Skip to main content

「あたらしい輝きへと、手を伸ばそう」

“ยื่นมือออกไปสู่ความเปล่งประกายครั้งใหม่”

หลังจากนั่งลังเลมาพักใหญ่ๆ ว่าควรเขียนเปิดบทความยังไงให้น่าจดจำและน่าประทับใจ สุดท้ายก็มาลงกับประโยคในเนื้อเพลง Next SPARKLING!! เพราะนอกจากบทความรอบนี้จะเป็นรีพอร์ตไลฟ์ 5 Aqours ที่มาในตีม Next SPARKLING!! แล้ว ก็เป็นเรื่องราวของคนธรรมดาอย่างเราที่ดิ้นรนบินมาถึงญี่ปุ่นเพื่อคว้าความเปล่งประกายที่คอยมองผ่านจอภาพมาตลอด เขียนแล้วก็ดูลิเกไม่เบา เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า (ฮา)

ย้อนไปสักช่วงต้นปีที่เลิฟไลฟ์ซันไชน์ฉายหนังโรง และขาย CD insert song ทั้งหมด 3 แผ่น โดยใน 3 แผ่นนั้นมีโค้ดลุ้นตั๋วไลฟ์ 5 ~Next SPARKLING!!~ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 8-9 มิถุนายน 62 ส่วนตัวเราเก็บ CD อยู่แล้ว ที่ผ่านมาพอได้โค้ดก็เอาไปให้เพื่อนบ้าง คนรู้จักบ้าง เพราะถ้าลุ้นเองแล้วได้ขึ้นมาก็คงต้องยกให้คนอื่นอยู่ดี (พูดเหมือนถูกตั๋วง่ายเลย) แต่ปีนี้เราตั้งมั่นมากว่าอยากไป ประกอบกับช่วงจัดไลฟ์เป็นช่วงมหาลัยปิดเทอม เลยฝาก Wซัง (Wpotion) ที่มีไอดีอีพลัสไปลุ้นตั๋วให้ค่ะ

ผลประกอบการคือแผ่นที่เราฝากลงไม่ถูกตั๋ว แต่มีแผ่นที่Wซังลงแล้วถูกตั๋วไลฟ์วันแรก 2 ที่นั่งค่ะ เดิมแผ่นนั้นเป็นแผ่นที่เอสจัง (Schan) กับWซังหารครึ่งกันซื้อ เลยคิดว่าสองคนนั้นคงแท็กทีมกันบินไปดูไลฟ์แหละ เราก็ไม่ได้ซีเรียสเรื่องดูไลฟ์ขนาดนั้น เพราะที่ผ่านมาก็ดูไลฟ์วิว+ดีเลย์วิวตลอด หลังจากนี้ไปก็น่าจะมีโอกาสได้ลุ้นอีกบ้าง ยังไงก็ไม่ใช่ไลฟ์สุดท้าย ซึ่งสุดท้ายเอสจังก็ยกสิทธิ์ที่นั่งสิทธิ์หนึ่งให้เราบินลัดฟ้าไปดูไลฟ์กับWซัง ด้วยเหตุผลที่ว่าเราไม่เคยไปดูไลฟ์ที่ญี่ปุ่นมาก่อนเลยอยากให้ไปลอง (ไม่เคยไปญี่ปุ่นแบบไปเที่ยวเองด้วยค่ะ 5555) ถ้าให้พูดแบบลิเกน้อยที่สุดคือดีใจมากที่ได้มาเจอกับทุกคน เลยได้มีโอกาสไปสัมผัสประสบการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน เรียกได้ว่าเป็นการไปทริปเปิดโลกทริปหนึ่งเลยก็ว่าได้ ขอขอบคุณเอสจังอีกครั้งหนึ่งที่ยกตั๋วให้ไปดูด้วยค่ะ (_ _) ไว้หลังบทความนี้ น่าจะมีบทความที่พูดถึงตอนไปเที่ยวนูมาสึด้วย ไว้เขียนแล้วจะเอามาอัปเดตตรงนี้ให้นะคะ


เช้าวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน เป็นวันจัดไลฟ์วันแรก เรากับWซัง (และพี่อีกสองท่านที่มาร่วมทริปด้วย) ตื่นนอนแต่เช้าตรู่ ทั้งๆ ที่เมื่อคืนกว่าจะเดินทางจากนูมาสึมาเข้าที่พักในโตเกียวได้ก็หนักหนาเอาการ เรียกได้ว่าร่างพัง 40% ไปดูไลฟ์เลยทีเดียว พวกเราเดินขาลากหาร้านอาหารอยู่พักใหญ่ๆ (เพราะไปเช้าแล้วไม่ค่อยมีร้านเปิด) จนมาหยุดอยู่ที่ร้านโซบะร้านหนึ่ง นับว่าเป็นมื้อเช้าที่กินเอาอยู่ท้องและทำให้ร่างกายอบอุ่นได้พอควร อากาศช่วงเช้ากับช่วงเย็นต้นเดือนมิถุนายนนี่อย่างหนาวเลยค่ะ อย่างน้อยๆ ก็หนาวสำหรับคนขี้หนาวอย่างเรา UvU หลังจากอิ่มท้องแล้วก็ออกเดินทางนั่งรถไฟไปชั่วโมงเศษๆ

มาถึงMetLife Domeแล้ว!

ความประทับใจแรกคือแฟนๆ แต่งตัวกันมาจัดเต็มมาก รู้ว่ามีคนที่จัดเต็มแบบนี้อยู่เยอะแต่พอได้เห็นกับตาแล้วก็ทึ่งไปอีกหลายระดับเลย ความรู้สึกตอนนั้นคือไม่ได้การละ กลับมาไทยคงต้องสั่งซื้ออิตะแบ็กมาบ้างแล้วมั้ง โอกาสใช้อาจจะมีไม่เยอะแต่ต้องมาแล้วปะ นอกจากนี้แล้วก็มีคุณพี่คนหนึ่งคอสเป็นคานันชุด HAPPY PARTY TRAIN มายืนให้ฟรีฮักด้วย สมบทบาทสุดๆ (?)

มาถึงแล้วก็ไม่รอช้า รีบเดินเข้าไปด้านในโซนขายสินค้าออฟฟิศเชียลทันที เป็นโซนลานกว้างที่อยู่ด้านซ้ายมือของตัวโดม ผังหน้าตาประมาณนี้ค่ะ

สำหรับคนที่เพิ่งเคยมาไลฟ์เป็นครั้งแรกแบบเราก็ตกใจไม่น้อยเลยค่ะ เพราะคนยืนต่อแถวเยอะมาก เยอะในระดับที่ชวนให้สิ้นหวังได้เลย 5555555 จะเยอะไปไหนเนี่ย!! ถึงวันศุกร์จะเปิดให้ต่อแถวซื้อของกันไปก่อนหน้าแล้ว แต่วันจริงคนก็มหาศาลอยู่ดี ก็คงไม่แปลกอะเนอะเพราะคนที่มาดูไลฟ์มีตั้งกี่หมื่นคน…

เราไปต่อแถวซื้ออุปกรณ์เชียร์ตอนประมาณ 11 โมง และได้เข้าไปซื้อของตอนบ่ายโมงตรงค่ะ เป็น 2 ชั่วโมงที่ยืนเฉยๆ ให้แดดเผาเล่น ถึงจะยังไม่เข้าหน้าร้อนแต่แดดญี่ปุ่นนี่แรงจริงแรงจัง หมวก ร่ม ผ้าขนหนูอะไรก็ไม่มีกันแดดสักอย่าง ถ้ามีคราวหน้าจะเตรียมตัวหาอุปกรณ์กันแดดไปอย่างดีเลยค่ะ…

วิธีซื้อก็อาศัยจิ้มใบเมนูให้พนักงานที่อยู่โซนด้านในดู พอบอกเสร็จพนักงานจะไปหยิบของตามที่เราบอกและมาคิดเงินให้ ซึ่งเรื่องน่าทึ่งเกิดขึ้นตอนนี้แหละค่ะ เรื่องที่ว่าคือพนักงานเกือบทุกคนใช้เครื่องคิดเลขคิดเงินด้วยระบบอัตโนมือ และทอนด้วยมือแบบไม่ใช้เครื่องช่วยเลย (โซนที่มีเครื่องคิดเงินให้คือโซนที่ใช้บัตรเครดิตจ่าย ซึ่งมีอยู่ไม่กี่เครื่อง) ไม่แปลกใจเลยทำไมถึงดูใช้เวลานาน ยิ่งตอนเราซื้อ คุณพนักงานด้านหน้ากดคิดเลขไป 3 รอบกว่าจะคิดเงินถูกนี่เหนื่อยแทนเลย (มารู้ทีหลังว่าอีเวนต์ของการ์ตูนเรื่องอื่นก็มีคิดเงินระบบมือแบบนี้เหมือนกัน แต่ก็อดคิดไม่ได้อยู่ดีว่าถ้าใช้เครื่องอาจจะจัดการได้เร็วกว่านี้หรือเปล่านะ) อ้อ ระหว่างที่ยืนต่อแถวง่วงๆ ก็ได้ยินเสียงซ้อมเพลง 青空Jumping Heart! ดังมาจากในตัวโดมด้วย!

หลังจากซื้อของตรงนี้เสร็จก็แวะออกไปซื้อสินค้าสปอนเซอร์ด้านนอก (อ่านว่าตุ๊กตาอุจิจจี้) เดินไปเดินมาก่อนจะตัดสินใจกลับเข้าไปดูสแตนด์ดอกไม้ค่ะ พูดตรงๆ คือตอนนั้นอยากหาที่นั่งพักมาก ไม่ไหวแล้ว กล้ามเนื้อขาอ่อนแรงขนาดนี้ยังต้องต่อแถวต่ออีกเหรอ!! แต่คิดไปก็เท่านั้น เพราะที่นั่งก็ไม่ได้หากันได้ง่ายๆ มาทั้งทีก็ต้องไปให้สุด อดทนหน่อยจะได้มาให้คุ้มค่าที่มา! แถวสแตนด์ดอกไม้ไม่มีคนเยอะเท่าตอนซื้อของ แต่ก็ใช้เวลายืนรอไปหนึ่งชั่วโมงเต็มค่ะ อาจจะเพราะด้านในมันหยุดยืนถ่ายรูปได้ ซึ่งเอาจริงๆ ตอนเราเข้าไปคือแถวเดินเร็วมากเพราะเกรงใจคนด้านหลัง ต้องรีบสับเท้ารัวชัตเตอร์ถ่ายภาพรัวๆ

ดูสแตนด์ดอกไม้กันเต็มที่แล้วก็พอดีกับเวลาที่เปิดประตูโดมให้เข้าไปนั่งตามที่กันพอดี แต่เรากับWซังยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน เลยซื้อKFCกับทาโกะยากิแถวนั้นไปนั่งกินที่สวนสาธารณะตรงข้ามกับโดมค่ะ เดินข้ามสะพานลอยมาแล้วเดินขึ้นเนินไปนิดหนึ่งจะพบกับไลเบอร์มากมายที่นั่งสังสรรค์ นั่งบิวท์กันก่อนเข้าโดม (โดมเปิดตอนบ่าย 3 โมง เข้าได้ถึง 5 โมงเย็น) ยิ่งกลุ่มที่นั่งด้านหลังเราตอนกินข้าวในสวนสาธารณะนี่คึกมาก เปิดเพลงคอลกันแต่หัววัน พอกินเสร็จอะไรเสร็จ เรากับWซังก็แยกกันไปเปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อไลฟ์ ข้ามสะพานลอยกลับฝั่งแล้วผ่านประตูโดมไป

 

เราสองคนนั่งตรงล็อก A57 แถวที่ 1 ค่ะ หรือก็คืออยู่สแตนด์ชั้นหนึ่งแถวหน้าสุดนั่นเอง!! ถึงจะไม่ได้ไปตรงอารีน่า แต่ที่ตรงนี้ก็ดีไม่ใช่น้อย ต้องขอบคุณดวงอันล้นเหลือของWซังด้วยนะคะที่ทำให้เราได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม… ประสบการณ์ที่ว่าคือประสบการณ์เดินขึ้นเขาค่ะ (…)

ดูภาพด้านบนแล้วน่าจะเข้าใจมากขึ้น เนื่องจากทางเข้าอยู่ตรงที่ลูกศรสีแดงชี้ไว้ เราจึงต้องเดินขึ้นเนินตามลูกศรสีน้ำเงินไปจนถึงที่นั่งตัวเอง ซึ่งที่นั่งเราอยู่เกือบตรงกลาง orz ตลอดเวลาที่เดินขึ้นก็คิดว่ากล้ามเนื้อขาคงตายไปแล้ว มิหนำซ้ำตอนเดินถึงยอดก็ต้องเดินลงบันไดที่ชันมากๆ ไปจนแถวหน้าสุดอีก เป็นทิวทัศน์ที่มองลงไปแล้วรู้สึกว่าถ้าก้าวพลาดขึ้นมาหนึ่งก้าวต้องคอหักตายเป็นผีเฝ้าโดมแหงๆ แต่จนแล้วจนรอดก็คุมสติไม่ให้ขาสั่น เดินลงไปแถวหน้าสุดได้อย่างปลอดภัยค่ะ

พอมาประจำที่แล้ว ด้านหน้าเราเป็นรั้วที่ขึ้นตาข่ายกันไว้แบบเดียวกับเวลาดูเบสบอล ระยะห่างจากตรงที่นั่งกับเวทีหลัก+เวทีกลางห่างค่อนข้างมาก… ถ้ามองโลกในแง่ดีคือถ้ามีใครนั่งรถเลื่อนมาก็จะเห็นชัดกว่าใครเพื่อนล่ะค่ะ ระหว่างที่รอไลฟ์เริ่มก็หันมองนู่นมองนี่ไปเรื่อย สิ่งที่ชวนให้ประหลาดใจคือมีเด็กวัยอนุบาล วัยประถมวิ่งมาเกาะรั้วด้วย (!?) ดูทรงแล้วอาจจะมากับผู้ปกครองที่เป็นไลเบอร์+ทิ้งให้ลูกหลานอยู่บ้านคนเดียวไม่ได้เลยพามาดูด้วย หลังจากนั้นไม่นานไฟในฮอลก็เริ่มดับลง จอภาพตรงกลางที่ใหญ่สุดก็เริ่มฉายVTRแนะนำตัวละคร บอกเป็นกลายๆ ว่าไลฟ์เริ่มแล้วนั่นเอง


SETLIST & REPORT

1. 僕らの走ってきた道は… – Aqours

เปิดตัวมาด้วยเพลงเดียวกับในมูฟวี่ อันจังโผล่ขึ้นมาเป็นคนแรกปุ๊บ ก็สำนึกได้ในวินาทีนั้นเลยว่าที่ตรงนี้ห่างไกลกับเวทีมากกว่าที่คิดไว้จริงๆ หลายๆ คนดูไลฟ์วิวแล้วน่าจะนึกภาพเวทีออกว่าเวทีเป็นประมาณไหน ถ้ามองบนจอมันก็ใกล้ดี แต่ถ้ามองด้วยตาเราจะเห็นอันจังและผองเพื่อนตัวสูงราวๆ หนึ่งเซนติเมตร ไม่แปลกใจเลยที่เห็นไลเบอร์คนหนึ่งหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาแล้วลองส่องไปบนเวที ที่สุดของความมองไม่เห็นจริงๆ 555555555 ดังนั้นบอกได้เลยค่ะว่าเพลงหลังจากนี้ไปเรามองแต่จอเกือบตลอด บางทีก็มองเวที (ที่เห็นทุกคนสูงหนึ่งเซนติเมตร) สลับๆ กัน ประกอบกับสายตาเราก็ไม่ค่อยดี ตอนจบไลฟ์Wซังทักว่าเพลงนี้อาริฉะก้าวเท้าคร่อมจังหวะเหมือนไดยะในอนิเมด้วยก็ตกใจนิดหนึ่งเพราะลืมสังเกตไปเลย บ้าจริง!!

2. スリリング・ワンウェイ 3. 青空 Jumping Heart – Aqours

เป็นอีกสองเพลงที่เรียกเสียงเชียร์จากเหล่าแฟนคลับได้เป็นอย่างดี เสียงคอล スリリング・ワンウェイ ดังกระหึ่มทั่วฮอลมาก อะโอะจัมปิ้งเองก็เช่นกัน เรียกได้ว่าตะโกนกันสุดใจตั้งแต่เริ่มเลย

MC แนะนำตัว

พอร้องไปสามเพลงก็ตัดเข้า MC แนะนำตัว ทุกคนสวมชุด 僕らの走ってきた道は… ก็แนะนำตัวเรียงกันไป เริ่มจากไอแคน ถัดไปไอไอ เรียงไปเรื่อยๆ แบบปกติดี มีบทอันจังที่พิเศษขึ้นมาหน่อยตรงที่บทแนะนำตัวน้องจะพูดว่า「太陽みたいに輝く笑顔でみんなにハッピーを届けるよ」(จะส่งมอบความสุขให้ทุกคนด้วยรอยยิ้มที่เปล่งประกายดุจดวงอาทิตย์) พร้อมกับทำท่าชูมือขึ้นไปคว้าดวงอาทิตย์ แล้วเวทีรอบนี้มีพระอาทิตย์อยู่เหนือหัวพอดี เลยเป็นกิมมิคเล็กๆ น้อยๆ ที่ชวนให้ว้าวอยู่หน่อย

ถัดมาก็เป็นสุวาวะยอดนักกอด วันแรกสุวาวะกอดอาริฉะกับไอเนียค่ะ เป็นแก๊งปีสามที่ดูรักกันดี อาริฉะให้ตะโกนบุบู๊สองรอบตามเคย ส่วนไอเนียตอนแนะนำตัวเสร็จมีเนียนลูบต้นขาอาริฉะด้วย… มีแนะนำชุดของแต่ละชั้นปีกันนิดหน่อย ถ้าจำไม่ผิดมีถามว่า “มีใครเพิ่งมาดูไลฟ์เป็นครั้งแรกไหม” แล้วผู้ชายคนข้างๆ เราส่งเสียงว่าเพิ่งเคยมา หลังจากนั้นสาวน้อยที่มาด้วยกันกับเขาก็ตีแขนละบอกว่า “โกหก แกมาหลายรอบแล้วโว้ย” ด้วย ซิทคอมเหลือเกิน

4. Sky Journey 5. Daydream Warrior – Aqours

เสื้อตัวในยังเป็นชุดโบคุฮาชิ แต่เสื้อตัวนอกเป็นเสื้อกั๊กสีดำ!!! ตอนที่โผล่มาครั้งแรกหัวใจจะวายมากค่ะเพราะชุดเท่มาก (ก ไก่ล้านตัว) ยิ่งสองเพลงนี้เป็นเพลงที่ออกแนวเท่ๆ และที่สำคัญที่สุดคือเพลงแรกไอไอเด่นค่ะ กล้องจับไปที่ลูกบ่อยมากจนอยากฉีกสัญญาแม่ลูกทิ้ง เท่าที่จำความได้ตัวเราตอนนั้นเสียสติไม่เบา คำแรกที่หลุดออกจากปากหลังเห็นเสื้อกั๊กตัวนั้นคืออยากได้ไอไอเป็นสามี พอหันไปบอกWซังแบบนี้แกก็ทำหน้าแบบอือๆ เอาที่สบายใจนะ และเพลงนี้ทุกคนย้ายมาเต้นที่เวทีกลาง ทำให้เห็นน้องๆ ชัดเพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย จากสูงหนึ่งเซนเป็นสองเซน แต่หลักๆ ก็มองจอด้านหลังอยู่ดีค่ะ ถ้าไม่ใส่ชุดสีที่ต่างจริงๆ คือแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร สายตาย่ำแย่จนเศร้าเลยค่ะ ถ้าแผ่นออกเมื่อไรคงลูปดูสองเพลงนี้วนไปวนมาจนนิพพานแน่เลยค่ะ ฮือออออออออออออ

Intermission Drama 1

ดราม่าคั่นรอน้องๆ เปลี่ยนชุด วันแรกมาในตีม 新春オーディション ที่เป็นการออดิชันหาคู่หมั้นให้มาริ ผู้รับบทนักแสดงหญิงชื่อดัง โดยมีกรรมการคือคานันที่สวมแว่นดำไม่พูดไม่จาอะไร และไดยะที่สวมแว่นสายตากรอบแดง ส่วนมาริส่งตัวดัมมี่มาสังเกตการณ์ด้วยอาร์ตที่อลังการกว่าชาวบ้านสิบเท่า

คนที่มาออดิชันเป็นคนแรกคือริโกะ ยอดนักตบมุกประจำวง Aqours ริโกะดูงุนงงว่าทุกคนเล่นอะไรกัน ทำไมต้องมีออดิชันด้วย แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร คานันก็เอามือตบโต๊ะรัวๆ จนเกิดเสียงดังเป็นการไล่แขก (…) ริโกะเลยผันตัวจากผู้เข้าแข่งขันมาเป็นคนตบมุกอย่างเต็มตัว

คนที่สองคือจิกะ จิกะมาแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ให้แนะนำตัวสั้นๆ ก็ไม่เอาเพราะอาย…แต่คานันกลับถูกอกถูกใจจนปรบมือให้รัวๆ ซะงั้น!? (ซึ่งทุกคนในไลฟ์จะปรบมือตามคานันให้ด้วย 555) กลายเป็นจิกะผ่านเข้ารอบคัดเลือกไปได้สำเร็จอย่างงงๆ…

คนที่สามคือโยที่มาในชุดเจ้าสาว (มีสวมที่คลุมหัวแบบเจ้าสาวมาในตัวจิบิ) จำไม่ค่อยได้ว่าโยแสดงออกยังไงแต่คานันก็ถูกใจจนรับเข้ารอบมาเหมือนกัน

แต่พอเลือกคู่หมั้นได้สองคนแบบนี้ก็ต้องตัดสินกันอีกทีว่าสุดท้ายแล้วใครกันที่จะได้มาริไปครอบครอง เลยเกิดการพรีเซนต์ตัวเองอีกครั้งหนึ่งขึ้นมา!

ริโกะ: จริงๆ มันควรจบออดิชันตั้งแต่มีคนผ่านมาหนึ่งคนแล้วไหม…

โย: ถึงฉันจะทำอะไรไม่ได้มาก แต่ฉันกระโดดน้ำได้นะ (อนิเมบนหน้าจอเป็นจิบิโยกระโดดลงจากแท่นกระโดดน้ำละจมหายไปเลย)

คานัน: หึ ฉันเองก็ดำน้ำได้เหมือนกัน!! (แล้วนี่เธอไปแข่งกับเขาตั้งแต่เมื่อไร) (อนิเมเป็นคานันที่หมุนๆ ลงไปในทะเลจนตัวจิบิจางหายไป)

จิกะ: จะ จิกะเองก็โหนบาร์แล้วหมุนๆๆ ได้เหมือนกันนะ! (เป็นจิบิจิกะที่โหนบาร์แล้วหมุนไปเรื่อยๆ เหมือนอนิเมภาค 2 ตอน 1)

แล้วอยู่ดีๆ มาริ (ที่อาร์ตปกติเหมือนทุกคน) ก็ขอเข้ามาร่วมวงด้วย ริโกะตบมุกจนเหนื่อยล้าว่าทำไมมาริถึงมาจอยด้วยเล่า ไม่ใช่ว่าตัวเองต้องรอคนออดิชันผ่านหรอกเหรอ!? ก็คือมาริมาแสดงความสามารถที่มีล้นพ้น ไม่ว่าจะเป็นเล่นดนตรี ยิมนาสติก ขี่ม้า และเล่นริบบิ้นยิมนาสติกบนหลังม้า…เป็นภาพที่ถ้าทำจริงขึ้นมาคงทุลักทุเลไม่ใช่น้อย

หลังจากที่ทุกคนวุ่นวายกัน ภาพก็ตัดเป็นไดยะที่ขอมีซีนบ้าง ไดยะพรีเซนต์ตัวเองในสไตล์สาวน้อยช่างถ่อมตัว (ภาพอลังการเหมือนตัวมาริตอนต้น) ถึงจะเล่นโกโตะได้แต่ก็ไม่เก่งนัก เป็นคนมารยาทงาม กิโมโนที่สวมอยู่ก็สวมด้วยตัวเอง ชงชาพอได้ ทำนู่นนี่พอได้ แต่ยังไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้นก็โดนตัดจบก่อนซะงั้น (ซึ่งดราม่าวันที่ 2 ที่ได้เห็นในดีเลย์วิวเป็นตอนต่อจากวันแรก คือวันแรกแก๊งม.5 (จิกะ ริโกะ โย) แข่งกัน ส่วนวันที่ 2 เป็นแก๊งม.4 (โยชิโกะ ฮานามารุ รูบี้) ที่มียิงกันอลังการแล้วสุดท้ายคนชนะกลายเป็นรูบี้ซะงั้น)

6. 逃走迷走メビウスループ- แก๊งปีสาม (Suwa Nanaka, Komiya Arisa, Suzuki Aina)

เปิดมาที่เวทีหลักด้านใน พร้อมกับชุดเดรสเหมือนในอนิเม! ทุกคนสวยกระแทกตามาก ในหัวจำได้แค่ทุกคนสวยมาก…

7. 予測不可能Driving – แก๊งปีสาม

ความสวยจะไม่หยุดอยู่แค่บนเวที เพราะมีรถให้สมกับชื่อเพลง 予測不可能Driving ค่ะ! แถมมีสตาร์ทรถก่อนออกอีกต่างหาก จะสมจริงไปหน้าย 55555 ตรงนี้คนที่อยู่สแตนด์ชั้นหนึ่งอย่างเราก็ได้กำไรไปค่ะ เพราะรถเลื่อนรอบอารีน่าผ่านหน้ามาเต็มๆ เลย ถึงตรงนี้ก็ได้รู้อีกอย่างหนึ่งว่าอยู่ใกล้มากกกกกกกก เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงมีตาข่ายชูขึ้นกันไว้ ไม่งั้นต้องมีคนกระโจนไปหาตัวนักพากย์แหงๆ (ฮา) ปกติดูจากจอก็รู้ว่าทุกคนสวย ยิ่งได้เห็นกับตาใกล้ๆ ชัดๆ ยิ่งรู้เลยว่าสวยมาก เหมือนพิมพ์คำว่าสวยซ้ำไปซ้ำมาแต่ก็สวยจริงๆ นะ!

8. Marine Border Parasol – แก๊งปีสอง (Inami Anju, Saito Shuka, Aida Rikako)

เปิดตัวมาเวทีตรงกลาง พร้อมกับชุดลายตารางน่ารักๆ (ชุดเดียวกันกับที่ใช้เต้นHop? stop? Nonstop!) และร่มประจำตัวคนละคัน ถือว่าแปลกใหม่นิดหน่อยเพราะเป็นเพลงแรกที่น้องๆ เต้นไปพร้อมกับร่ม (ถึงก่อนหน้าจะมีธงและอื่นๆ ก็ตาม) ต้องบอกว่าสดใสไปหมด ตั้งแต่ตัวนักพากย์ ชุด ร่ม ท่าเต้น เพลง บรรยากาศคือน่ารักมาก สารภาพคือเราเปิดเพลงนี้ฟังไม่ค่อยบ่อย (บ่อยสุดคือฮาจิมาริโร้ด) แต่หลังจากวันนี้ไปก็ฟังได้เรื่อยๆ เลย น่ารักนุ่มนิ่มดีแท้

และมีอยู่จังหวะหนึ่ง เป็นช่วงก่อนเข้าเพลงท่อนสุดท้าย (ถ้าจำไม่ผิด) เป็นจังหวะที่อันจังกับชูกะวางร่มไว้กับพื้นเวทีแบบปกติดี แต่ริคาโกะโยนร่มทิ้งแบบไม่อ่อนโยนเลย (วันที่สองน้องวางแบบปกติ) ตอนนั้นตกใจปนขำนิดหน่อย 555555 ส่วนในรายการสดหลังไลฟ์มีเล่าว่าตอนซ้อมชูกะทำร่มพังไปสองคันด้วย…

9. ハジマリロード – แก๊งปีหนึ่ง (Kobayashi Aika, Furihata Ai, Takatsuki Kanako)

หลังจากไฟบนเวทีดับไป แสงสปอร์ตไลท์และทำนองเพลงก็ดังขึ้นจากด้านหลังเรา พอหันไปแล้วจะเห็นไอแคนอยู่บนรถเลื่อน หน้าสแตนด์ชั้น 2 ฝั่งขวา (นับจากทิศที่เราหันหน้าเข้าเวที) ส่วนไอไอกับคินจังอยู่ฝั่งซ้าย กลายเป็นเพลงที่เงยคอมองลูกจนคอแทบหักเลยค่ะ คิดว่าไหนๆ เราก็อยู่ใกล้แล้ว (ในความเป็นจริงคือไม่ใกล้ขนาดนั้น แต่ก็ใกล้กว่าตอนมองไปที่เวทีแล้วสูงหนึ่งเซน) เราควรเงยหน้าซึมซับใบหน้าน้องๆ ด้วยสองตาแทนที่จะมองจอ ผลคือมองไม่ค่อยเห็นท่าเต้นเลย แต่คอลมันมาก สมกับเป็นเพลงปีหนึ่งที่พลังล้นเหลือมาแต่ก่อนกาล จำได้ว่าเหนื่อยมาก ทั้งตะโกนทั้งเงยคอ แต่สนุกดีค่ะ ชื่นชอบสิ่งนี้ ซันไชน์มายโร้ดสุดอะไรสุด

พอจบเพลงก็กลับมาเป็นอนิเมคั่น เอามูฟวี่มาฉายย้อนเนื้อเรื่องจนถึงช่วง Hop? Stop? Nonstop!

10. Hop? Stop? Nonstop! – Aqours

มาในชุดลายตารางที่เวทีหลักด้านใน ค่ะ กลับมามองไม่เห็นอีกแล้ว ต้องเงยหน้าดูจอ เพลงนี้ส่วนใหญ่เปิดแท่งไฟสีม่วงให้มาริกัน แต่ก็ไม่ทั้งฮอลอยู่ดี

Intermission Drama 2

อยากเล่าให้ละเอียดเท่าด้านบน แต่สติค่อนข้างกระเจิงเพราะความเหนื่อย หลังจากนี้ไปจึงจำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว ดราม่าล็อต 2 ของวันนี้ก็ต่อกับของพรุ่งนี้เช่นกัน เป็นการแข่งขันที่ให้โย รูบี้ มาริ ฮานามารุ (ถ้าจำไม่ผิด) มาแข่งกันเขียนกลอนเซ็นริว (กลอนญี่ปุ่นที่แบ่งวรรคเป็น 5 7 5 คำ) โดยมีจิกะเป็นกรรมการ แข่งกันในหัวข้อนูมาสึ (ぬまづ) โดยให้ใช้คำนำหน้าวรรคทั้งสามวรรค คือวรรคแรกนำด้วยตัวอักษร ぬ วรรคสองนำด้วยตัวอักษร ま และวรรคสุดท้ายนำด้วยตัวอักษร づ

แต่เจ้ากรรมฮานามารุเริ่มมาก็ออกทะเลทันที เล่าเป็นเรื่องว่ามารุกับมาริติดอยู่บนภูเขาน้ำแข็ง แล้วก็ทะเลาะกัน (!?) จบที่หิมะถล่มใส่แล้วก็จบเรื่องไป ตรงนี้โย (คิดว่าใช่) ทักว่ามันเกี่ยวกับนูมาสึตรงไหนกัน ซึ่งมารุตอบว่าเพราะไม่เกี่ยวจึงเกี่ยวไงล่ะ ส่วนรูบี้ที่เหมือนจะพูดเรียกสติเพื่อนๆ ก็ดันบอกว่าอยากให้ฮานามารุจังกลับมาสนิทกับมาริจังเหมือนเดิมจัง (เพราะฉากที่เล่ามีตอนทะเลาะกัน) กลายเป็นพาออกทะเลกันไปไกลกว่าเดิม

ในส่วนของวันที่สองก็ต่อจากวันแรกเหมือนกัน แต่เปลี่ยนจากคำว่านูมาสึเป็นอิตาลีแทน

11. 恋になりたい Aquarium ⇒ 12. 君の瞳を巡る冒険 ⇒ 13. 未来の僕らは知ってるよ – Aqours

ตรงนี้สองเพลงแรกจะต่างจากวันที่สอง ชุดที่ใส่เต้นเป็นชุดโค่ยอควา ส่วนวันที่สองจะเปลี่ยนเป็นHAPPY PARTY TRAIN กับ “MY LIST” to you! + ใส่ชุด HAPPY PARTY TRAIN เต้นแทน ทุกคนยังคงน่ารักเหมือนเคย และอย่างที่บอกไปคือสติเริ่มหลุดลอยแล้ว ความทรงจำเลือนรางมากค่ะ

14. SELF CONTROL!! – Saint Snow (Sato Hinata & Tano Asami)

ไม่คิดว่าจะตัดฉากมาเซนต์สโนว์แล้วให้ร้องเซลฟ์คอนโทรลก่อนเลย! เวลาเห็นเซนต์สโนว์ในจอก็คิดว่าเจ๋งอยู่แล้ว แต่ได้มาเห็นในที่จริงๆ ก็ยิ่งขนลุกไปใหญ่ เล่นแสงไฟสวยมากจริงๆ ไฮโซโคตร…

15. Belive Again – Saint Snow

หลังจบเซลฟ์คอนโทรลก็ร้องบีลีฟอะเกนต่อเลย อันนี้ก็แสงเทพไม่แพ้เซลฟ์คอนโทรล ถือว่าเป็นวง+เพลงที่เล่นแสงและใช้เวทีได้คุ้มค่ามากค่ะ เสียงร้องก็ดีไม่มีตกสมกับเป็นฮินะๆ กับอาซามิซัง คนทั้งโดมตะโกนบีลีฟอะเกนดังกันสุดใจมาก มันแบบโยกหัวหลุด เขียนเองก็อยากย้อนกลับไปตะโกนเสียงดังๆ อีกสักหนจัง

แล้วก็เป็นอนิเมคั่นช่วงหลัง Saint Snow เต้นเสร็จแล้วส่งไม้ต่อให้ Aqours

16. Brightest Melody – Aqours ⇒ 17. Over the next RainbowSaint Aqours Snow

เนื่องด้วยสติที่หลุดลอยและเวทีที่ห่างไกล ทำให้มองไม่ทันค่ะว่าตอนเปลี่ยนชุดเปลี่ยนยังไง เศร้าเหลือเกิน รู้สึกตัวอีกทีผ้าก็ปลิวออกไปแล้ว () ส่วนเพลงถัดมาก็ไม่เว้นช่วงให้พักแล้วร้องต่อเลย นึกว่าจะยกไปร้องช่วงอังกอร์แล้วพาเซนต์สโนว์มาปิดรวมด้วยซะอีก แต่อิทโอเค ร้องตอนไหนก็ดีเหมือนกัน

MC Aqours & Saint Snow

ตัดเข้าช่วง MC ให้ฮินะๆ กับอาซามิซัง Call&Respond กันสักหน่อย มีแนะนำตัวว่าเป็น Saint Snow แบบมีอันจังอยู่ตรงกลางเป็นแซนด์วิชเลย (ส่วนใครที่ดูไลฟ์/ดีเลย์วิววันที่ 2 แล้ว คือเล่นมุกเดียวกันกับวันที่ 2 เลยค่ะ555) แล้วอาซามิซังก็บอกว่าสีของ Saint Snow เนี่ยมีแค่ 2 สี อยากเห็นทะเลแท่งไฟหลากสีเปล่งประกายระยิบระยับต่อหน้าจัง ขอให้ทุกคนเปิดแท่งไฟตามสีโอชิตัวเองแล้วโบกให้ดูหน่อย พอเปลี่ยนสีกันแล้วอาซามิซังก็ดูดีใจดีล่ะค่ะ

ส่วนถัดมาก็เป็นไอเนียที่ทักขึ้นมาว่า ‘อาจจะเร็วไปหน่อย แต่อีกไม่กี่วันจะเป็นวันเกิดมาริแล้ว อยากให้ทุกคนร้องเพลงอวยพรวันเกิดมาริให้หน่อยค่ะ’ (มาริเกิดวันที่ 13 มิถุนายน ส่วนไลฟ์จัดวันที่ 8-9 มิถุนายน) ทุกคนเลยพร้อมใจกันเปลี่ยนสีแท่งไฟเป็นสีม่วงแล้วร้องแฮปปี้เบิร์ธเดย์ให้มาริค่ะ

18. ホップ・ステップ・ワーイ! – Aqours

ยังไม่ทันไร น้องๆ ก็บอกว่ามาถึงเพลงสุดท้ายซะแล้ว เพราะเป็นเพลงสุดท้ายทุกคนเลยนั่งรถเลื่อนมาจากทั้งฝั่งซ้ายและขวาของเวทีค่ะ จำไม่ค่อยได้แล้วว่าใครอยู่ฝั่งไหนบ้าง ในความทรงจำเราโฟกัสแค่ไอไอคนเดียวคือมาจากฝั่งขวาของเวที (ซ้ายมือของคนดู)

สิ่งที่ช็อกมากที่สุดกับเพลงนี้คือ “เฮ้ย มันมีท่าเต้นด้วยเรอะ!!” ตอนก่อนเพลงจะเริ่มเราได้ยินสักคนพูดว่าขอให้ร้องและเต้นตามด้วยนะคะ แต่เราไม่รู้ว่าเต้นตามนี่เต้นตอนไหน อะไรยังไง กว่าจะรู้สึกตัวว่าคนอื่นเขาเต้นได้ก็ปาไปเกินครึ่งเพลงแล้ว อันนี้เรามารู้ทีหลังค่ะว่าในแฟนมีตปี 2018 มีสอนเต้น แต่คนที่ไม่เคยไปแฟนมีตเลยสักครั้งจะล่วงรู้ได้อย่างไรกัน!! พอคิดว่าจะแก้ตัวตอนกลับมาดูดีเลย์วิวที่ไทย วันที่ 2 ก็ดันร้อง Jump up HIGH!! แทนไปอีก… พอจบเพลง รถเลื่อนทั้งสองคันก็มาประกบกันตรงกลางพอดี (เยื้องจากตรงหน้าเราไปนิดเดียว ใกล้มาก หัวใจจะวาย) แล้วความปรารถนาของเราก็เป็นจริง (?) เพราะคนที่ตอนแรกอยู่รถเลื่อนฝั่งซ้ายจะย้ายมาขวา คนที่อยู่ขวาก็ย้ายมาซ้าย ใช่แล้วค่ะ หลังจากเวลาผ่านมาจนไลฟ์ใกล้จบ นี่เป็นจังหวะแรกที่เราจะได้เห็นโอชิตัวเองแบบใกล้สุดๆ!!

(เรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ดูไม่มีสติ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน–)

อยากเล่าว่าตั้งแต่โอชิไอไอมาก็ไม่เคยได้เจอเจ้าตัวเลยค่ะ น้องเคยมาไทยกับคินจังตอนนู้นก็จริง แต่ตอนนั้นเรายังไม่มาตามนักพากย์ฝั่งซันไชน์เลย บวกกับวันที่มีอีเวนต์เราติดสอบทั้งวันอีก นี่เลยเป็นครั้งแรกที่เราจะได้เจอหน้าไอไอแบบใกล้ๆ ใกล้มาก ดีนะที่มีตาข่ายกั้น ไม่งั้นมีปีนรั้วกระโจนขึ้นรถเลื่อนแล้ว (ล้อเล่น) ตอนนั้นสติเราไม่อยู่กะเนื้อกะตัวแล้วค่ะ ในมือซ้ายขวาถือแท่งไฟรวมกันสามแท่ง เปิดสีชมพูรอให้รถเลื่อนผ่านตรงหน้า แล้วต้องลุ้นด้วยว่าไอไอจะหันมาทักทายคนบนสแตนด์หรือหันหลังไปทักทายคนตรงอารีน่า ซึ่งไอไอหันมาทักทายฝั่งสแตนด์ค่ะ! คือเลิ่กลั่กแล้ว ทำตัวไม่ถูกแล้วนะ จะตะโกนเรียกชื่อก็ไม่รู้ว่าเสียงจะส่งไปถึงไหมเพราะรอบข้างก็เสียงดังกันหมด เลยตัดสินใจทำท่ากัมบารูบี้ไปให้แบบลนๆ ค่ะ

แล้วไอไอก็มองตรงกลับมาแล้วทำกัมบารูบี้ตอบค่ะ

;_____________________________;

ถ้าคิดเข้าข้างตัวเองคือเขาสบตากับเราแล้วทำท่านั้นตอบหรือเปล่า หรือเอาแบบทั่วๆ ไปคือมันเป็นท่าประจำตัวรูบี้อยู่แล้ว ถ้ามีคนเปิดแท่งไฟสีชมพูให้เยอะๆ (คนญี่ปุ่นข้างๆ เราก็โอชิรูบี้เหมือนกัน) หรือจะไม่เปิดก็ได้ น้องก็คงทำท่านั้นตอบมาให้อยู่แล้ว แต่ในที่นี้เราก็อยากคิดเข้าข้างตัวเองแหละค่ะ คนข้างๆ เราไม่ได้ทำกัมบารูบี้ แต่เราทำแล้วเขาทำตอบนะ!! นี่มันโมเมนต์ในฝันเลยรึเปล่า ถึงจะเขียนรึพอร์ตย้อนหลังไปสามเดือน แต่ภาพของไอไอที่ทำกัมบารูบี้ให้ตรงหน้ายังติดตามาจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ

พอรู้สึกตัวอีกทีน้ำตาก็ไหลอาบแก้มซะแล้ว (…) เกิดมาไม่เคยประทับใจกับอะไรจนน้ำตาไหลไม่รู้ตัวขนาดนี้มาก่อนเลย เท่ากะว่าไอไอเป็นคนแรกที่ทำให้เราเป็นเอามากขนาดนี้ เก่งมากนะ!! ความรู้สึกตอนนั้นมันตื้นตันไปหมด จากคนที่ทำได้แค่คอยเชียร์อยู่หน้าจอได้มายืนเชียร์ในสถานที่จัดไลฟ์จริงๆ แถมยังได้สบตากันในระยะที่ใกล้ชวนหัวใจวายแบบนี้อีก จากนี้ไปคงหนีไปติ่งใครไม่ได้อีกแล้ว (เสียงสั่น)

ก่อนจะตัดเข้าสู่ช่วงถัดไป อยากบอกทุกคนว่าฟุริฮาตะ ไอ น่ารักมากค่ะ ขอบคุณค่ะ

ENCORE

หลังจากที่น้องๆ กลับเข้าหลังเวทีไป ช่วงเวลาอังกอร์ก็เริ่มต้นขึ้น แทบทุกคนหยิบแท่งไฟมา 3 อัน เพื่อประกอบเป็นรูปตัว A แล้วตะโกนอังกอร์ ส่วนคนหมดแรงอย่างเราทำได้แค่ชูแท่งไฟเป็นรูปตัว A ไม่มีเสียงจะตะโกนแล้ว ลูกอมหมด น้ำหมด เหมือนจิตยังอยู่แต่กายไปแล้ว 55555 เวลาผ่านไปได้สักพักเราก็มองเก็บบรรยากาศไปเรื่อย เห็นสแตนด์ชั้นสองฝั่งขวามือเปิดแท่งไฟไล่สีกันเป็นหย่อมเล็กๆ ตอนนั้นก็ไม่ได้สังเกตอะไรมากเพราะสติใกล้ไปแล้ว จนผ่านมาอีกพักใหญ่ๆ Wซังก็หันมาสะกิดแล้วถามว่า “สแตนด์ฝั่งซ้ายนี่เขาเล่นสีอะไรกันรึเปล่า เปิดเรียงสีกันเป็นแถบๆ เลยนะ”

ได้ยินดังนั้นเลยเรียกสติกลับคืนมาแล้วหันไปมองรอบๆ อีกที พบว่าสแตนด์ทุกชั้นเปลี่ยนเป็นสีรุ้งเรียงลงมาสวยงามแล้ว บ้าเอ๊ย เราก็เปิดสีชมพูอยู่ตั้งนาน คนข้างๆ ที่โอชิรูบี้ก็มารู้สึกตัวพร้อมๆ กับเราถึงได้เปลี่ยนสีแท่งไฟเป็นสีม่วงแล้วโบกไปโบกมา

นาทีที่ Aqours Rainbow ฝั่งสแตนด์สำเร็จปุ๊บ คนที่อยู่บนสแตนด์ก็ส่งเสียงเฮกันใหญ่เลย ต้องบอกก่อนนิดหนึ่งว่าก่อนที่เราจะมาดูไลฟ์ เราไปนูมาสึมา แล้วที่ย่านการค้ามีโปสเตอร์ไซส์เอสี่แปะอยู่

เนื้อความคือ ‘ขอความร่วมมือในโปรเจกต์ Aqours Rainbow ในไลฟ์ 5 ที่จะถึงนี้’ ที่ตัวโปสเตอร์ก็มี QR Code ลิงก์ไปที่แอคทวิต เราเลยลองแสกนเข้าไปดู พบว่ามีคนฟอลอยู่แค่ 300 คน ก็คุยกับWซังตอนนั้นว่ามันจะไปรอดเหรอโปรเจกต์นี้ คนมาดูไลฟ์มีกี่หมื่นคน คนฟอลมีแค่หลักร้อย มันจะรู้ครบได้ยังง้าย ฟฟฟฟ

แม้จะดูสบประมาทไปไม่น้อย แต่พอได้มาเห็นกับตาว่ามันสำเร็จจริงๆ และเราได้เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จนี้ (?) ก็รู้สึกโชคดีและดีใจอย่างบอกไม่ถูก อย่างที่บอกไปว่าเราเพิ่งเคยมาไลฟ์แบบนี้เป็นครั้งแรก แล้วได้ทำโปรเจกต์ร่วมไปกันกับทุกคนนี่สุดยอดไปเลยอะ ส่วนใหญ่เห็นคนเมาท์กันว่าโปรเจกต์นี้อาศัยตะโกนบอกกันเอาก็คิดว่ามีความพยายามสูงไม่เบา แต่จากที่ส่องทวิตโปรเจกต์ดูเมื่อกี้เห็นว่ามีจุดแจกแผ่นพับโปรเจกต์ด้วย คงมีคนส่วนหนึ่งทราบโปรเจกต์จากแผ่นพับแหละ แต่ยังไงก็คงแจกไม่ครบทุกคน (อย่างน้อยก็เรากับWซังและชาวปุ่นข้างๆ อีก 2 คน รวมเป็น 4 คนแล้ว–) จะบอกว่าใช้วิธีสะกิดบอกต่อๆ กันมาคงไม่ผิดเท่าไรมั้ง (คิดเองเออเอง–)

หลังไลฟ์จบกลับมาคือกดเซฟรูปแล้ววงกลมว่าตัวเองอยู่ประมาณไหนส่งไปอวดเพื่อนได้เลยนะคะว่าเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์นี้ (ฮา)

19. 卒業ですね – AZALEA (Suwa Nanaka, Komiya Arisa, Takatsuki Kanako)

เริ่มเพลงอังกอร์แบบผิดคาดเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะดึงเพลงจบการศึกษามาเล่นตั้งแต่ไลฟ์รอบนี้ เหมือนงัดเพลงในคลังที่มีในตอนนั้นจัดเต็มใส่ไลฟ์นี้หมดแล้ว 55555 ด้วย AZALEA ร้องเพลงอยู่กับเวทีหลัก ทำให้มองไม่ค่อยชัด ต้องมองแต่จออีกแล้ว และเรานึกว่า AZALEA โผล่เป็นยูนิตแบบนี้ ทุกคนจะเปลี่ยนสีแท่งไฟเป็นแดงเขียวเหลือง แต่ฝั่งสแตนด์ยังคงสีรุ้งเอาไว้ ส่วนตรงอารีน่าก็เป็นแดงเขียวเหลืองตามสียูนิตค่ะ

20. Guilty!? Farewell party – Guilty Kiss (Kobayashi Aika, Aida Rikako, Suzuki Aina)

ในความทรงจำคือชุดเท่มาก ด้วยเพลงสไตล์กิลคิสที่ออกแนวสนุก ความเหนื่อยล้าก็แปรเปลี่ยนมาเป็นความคึกได้อีกครั้งค่ะ กล่าวได้ว่าโบกแท่งไฟ โยกหัวกันจนลืมตายเลยทีเดียว (ซึ่งผลกรรมหลังจากนี้คือปวดตัวจนขยับแทบไม่ได้)

21. サクラバイバイ – CYaRon! (Inami Anju, Saito Shuka, Furihata Ai)

อันนี้ต้องเล่าตั้งแต่ตอนท้ายของเพลงกิลตี้คิส คือตอนใกล้จบเพลงมันมีรถเลื่อนคันเล็กเลื่อนมาอยู่ตรงกลางทางระหว่างอารีน่ากับสแตนด์ มีทีมงานมาติดตั้งบันไดให้อย่างดี จากนั้นสามสาวชารอนก็เดินเรียงแถวขึ้นมาบนรถเลื่อน นั่งยองมองไปตรงสเตจที่กิลตี้คิสร้องเต้นกันอยู่

ภาพอาจจะควอลิตี้ต่ำไปหน่อย แต่สติยังไม่ทันจะกลับมาสมประกอบก็เจอน้องมาอยู่ใกล้ๆ อีกแล้ว ใจไม่ดีเลยค่ะ 5555555 น่าเสียดายที่พอเพลงเริ่มแล้วรถเลื่อนไปทางซ้ายมือของเรา น้องๆ เลยไม่ผ่านหน้าเป็นครั้งที่สอง ก็นับว่าเป็นเพลงที่สดใสอีกเพลงหนึ่งค่ะ! ถ้าสังเกตดีๆ ชุดที่ชารอนใส่เนี่ยสวมทับชุด Next SPARKLING!! ด้วยค่ะ จะได้ไม่ต้องลำบากเปลี่ยนชุดน้อ

จบเพลงซากุระบ้ายบายไปก็เข้าสู่ช่วงจบของจริงแล้ว บนจอตัดภาพเป็นมูฟวี่บิวท์อารมณ์กันเต็มที่ นับ 1-9 และผู้ชมก็ตะโกน 10 กันตามสเต็ปไป

22. Next SPARKLING!! – Aqours

มาถึงเพลงสุดท้ายของจริงแล้ว บรรยากาศตอนนั้นบิวท์จนอยากเศร้าให้สุด แต่ดันต้องไปเศร้ากับอย่างอื่นแทนเพราะทุกคนใส่ชุดสีเดียวกัน มองไกลๆ จากตรงนี้แล้วไม่เห็นเลยว่าใครเป็นใคร คนที่อ่านมาถึงตรงนี้คงคิดในใจว่าถ้าจะมองอะไรไม่เห็นเลยแบบนี้ก็ควรไปตัดแว่นใหม่ ( ) แต่มันไกลจริงๆ นะคะ!!

ความรู้สึกที่จำได้หลังจากเพลงบรรเลงขึ้นมา คือความรู้สึกที่ทั้งอุ่นใจและใจหายในเวลาเดียวกัน ลึกๆ ในใจก็รู้แหละว่าเซ็ตลิสต์รอบนี้ยึดตามมูฟวี่ที่มี Next SPARKLING!! ปิดเป็นเพลงสุดท้าย แต่ก็ไม่คิดว่าเวลาจะผ่านไปไวขนาดนี้เหมือนกัน ตอนเพลงแรกๆ ด้านนอกโดมยังสว่างอยู่เลย รู้สึกตัวอีกทีก็มืด+หนาวขึ้นมาแล้ว ใกล้หมดเวลาสนุกแล้วสิ ไม่อยากให้จบแต่ก็รู้ทั้งใจว่าคงจบไลฟ์แล้ว คิดแบบนี้แล้วก็รู้สึกเหงาขึ้นมาหน่อยล่ะค่ะ…

ถ้าจำไม่ผิด หลังจบเพลง ทุกคนกลับไปรวมกันตรงเวทีหลัก พูดขอบคุณรายคนแบบสั้นๆ (ถ้าเทียบกับไลฟ์อื่น ครั้งนี้สั้นมาก) แล้วพื้นเวทีส่วนที่เป็นลิฟต์เลื่อนลงพาน้องๆ ทุกคนกลับเข้าหลังเวทีไป ไฟดับ บนจอฉายโลโก้ของไลฟ์ 5 แอบคิดเล่นๆ ว่าอาจจะมีดับเบิลอังกอร์ก็ได้ (คนตะโกนขอดับเบิลอังกอร์มีเยอะนะเออ) ยังไม่ทันจะประกาศข่าวอะไรเพิ่มเติมเลยแท้ๆ ไฟในฮอลก็กลับมาสว่างพร้อมกับเสียงประกาศว่าไลฟ์จบแล้ว และจะปล่อยให้ผู้ชมในแต่ละล็อกทยอยกันเดินทางออกจากโดม บ้าเอ๊ย เจอไลฟ์จบเงียบๆ แบบนี้แล้วใจคอไม่ดีเลย 5555 ได้แต่คิดในใจว่าวันที่สองอาจจะมีประกาศหรือพูดขอบคุณเยอะกว่านี้ก็ได้มั้ง แต่เอาเข้าจริงก็จบเหมือนวันแรกแค่คนละไดอะล็อกเท่านั้นเอง… ในส่วนตรงประกาศก็พอเข้าใจได้ว่าก่อนไลฟ์หนึ่งสัปดาห์มีรายการสดครบรอบ 9 ปี ซึ่งมีประกาศออกมาเยอะมาก คงประกาศในรายการไปหมดจนในไลฟ์ไม่มีอะไรหยิบมาประกาศแล้วแหละ


จบไปแล้วนะคะสำหรับไลฟ์รีพอร์ตที่ยาวมากแต่ใจความสำคัญคือมองไม่เห็นเพราะสายตาไม่ดี บวกกับทิ้งระยะมานานเกินจนจำอะไรแทบไม่ได้ แต่ก็ยังดั้นด้นเขียนเก็บไว้เป็นความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเราเคยได้ไปไลฟ์จริงๆ นะ เผื่อวันไหนคิดถึงแล้วกลับมาอ่านจะได้หาเจอง่ายหน่อย โดยรวมแล้วเป็นไลฟ์ต่างแดนครั้งแรกในชีวิตที่น่าประทับใจมากค่ะ! ถึงจะอยู่ไกลแต่พอได้สัมผัสบรรยากาศไลฟ์ที่ตะโกนกันคอแหก โบกแท่งไฟกันสุดแขนแบบนี้แล้วก็อยากไปอีกหลายๆ ครั้งเลย เป็นความรู้สึกที่คล้ายกันกับตอนที่ได้ไปไลฟ์วิวครั้งแรกเลยค่ะ เลิฟไลฟ์นี่ให้ประสบการณ์ติ่งไม่รู้ลืมกับเรามาเยอะจริงๆ

ยังไงก็ขอบคุณเอสจัง (ครั้งที่สอง–) ที่ให้โอกาสเราไปสัมผัสกับบรรยากาศไลฟ์ที่ญี่ปุ่น ถ้าไม่ได้เอสจัง ชาตินี้เราคงไม่มีวันล็อตตั๋วได้เอง ขอบคุณWซังที่คอยนำทางและเป็นทุกอย่างให้ตลอดทั้งทริป ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ ไว้มีโอกาสและดวงก็อยากไปดูไลฟ์ด้วยกันกับWซังและเพื่อนท่านอื่นอีก ไปดูไลฟ์กับเพื่อนนี่สนุกจริงๆ แหละ ถ้าไปคนเดียวคงไม่มีใครให้เสียสติใส่แหงๆ

ไว้ถ้ามีโอกาสจะมาเขียนตอนไปเดินเล่นที่นูมาสึนะคะ และถ้ามีดวงก็อยากเขียนรีพอร์ตแบบข้อมูลเยอะกว่านี้จังเล้ย จะไม่ดองอีกแล้ว!!

ขอปิดท้ายรีพอร์ตด้วยรูประหว่างขากลับจากไลฟ์แล้วกันค่ะ ตอนแรกไม่ได้สนว่าคืออะไร แต่เห็นชาวติ่งหยุดถ่ายรูปกันเยอะ พอเงยหน้าขึ้นก็โอเค ชัดเจน มิน่าล่ะทำไมถึงหยุดถ่ายรูปกัน…

คอมเมนต์กัน!