใช้ทางเดินสาธารณะ เพื่อให้เอโกะสามารถแสดงดนตรีกับนานามินริมถนนได้ 

การแสดงริมถนนของเอโกะกับนานามิน

  1. ตั๋วสำหรับขึ้นไปจุดชมวิวที่ตึกชิบูย่า สกาย จุดที่นานามินได้บอกความจริงกับเอโกะว่าจริงๆแล้วตัวเองคือนักร้องนำแห่งวง Azalea นั่นเอง 

รอยร้าวระหว่างง่อก๊กและจ๊กก๊กหลังจิวยี่ตายยังไม่สิ้นสุด และมาถึงจุดแตกหักตอนที่ซุนกวนได้จับตัวและประหารกวนอู รวมถึงส่งคนไปตัดหัวเตียวหุยด้วย เหตุการณ์ทั้ง 2 นี้ นำไปสู่ความคิดที่จะแก้แค้นของเล่าปี่ โดยไม่สนคำทัดทานจากขงเบ้ง และแน่นอนว่าการไปแก้แค้นของเล่าปี่ครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มของจุดจบจ๊กก๊กเลยก็ว่าได้ เพราะเล่าปี่ถูกลกซุน แม่ทัพของง่อก๊กตีแตกอย่างเละเทะ แต่ขงเบ้งซึ่งรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้จึงได้ใช้ ค่ายกลหิน (Stone sentinel maze) ในการยับยั้งการไล่ตามเล่าปี่ของลกซุน ซึ่งค่ายกลนี้ส่วนตัวผู้เขียนเองไม่ทราบถึงกลไกว่าเป็นอย่างไร รู้เพียงแต่ว่า ผู้ใดที่หลงเข้าไปแล้วจะไม่สามารถออกมาได้ โดยขงเบ้งก็นำค่ายกลนี้มาใช้ใน Paripi Koumei ตอนที่ 2 เช่นกัน ซึ่งเป็นตอนที่ขงเบ้งจัดทางเดินให้ผู้ชมไม่สามารถหาทางออกหรือกลับไปสู่เวทีที่มีอาแสดงได้ โดยอาศัยการใช้ความมืดและการจัดไฟนำทางที่ทำให้ไม่ว่าจะเดินยังไงก็จะวนมาสู่เวทีที่เอโกะร้องเพลงได้อยู่ดี 

ขงเบ้งอธิบายถึงแผนค่ายกลของตน

สุดท้ายภายหลังการแตกพ่ายของเล่าปี่แก่ลกซุน  เล่าปี่ก็ได้เสียชีวิตลงและมอบหมายภารกิจในการกอบกู้ รวบรวมบ้านเมืองไว้ในมือขงเบ้งอีกที ขงเบ้งจึงได้ใช้ช่วงเวลาของชีวิตที่เหลือในการพยายามที่จะสานเจตนารมณ์ของเล่าปี่ แต่ด้วยกาลเวลาและความที่ช่วงหลังจ๊กก๊กแทบจะไม่มีทหารฝีมือดีเหลือแล้ว ไหนจะเจอกุนซือที่ระแวดระวังรู้เท่าทันขงเบ้งอย่างสุมาอี้แห่งวุยก๊กอีก ท้ายที่สุดขงเบ้งก็เสียชีวิตลงในวัยเพียง 52 ปี โดยที่ไม่สามารถกอบกู้บ้านเมืองได้อย่างที่ตั้งใจ 

หวังว่าทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้จะรู้สึกสนุกไปกับเรื่องสามก๊กที่นำมาเชื่อมกับ Paripi Koumei นะคะ ถ้าใครติดใจอยากลองเริ่มอ่านสามก๊กจริงจัง ก็แนะนำฉบับวณิพก ของยาขอบ ที่อ่านง่ายมากๆ แถมสนุกด้วย (บทความนี้อ้างมาจากฉบับยาขอบเป็นหลัก) หรือจะเป็นสามก๊กฉบับแปลใหม่ ของ วรรณไว พัธโนทัย ก็ไดค่ะ เป็นฉบับที่น่าจะแปลได้ถูกต้องสุดและไม่แต่งเติมอะไรมากเหมือนของยาขอบ  แต่ถ้าขี้เกียจอ่านก็ไปดูซีรี่ย์จีนได้ที่นี่ https://youtube.com/playlist?list=PL3D5gDIkVNByHnup3mHAZIHqbuUnzhnbF (เราก็ยังดูไม่จบ55) แล้วไว้พบกันใหม่เมื่อ Paripi Koumei ซีซั่น 2 มา!!

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ชื่อ Sekitoba ของแรปเปอร์คู่แข่งคาเบะไทจิน แปลตามตัวคือ Red hare หรือเจ้ากระต่ายแดง ที่เรารู้จักกันในนามม้าเซ็กเธาว์ ม้าที่ทำให้ลิโป้ทรยศเต๊งหงวนพ่อบุญธรรมมาเข้าพวกตั๋งโต๊ะ และหลังจากที่ลิโป้โดนโจโฉจับฆ่าแล้ว ม้าเซ็กเธาว์ก็ตกมาเป็นของโจโฉก่อนที่จะมอบให้กวนอู เพื่อหวังซื้อใจกวนอูให้มาเข้าพวกตน อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมถึงตั้งชื่อตัวละครแบบนี้ แต่มีคนตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะเป็นเพราะ คาเบะ (กำแพง ซึ่งอาจจะหมายถึง ผา) จากคาเบะไทจิน + Red จาก red hare เป็น ผาแดง ที่เป็นจุดที่เกิดการรบตอนโจโฉ แตกทัพเรือนั่นเอง 

คอมเมนต์กัน!